นอกจากนั้น กรรมใดๆ ที่จะให้ผลหรือไม่ให้ผลนั้น ยังต้องอาศัยปโยคสมบัติหรือปโยควิบัติ “ปโยคสมบัติ” คือ ความสามารถในการพากเพียรประกอบการงาน ด้วยการพิจารณาอย่างฉลาด กิจการงานทุกอย่าง แม้แต่การโจรกรรมก็ต้องอาศัยความรอบรอบ ศิลปะ ความชำนาญ และความสามารถในการที่จะทำกิจการงานนั้นๆ ให้สำเร็จ ความสามารถกระทำกิจการงานต่างๆ ได้สำเร็จ เป็นปโยคสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็ตาม ไม่ว่าอาชีพใด กิจการงานใด ก็ต้องกระทำด้วยปโยคสมบัติ คือ พร้อมด้วยความชำนาญความสามารถ จึงจะสำเร็จได้ตามต้องการ
อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วยังไม่ถึงพร้อมด้วยปัจจัยที่จะทำให้อกุศลวิบากจิตเกิดขึ้น เพราะขณะนั้นบุคคลนั้นยังประกอบด้วยปโยคสมบัติ ความสามารถในการงานนั้นอยู่ และถึงแม้ว่าจะเป็นคนดี แต่ขาดศิลปะความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพในธุรกิจการงาน ก็เป็นปโยควิบัติ จึงไม่เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากเกิดขึ้น เพราะขาดปโยคสมบัติ
ฉะนั้น เรื่องของผลซึ่งจะต้องเกิดจากเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้โดยละเอียดพร้อมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ผลนั้นๆ เกิดขึ้นด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องของอนัตตาทั้งหมด ไม่ใช่เป็นตัวตนที่คิดเอาเองว่าจะบันดาลทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้ตามความต้องการ จิตทุกขณะที่เกิดขึ้นต้องประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ แม้ขณะที่กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมจะให้ผลก็ต้องประกอบด้วย...
คติสมบัติ หรือ คติวิบัติอุปธิสมบัติ หรือ อุปธิวิบัติกาลสมบัติ หรือ กาลวิบัติปโยคสมบัติ หรือ ปโยควิบัติ
ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
กำลังอยากอ่านอยู่พอดีเลยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ