๓. ปริหานสูตร ว่าด้วยการเสื่อมจากกุศลธรรม
โดย บ้านธัมมะ  11 ก.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 37192

[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 162

๓. ปริหานสูตร

ว่าด้วยการเสื่อมจากกุศลธรรม


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 28]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 14 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 162

๓. ปริหานสูตร

ว่าด้วยการเสื่อมจากกุศลธรรม

[๑๔๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปริหานธรรม อปริหานธรรม และอภิภายตนะ ๖ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเถิด ก็ปริหานธรรมมีอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ถ้าภิกษุให้กิเลสนั้นครอบงำ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ให้มี ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นความเสื่อม ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะได้ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ถ้าภิกษุให้กิเลสนั้นครอบงำ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นไป ไม่ไห้มี ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า เราย่อมเสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นความเสื่อม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปริหานธรรมมีอย่างนี้แล.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 14 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 163

ว่าด้วยความไม่เสื่อมจากกุศลธรรม

[๑๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานธรรมมีอย่างไร อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ถ้าภิกษุไม่ให้กิเลสนั้นครอบงำ ละ บรรเทา กำจัดให้สิ้นไป ไม่ให้มี ข้อนั้นภิกษุทราบว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าเป็นความไม่เสื่อม ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะได้ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลายมีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ถ้าภิกษุไม่ให้กิเลสนั้นครอบงำ ละ บรรเทา กำจัดให้สิ้นไป ไม่ให้มี ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า เราย่อมไม่เสื่อมจากกุศลธรรมทั้งหลาย ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นความไม่เสื่อม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานธรรมมีอย่างนี้แล.

ว่าด้วยอภิภายตนะ ๖

[๑๔๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อภิภายตนะ ๖ เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว อายตนะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นอภิภายตนะ ฯลฯ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 14 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 164

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย มีความดำริแล่นไป เป็นฝ่ายสังโยชน์ ย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้ เพราะได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ข้อนั้นภิกษุพึงทราบว่า อายตนะนี้เราครอบงำแล้ว อายตนะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นอภิภายตนะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะเหล่านี้เรากล่าวว่า อภิภายตนะ ๖.

จบ ปริหานสูตรที่ ๓

อรรถกถาปริหานสูตรที่ ๓

ในปริหานธรรมสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปริหานธมฺมํ ได้แก่ มีความเสื่อมไปเป็นสภาพ. บทว่า อภิภายตนานิ ได้แก่ อายตนะอันอบรมยิ่งแล้ว. ในบทว่า สรสงฺกปฺปา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า สรา เพราะ ซ่านไป อธิบายว่า แล่นไป. ความดำริเหล่านั้นด้วย ซ่านไปด้วย ชื่อ สรสังกัปปา. บทว่า สญฺโชนิยา ได้แก่ อกุศลธรรมอันเป็นเครื่องผูก คือเป็นปัจจัยแก่การผูกสัตว์ไว้ในภพ. บทว่า ตญฺเจ ภิกฺขุ ได้แก่ ข้อนั้น คือกิเลสชาตที่เกิดขึ้นอย่างนี้ หรือได้แก่ อารมณ์นั้น. บทว่า อธิวาเสสิ ได้แก่ ยกอารมณ์มา ให้อยู่ในจิต. บทว่า นปฺปชหติ ได้แก่ ย่อมไม่ละ ด้วยการละฉันทราคะ พึงประกอบกับบททั้งปวงอย่างนี้. บทว่า อภิภายตนํ นเหตํ วุตฺตํ ภควตา นี้ตรัสว่า อภิภายตนะนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอบรมยิ่งแล้ว. ในที่นี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงถามจำแนกธรรม จึงทรงแสดงถึงธรรมโดยปุคคลาธิษฐาน.

จบ อรรถกถาปริหานธรรมสูตรที่ ๓