"เราแสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่ประสบ จึงได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีชาติเป็นเอนก ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์, แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน เราพบท่านแล้ว, ท่านจะทำเรือนอีกไม่ได้, ซี่โครงทุกซี่ของท่าน เราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็รื้อเสียแล้ว, จิตของเราถึงธรรมปราศจากเครื่องปรุงแต่งแล้ว, เพราะเราบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหาแล้ว"
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้ตรัสพระคาถาข้างต้น พระพุทธองค์ทรงบรรลุธรรมที่สิ้นตัณหา พบนายช่างผู้สร้างภพชาติ
สำหรับพวกเรา บ้านของเราขณะนี้ ตัณหาเป็นผู้สร้างและจะสร้างต่อๆ ไปอีก เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับตัณหา พระพุทธองค์ทรงบอกทางแก่พวกเราแล้ว เป็นหนทางสายเดียวเท่านั้นคือ อริยมรรคมีองค์ ๘ การอบรมเจริญสติปัฏฐานซึ่งมรรคองค์แรกคือ สัมมาทิฏฐิ เริ่มจากการมีความเห็นถูกในหนทางซึ่งก็ไม่พ้นไปจากการเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เรา อบรมเจริญสติปัฏฐานจนกว่าจะดับตัณหาหมดสิ้นเป็นสมุจเฉท ไม่มีผู้สร้างเรือนให้อีกต่อไป
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
เรื่องปฐมโพธิกาล
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
นายช่างชื่อว่าชำนาญในการสร้างเรือน ย่อมเป็นที่อยู่อาศัยเป็นสุข และงดงามราวจิตรกรรมทีเดียว เรือนย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ใดหนอ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
อิจฉาพี่สาวคนนี้จัง ไม่มีครอบครัว ต้องให้ทุกข์ร้อน ส่วนน้องคนนี้ มีเรือนตัวเอง ไม่พอ ยังต้องเป็นห่วงเรือนผู้อื่น ทุกข์ร้อน มากมาย วันแล้ว วันเล่า มีแต่ โลภะ โทสะ โมหะ จริงๆ แล้วต้องบอกว่าเกือบจะทุกขณะจิตก็ว่าได้ ยังหานายช่างผู้สร้างเรือนไม่พบ
ก็ยังต้องทุกข์ร้อนขันธ์ ๕ เรือนนี้ค่ะ ... (ก็หนักเหมือนกันค่ะ) ก็จริงนะขันธ์ ๕ ตัวเองก็หนักหนา ... ยังต้องห่วงขันธ์ ๕ ภรรยา ... ลูก ... (หนักจริงๆ ๆ ๆ ) พี่สาวคนนี้ก็ยังหา นายช่างผู้สร้างเรือนไม่พบเหมือนกันค่ะ ในสังสารวัฏฏ์อีกยาวไกล ... ไม่รู้จะหานายช่างใหญ่พบเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ตราบใดที่เข้าใจในหนทางที่ถูกต้อง ... ก็ค่อยๆ อบรมไป ... จิระกาลภาวนา ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลจิตพี่เมตตา และทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ