ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร อ.กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจากนายแพทย์ทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพักในซอยแก้วเงินทอง ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น.
การสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอทวีปครั้งนี้ เหมือนเป็นการฉลองบ้านใหม่ เพราะเหตุว่า พี่หมอทวีปเพิ่งดำเนินการปรับปรุงบ้านทั้งหลังแล้วเสร็จ ทราบว่าเป็นการบูรณะปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การสร้างบ้านหลังนี้ ซึ่งพี่หมอบอกว่าหมดทรัพย์ไปอักโข สำหรับการทาสีบ้านใหม่หลังใหญ่มากหลังนี้ ทั้งหลังคาบ้าน ตัวบ้านทั้งภายนอกและภายใน ทำทางเข้าใหม่พร้อมตอกเข็มยึดรั้วให้แน่นกันล้ม ปรับปรุงต่อเติมครัวให้ใหญ่มากขึ้น (ของเดิมที่ว่าใหญ่ ยังไม่ถูกใจพี่หมอของผม เพราะพี่หมอชอบและรักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ)
การสนทนาธรรมครั้งนี้ จึงเป็นเหมือนวาระของการเฉลิมฉลองหลังการบูรณะบ้านแล้วเสร็จด้วย ซึ่งอดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึงเรื่องอาหารการกินว่าพี่หมอจัดเต็มเหมือนเคยทั้งคาวและหวาน ทั้งปลาต้มข้าว ย้ำว่า ปลาต้มข้าว (เพราะปลามากกว่าข้าว จนต้องบอกคนตักให้ว่า ขอข้าวด้วยนะจ๊ะ ซึ่งคนตักก็บอกว่า ควานหาให้อยู่จ้ะ ฮาาาาา) เป็นปลาต้มข้าวที่มีเนื้อปลากระพงก้อนโต ย้ำอีกว่า เนื้อปลาเป็นก้อนโตๆ ไม่ใช่เป็นชิ้นบางๆ ดังเช่นทั่วไปทำกัน อุอุ จึงต้องรีบมาแต่เช้าตรู่เพื่อมารับประทานอย่างน้อยสองชาม (เล็กๆ แต่มีปลาก้อนใหญ่ ฮี่ๆ ) รับรองว่าเป็นปลาต้มข้าวที่อร่อยที่สุดในโลกและหารับประทานได้ที่นี่ที่เดียวในโลกด้วยเช่นกัน แม้มีเงินมากมายสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาข้าวต้มปลาแบบปลาต้มข้าวสูตรพิเศษที่ต้องอาศัยประสบการณ์ การเลือกสรรวัตถุดิบทั้งข้าวหอมมะลิ ปลากระพงน้ำลึกตัวโตๆ ที่มีน้ำหนักเกินกว่าสิบสองกิโลกรัม เต้าเจี้ยวแบรนด์เก่าแก่ที่หาซื้อยาก และความละเมียดละไมในการปรุงแบบของพี่หมอมารับประทานได้แน่นอน ต้องเป็นผู้มีบุญที่ได้เคยทำไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น การมาสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอ จึงเป็นความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ของอาหารอร่อยเลิศรส ธรรมะที่ซาบซึ้งประทับใจ ทั้งความอบอุ่นเป็นกันเองของท่านเจ้าบ้านทั้งสอง รวมถึงคุณแม่ของคุณทิพย์ที่นำกระเพาะปลาสูตรโบราณเจ้าอร่อยดั้งเดิมที่มีแต่กระเพาะปลาล้วนๆ ไม่เจือปนด้วยเลือดหมูหรือหน่อไม้ใดๆ ทั้งสิ้น มาร่วมเจริญกุศลพร้อมรอยยิ้มที่น่ารักเปี่ยมด้วยเมตตาทุกครั้ง
สำหรับท่านที่สนใจบันทึกการสนทนาธรรมที่บ้านพี่หมอทวีปในครั้งก่อนๆ สามารถคลิกชมได้ตามลิงค์ที่แนบไว้ให้ในตอนท้ายของกระทู้นี้นะครับ อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนมาบันทึกไว้เช่นเคย เป็นข้อความที่พี่สุกัญญา เพื่อนชอบ กราบเรียนสนทนากับท่านอาจารย์เรื่องความละเอียดลึกซึ้งของคำว่า "ปัญญา" ที่น่าพิจารณามากๆ ดังต่อไปนี้ครับ
คุณสุกัญญา กราบท่านอาจารย์ค่ะ ท่านอาจารย์คะ "ไม่มีเราด้วยปัญญา" กราบเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้ "มีเรา" ไหม?
คุณสุกัญญา มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วมีธรรมะไหม?
คุณสุกัญญา มีค่ะ
ท่านอาจารย์ แล้วธรรมะเป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา ไม่ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น มีเรา หรือ มีธรรมะ?
คุณสุกัญญา มีเราด้วย แล้วก็มีธรรมะด้วย
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีธรรมะ จะมีเราไหม?
คุณสุกัญญา ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะก็ไม่มีเรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ปัญญาอยู่ตรงนี้!! ที่เข้าใจถูกต้อง!! เริ่มทีละเล็ก ทีละน้อย อย่าคิดว่าจะหมดไปเลย เพียงแต่ เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ให้รู้สึกเสมอว่า "เริ่ม" ทุกครั้ง เพราะว่า เข้าใจนิดหนึ่ง อกุศลปิดบังอีกเท่าไหร่ ในวันหนึ่ง ใช่ไหม?
ก่อนที่เราจะได้ฟัง ก็เป็นอกุศลเสียมากมาย ฟังแล้ว แค่เราไปรับประทานอาหาร ที่ฟังแล้วก็คือ อกุศลมาแล้วเยอะแยะ กับที่ฟังอยู่ แล้วกลับไปบ้าน แล้วทั้งวันกว่าจะได้ฟังอีก เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยว่า "ตั้งต้น" ตั้งต้นอีก ตั้งต้นอีก!! ตั้งต้นอีก!!! เพราะเหตุว่า ถูกปกปิดไว้อีก ถูกปกปิดไว้อีก!! ถูกปกปิดไว้อีก!!! ตลอด
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้ไปคิดหวังเลยว่า เราจะรู้มากแค่ไหน เมื่อไหร่ เพราะนั่นคือ "เรา" และ โลภะก็อยู่ตรงนั้นแหละ!! ไม่ยอมที่จะพลัดพรากจากไปเลย อยู่ตลอดเวลา จนกว่าฟังธรรมะเดี๋ยวนี้ อย่างที่คุณสุกัญญาถาม เข้าใจตรงนี้หมดแล้ว ตั้งต้นใหม่อีก ใช่ไหม? นี่เป็นเราหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะประจักษ์ภาวะที่ไม่ใช่เราโดยทันที แต่เราสะสมมาแล้วที่จะเข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า แต่ละหนึ่ง เป็น แต่ละหนึ่ง อย่าง "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เป็นหนึ่ง ในบรรดาธรรมะทั้งหมด ที่สามารถจะ "ปรากฏให้เห็นได้" แค่นี้
ถ้าปัญญาของเรามีน้อยมาก ฟังแล้วก็ธรรมดา เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ที่เราเข้าใจว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ความจริงที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ ที่ถูกต้องจริงๆ ก็คือ มีสิ่งที่กระทบตาแล้วปรากฏสืบต่อกัน เพราะฉะนั้น "เริ่มเข้าใจ" แค่ "เริ่ม" นะคะ ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เราก็สามารถที่จะ "คิด" ขั้นคิด ว่าขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่เราจำสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ตลอดเวลา
กว่าจะจางหายไป ว่าไม่ใช่แค่จำ แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น!! เพราะเหตุว่า "จำ" มีหลายอย่าง จำถูก จำผิด วิปลาส สัญญาวิปลาส จำผิด คือจำสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มั่นคงเหลือเกิน นี่ดอกกุหลาบ อย่างไรๆ เห็นทีไรก็เป็นดอกกุหลาบ ไม่ปรากฏว่า "แค่ปรากฏให้เห็นได้"
เพราะฉะนั้น ลองเทียบน้ำหนัก ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง เป็นสิ่งที่ แค่เพียงปรากฏ!! โลภะติดข้องด้วยความไม่รู้ ไปติดข้องในสิ่งที่เพียงชั่วคราวแล้วหมดไป เพราะฉะนั้น แต่ละคำ แต่ละคำ ไม่ใช่ให้เราไปละทันที ว่า พอกระทบแล้วไม่ใช่เรา แต่ว่า ให้เข้าใจจริงๆ ว่า กว่าจะค่อยๆ สะสางหรือค่อยๆ ลบล้างความที่เคยยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะต้องเป็นไป ทีละเล็ก ทีละน้อย แค่ไหน และนี่ก็คือ "ขั้นปริยัติ"
ฟังมากี่ชาติ กี่ร้อยชาติ กี่พันชาติ เทียบดู ชาติหนึ่งก็คือว่า เป็นคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเราตายวันนี้ เราฟังมาเท่าไหร่? พอไหม? ก็ยังไม่พออีก เกิดใหม่ก็ฟังอีก แต่ว่า "ความเข้าใจ" ค่อยๆ เพิ่มขึ้น!! ทีละเล็ก ทีละน้อย จริงๆ ไม่ต้องไปคิดเรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องไปคิดเรื่องขณะนี้ดับแล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าขณะนี้เรารู้นิดเดียว ขณะนั้นคือ "ความเข้าใจเพียงเล็กน้อยผสมกับความคิด" แต่ไม่ใช่ "ตัวที่เป็นสติสัมปชัญญะ" ซึ่งกว่าจะรู้อย่างนี้ได้ ลองคิดดู!! การฟังแต่ละคำ "แต่ละคำ" จริงๆ ทีละคำ ทีละคำ ค่อยๆ สะสมไป เราคิดว่ามีปริมาณมากแล้วเพราะว่าเราสะสมมาหลายชาติ กว่าจะถึง "ปฏิปัตติ" คือ "รู้เฉพาะที่กำลังปรากฏ" โดย "ความเป็นอนัตตา" ลืมคำนี้ไม่ได้เลย! ตลอดหนทางนี้ ที่จะ "ละความเป็นอัตตา" ก็ด้วย "ความเข้าใจในความเป็นอนัตตา"
เพราะฉะนั้น ถ้ายังเป็นเราเมื่อไหร่ นั่นก็คือผิด!! นั่นไม่ถูก!! นั่นไม่ใช่ความจริง!! เพราะเหตุว่า ยังมีเราอยู่ ใช่ไหม? แต่สภาพธรรมะที่เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา แม้สติที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก "ครั้งแรก" จะเท่ากับ "การฟังครั้งแรก" ไหม? น้อยขนาดนั้นไหม? น้อยขนาดนั้นเลย!!! เพราะว่า เปลี่ยนภาวะจากการแค่ฟังเข้าใจ มาสู่ภาวะที่ถึงเฉพาะ แต่ความเข้าใจที่สะสมมาว่ามาก กับความเข้าใจที่เกิดพร้อมสติ น้อยไหม? เห็นไหม? เทียบกันดู!! และอีกนานเท่าไหร่? กว่าการที่สติสัมปชัญญะจะเกิดบ่อย จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึง ประจักษ์แจ้ง ตามลำดับขั้น!! ไม่ใช่ว่าจะหมดความเป็นเราได้ทันที!!
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของการอบรมที่เป็น "บารมี" ทั้งหมด แม้แต่ "ขันติ" อดทนไหม? ที่กำลังฟัง ไตร่ตรอง กว่าจะเข้าใจ อดทนไหม? เพราะว่า ไม่ใช่จะเข้าใจได้ทันที ต้องอดทน ไตร่ตรอง ที่จะมั่นคงว่า ไม่ใช่ทันที ไม่ใช่ทันที!! แค่ฟังแล้วมาประกอบกันว่านี่มันหมดแล้ว นี่ ไม่ใช่!! นี่คือ "คิด" การ "ประจักษ์แจ้ง" กับ "คิด" นี่ไม่เหมือนกัน!!
เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการเข้าใจว่าสติสัมปชัญญะเกิด ก็ต้องรู้ว่า "ความน้อย" นี่มันแค่ไหน? แต่มันเปลี่ยนระดับ จากขั้นปริยัติที่ฟังเข้าใจ มาถึงตัวธรรมะ!! แต่ตัวธรรมะนี่ อาศัยความเข้าใจที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมด มา "เริ่มต้นที่จะถึงเฉพาะ" เห็นไหม? นี่คือการเริ่มต้นที่จะถึงเฉพาะ ทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ความเข้าใจจะมาอย่างที่เราเข้าใจนี่ไม่ใช่เลย คนละระดับ!! เพราะฉะนั้น จะต้องอาศัยความเข้าใจในความเป็นอนัตตา รู้แม้แต่ขณะนั้น ต้องการไหม? มาแล้ว!! "เรา" ใช่ไหมยังอยู่ที่นั่น!!
เพราะฉะนั้น ตรงตามที่ทรงแสดงว่า ขันธ์ ๕ ไม่แคล้วไปเลย!! เพราะเหตุว่า ถ้าขณะใดที่มีขันธ์หนึ่งขันธ์ใด สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เราอยู่ที่สิ่งอื่น ถ้ารูปขันธ์ปรากฏ เราอยู่ที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้าสัญญาขันธ์ปรากฏ เราอยู่ที่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เพราะฉะนั้น เป็น "เรื่องละ" ปัญญาเริ่มรู้ว่า เพียงต้องการนิดเดียว พยายามนิดเดียว ปัญญารู้ว่า ผิดทาง!!!
เพราะฉะนั้น ปัญญานำไปในการที่จะรู้ว่า หนทางถูกคืออย่างไร จึงเป็นผู้ที่มีปรกติ และต้องละ และต้องรู้ว่า เข้าใจอย่างเดียว!! มิฉะนั้นแล้ว โลภะก็เข้ามา ความไม่รู้เข้ามา สารพัดที่สะสมมาในสังสารวัฏฏ์ ที่จะกั้น!! เพราะว่าเป็นโอกาสของเขาตลอด ปัญญาระดับนั้นไม่มีทางไปกั้นอะไรเขาได้ ไม่มีทางที่จะไปทำให้เขาหมดการที่จะแทรกเข้ามาโดยวิธีต่างๆ ซึ่งถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้ว รู้ไม่ได้!! เพราะฉะนั้น ต้องเป็น "หนทางละ" โดยตลอด!!
คุณสุกัญญา กราบท่านอาจารย์ค่ะ ความเหนียวแน่นของเรากับการยึดถือของความเป็นเรา
ท่านอาจารย์ ไม่สามารถจะประมาณได้ในสังสารวัฏฏ์ ในแสนโกฏิกัปป์ ไม่ใช่ก่อนที่จะฟังธรรมะเท่านั้น แล้วเราจะคิดว่า พอฟังแล้วเราเข้าใจ ลองคิดถึงที่ไม่รู้มาสิ นานเท่าไหร่? แล้วหมดจริงๆ จริงๆ คือทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่เหลือเลย!! ไม่อย่างนั้น ดับ (กิเลส) ไม่ได้!!
แล้วไม่สามารถจะไปเลือกด้วยว่าทวารไหน ทางไหน รูปไหน เพราะว่า แต่ละหนึ่งเกิดแล้วดับแล้ว กลับมาเกิดให้รู้อีกไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ปัญญาจะถึงความสมบูรณ์พร้อมเมื่อไหร่? โดยความเป็นอนัตตา!! ทั้งหมด ความเข้าใจความเป็นอนัตตาเท่านั้น ที่จะถอนความเป็นอัตตาได้!!
คุณสุกัญญา กราบท่านอาจารย์ค่ะ แล้วความเป็นอนัตตา?
ท่านอาจารย์ หมายความว่าอะไรคะ?
คุณสุกัญญา หมายความว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "เห็น" เป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา "เห็น" ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ "คิด" เป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา "คิด" ก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ "จำ" เป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา "จำ" ก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ "ชอบ" เป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา ไม่ใช่
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นเราหรือเปล่า?
คุณสุกัญญา เดี๋ยวนี้ยังเป็นเรา
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจขั้นปริยัติอาศัยความเข้าใจว่าไม่ใช่เรา กว่าจะ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่มาคิดว่าอ้อ หมดแล้ว เป็นปฏิบัติแล้ว เป็นวิปัสสนาแล้ว ไม่ใช่!!! เป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจากฟัง ก็มาเพิ่มเป็นการคิด พร้อมกับลักษณะที่ปรากฏ
คุณสุกัญญา "ลักษณะที่ปรากฏ" กับ "ความคิดถึงลักษณะที่ปรากฏ"
ท่านอาจารย์ ก็เดี๋ยวนี้คิดสิไม่ใช่เรา "แข็ง" นี่คิดสิ กำลังกระทบแข็ง
คุณสุกัญญา เป็นคิด?
ท่านอาจารย์ คิดหรือเปล่าล่ะ?
คุณสุกัญญา คือ "แข็ง" มีจริงค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ แล้วอย่างไร?
คุณสุกัญญา ก็พอคิด ก็คือสภาพคิด ถ้าเป็นแข็ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ยังคงเป็นเรา
คุณสุกัญญา ทีนี้ การเริ่มต้นของการรู้ลักษณะสภาพธรรมะที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า ขณะไหนเป็นสติสัมปชัญญะ ขณะไหนฟัง ขั้นปริยัติ ปัญญาสามารถที่จะรู้ความต่างของปริยัติกับปฏิบัติ
คุณสุกัญญา ถ้าปรากฏกับปัญญาจริงๆ ก็ไม่ต้องมีข้อสงสัยที่จะมากราบเรียนถามท่านอาจารย์แล้วใช่ไหมคะ?
ท่านอาจารย์ แต่ว่า สามารถที่จะรู้ได้ว่า ถึงหรือยัง?
คุณสุกัญญา ลักษณะนั้นต้องเด่นชัดจนกระทั่งไม่มีข้อสงสัย
ท่านอาจารย์ ถึงหรือยัง? ฟังแค่นี้ ถึงหรือยัง?
คุณสุกัญญา ฟังแค่นี้ก็คือขั้นเข้าใจ
ท่านอาจารย์ อันนั้นถูกต้อง เพราะฉะนั้น ฟังแค่นี้ไม่ใช่ปฏิบัติ!!
คุณสุกัญญา แต่ความเข้าใจก็เป็นปัญญาระดับหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพื่อที่จะถึง ให้มีการถึงเฉพาะที่จะรู้ในเฉพาะ (สภาพธรรมะที่ละหนึ่ง) อย่าง "แข็ง" นี่คุณสุกัญญารู้มานานแล้วว่ามันแข็ง เดี๋ยวนี้ก็รู้ว่าแข็ง แล้วต่างกับขณะที่ไม่ใช่เราอย่างไร? เห็นไหม? เอาอะไรมารู้? ว่าแข็งนี้ไม่ใช่เรา!! ถ้าไม่มีการฟังมานานเท่าไหร่ในสังสารวัฏฏ์!!!
เพราะว่า ไม่ใช่แค่กระทบแข็ง เพราะกระทบแข็งเป็นปกติ แต่กระทบแข็งแล้วไม่รู้ นี่ อาสวะ อวิชชาสวะ อวิชชาสวะ ทิฏฐาสวะ กามาสวะ ภวาสวะ ใช่ไหม? ไม่รู้!!
เพราะฉะนั้น ที่จะ "รู้" ไม่ใช่ไปนั่งเรียกชื่อ!! แต่ว่า "แข็ง" เริ่มที่จะรู้ว่า ขณะนั้นมีสติที่รู้ตรงนั้น!! เพราะว่า ปกติเวลานี้ ถึงแข็งกระทบก็ไม่รู้ เพราะผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ผ่านไปแล้ว แต่ขณะที่ไม่ผ่าน ที่มีการรู้ตรงนั้น!! ต่างไหม? นั่นคือ เริ่มที่จะเป็นสติสัมปชัญญะ แต่ต้องมีความเข้าใจ!!!
ถ้าไม่มีความเข้าใจก่อน เขาก็ได้ยินมาว่า "รู้แข็ง" เขาก็รู้แข็ง เขาบอกว่าระลึกที่แข็ง ก็ระลึกที่แข็ง แต่ไม่มีความรู้อะไรเลย!! ไม่ใช่ปัญญา!! ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ!! ไม่ใช่ปฏิปัตติ!!!
คุณสุกัญญา กราบท่านอาจารย์ค่ะ ปัญญาที่รู้ว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน จะมีประโยชน์อย่างไร? คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะเขาก็จะกล่าวว่า จะเรียนไปเพื่ออะไร? ถ้าไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือว่าไม่มีตัวเรา
ท่านอาจารย์ ไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิคะ (ทุกคนหัวเราะ)
คุณสุกัญญา มันเป็นคำตอบที่ยากมากใช่ไหมคะ?
ท่านอาจารย์ ไม่เลย!! ไม่เลย!! คนที่ไม่รู้ ก็ไม่รู้ไปสิ!!
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ก็มีคนหลายจำพวกมากที่ฟัง พวกที่ฟังแล้วไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรมะ อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ทรงแสดง ทรงบำเพ็ญมา เขาก็ไม่เห็นประโยชน์เลย แต่คนที่ฟังแล้วรู้เลยว่า ไม่มีอะไรมีค่าในชีวิต ในสังสารวัฏฏ์ เพราะทุกชาติ ลืมหมด!!! จะสุข จะทุกข์ปานใด ก็ลืมหมด ถ้าเราคิดว่าชาตินี้เรามีความสุขตรงนี้มากเหลือเกิน หมดแล้ว!! กลับมาอีกได้ไหม? ไม่มีวันเหมือนเดิมสักอย่างเดียว แม้แต่สุขใหม่จะมากกว่าจะน้อยกว่า ก็ไม่ใช่อันเก่าแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรที่จะซ้ำได้เลย แล้วก็ทุกชาติก็เป็นอย่างนี้!! สุขเท่าไหร่ ทุกข์เท่าไหร่ ดีใจเท่าไหร่ เสียใจเท่าไหร่ กังวลเท่าไหร่ ร้องไห้เท่าไหร่ ผ่านมาแล้วหมด แล้วก็ลืม!!! แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ไปทุกชาติ!! พอถึงชาติหน้าก็จำชาตินี้ไม่ได้ แต่ขณะที่ยังไม่ถึงชาติหน้า ชาตินี้สำคัญเหลือเกิน จริงหรือ? ความจริง ไม่มีอะไรสำคัญเลยสักอย่าง เพราะว่าหมดแล้ว!! และจะไปบังคับให้ไม่ไหมดก็ไม่ได้ บังคับให้กลับมาอีกก็ไม่ได้!!
เพราะฉะนั้น ขณะที่ฟัง ปัญญาของคนที่ฟัง ต่างกันหลายขั้น คนที่ฟังแล้วสามารถที่จะรู้ว่าสภาพธรรมะเป็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้ ต่างกับคนที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นธรรมะที่เกิดดับ ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ก็กว่าจะเห็นประโยชน์ว่า รู้ดีไหม? แค่คำถามคำเดียวสั้นๆ ว่า รู้ดีไหม? ถ้าคนตอบว่า ไม่ดี ก็ไม่รู้ต่อไป!! เท่านั้นเอง!! ก็ไม่รู้ต่อไป!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอเชิญคลิกชมตอนที่ผ่านมาทั้งหมดได้ที่นี่ ... ... ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๓
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๓ เมษายน ๒๕๕๕ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๓ เมษายน ๒๕๕๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕ ๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
ลืมคำนี้ไม่ได้เลย! ตลอดหนทางนี้ ที่จะ "ละความเป็นอัตตา" ก็ด้วย "ความเข้าใจในความเป็นอนัตตา"
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ กราบท่านอาจารย์สุจินต์ค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนากับความเกื้อกูลของคุณวันชัยค่ะ
สาธุครับผมคิดว่าเข้าใจบ้างก็ยังดีกว่าเข้าใจแบบผิดๆ และจะฟังต่อไปเรื่อยๆ ให้เข้าใจยิ่งขึ้นขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ