มีผู้กล่าวหา กระผมว่า เป็นมารสังคม กล่าวคือ ไม่ช่วยเหลือสังคมคือ ช่วยทำงาน ช่วยสร้าง ช่วยคิด ช่วยทำ ช่วยบริจาค ฯลฯ เมื่อกระผมรู้สึกได้ยินและกระทบเสียงอย่างนั้น สลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่เขาพูดมาล้วนแต่เป็นความจริง ทั้งสิ้น แต่กระผมมีเหตุผลว่า ผมจะตั้งใจศึกษาธรรมะเพื่อขจัดกิเลส และขณะที่ศึกษาจะใช้ "บ้านธัมมะ" เป็นหลักยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เพื่อให้จิตของตนมีพัฒนาการไปตามลำดับ อยากทราบว่า ควรวางตัวอย่างไรครับ เช่น
๑. เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไร เกิดขึ้น และปฏิบัติธรรมต่อไป
๒. ชี้แจงให้เขาเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นของกระผมที่ ต้องกระทำตนอย่างนั้น (กระผมไม่อยากทำเลยข้อนี้ และถึงแม้ทำแล้ว ทั้งกระผม และครอบครัว ก็อาจมีภัยติดตามมาภายหลัง)
๓. ยึดหลักธรรมของบ้านธัมมะเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ โดยไม่ต้องแยแสต่อกระแสสังคม ต่อไปจนกว่าจะบรรลุคุณธรรมคือ ความดับกิเลส
๔. ยอมทำตามกระแสสังคม แต่ว่าศีลก็จะไม่บริสุทธิ์ไปด้วย หมายความว่าจิตปกติของกระผม อ่อนไหว แล ง่ายต่อการถูกประทุษร้ายต่อ กิเลส เมื่อไปอยู่ใน กามะสังคม จึงมีโอกาสอย่างมากที่จะเผลอ และง่ายต่อการทุศีล
๕. ต่อต้านสังคม คือ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ฯลฯ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยการศึกษาธรรม ไม่แยกไปจากชีวิตประจำวัน ไม่ได้หมายความว่า เมื่อศึกษาธรรมแล้วจะมีชีวิตที่แตกต่างออกไปจากการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม เพราะในชีวิตประจำวัน ที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้น ก็ไม่ปราศจากธรรมเลย เช่น มีกุศล อกุศล อันเนื่องมาจากการกระทำ ทางกาย วาจา เป็นต้น ในเมื่อเรายังเป็นเพศคฤหัสถ์ ก็ยังอยู่ในสังคม แต่เมื่อเราฟังธรรม การกระทำที่เราใช้ชีวิตในสังคมก็จะดีขึ้น อันเนื่องมาจากความเข้าใจพระธรรม และเข้าใจว่าเป็นธรรม เข้าใจว่า กุศลควรเจริญทุกประการ ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล การให้ความช่วยเหลือ ซึ่งก็เป็นกุศลในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ไม่ใช่มีแต่การฟังธรรม และการศึกษาธรรมเท่านั้น ดังนั้น ธรรมจึงไม่แยกไปจากชีวิตประจำวัน สิ่งที่ดีควรกระทำ เพราะเป็นสิ่งที่ดี เป็นกุศล เช่น การช่วยเหลือ เป็นต้น แต่ต้องเป็นไปในทางที่ดี (ซึ่งจะรู้ว่าอะไรดีไม่ดีก็เพราะเข้าใจและฟังพระธรรม) ดังนั้น จะวางตัวอย่างไร ก็ต้องรู้ว่า การวางตัวคือ การกระทำที่เป็นไปในกุศล ไม่ว่าทางกาย วาจาและใจ โดยจะวางตัวให้เหมาะสม (เป็นกุศล) ได้ก็ต้องแล้วแต่ปัญญา อันเนื่องมาจากการฟังพระธรรม ดังนั้น ขอให้มั่นคงในการฟังพระธรรม และเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ก็เป็นเพียงธรรม นี่แหละคือหนทางที่จะดับกิเลสได้ คือละคลายความยึดถือว่าเป็นเรา แต่เป็นเพียงธรรม วางตัวอย่างไร แก้ไขอย่างไร? ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้เพียงแต่รู้ความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าความจริงนั้นคืออะไร เป็นธรรมหรือเป็นเราเป็นเพียงเรื่องราวที่คิดนึก แม้แต่มารก็คือกิเลสของเราเองซึ่งก็เป็นธรรมเท่านั้น นี่คือหนทางดับกิเลสที่แท้จริง
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
มารมี ๕
๑. กิเลสมาร
๒. อภิสังขารมาร
๓. มัจจุมาร
๔. ขันธ์มาร
๕. เทวบุตรมาร
ยินดีในกุศลจิตค่ะ