จิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้ง จิตรู้อะไรสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต
ขอถามว่า
จิตเกิดอารมณ์เองได้ไหมเมื่อรู้สิ่งที่เห็นแจ้งนั้น หรือแค่รู้แจ้งสิ่งที่รู้เท่านั้น และอารมณ์ กุศล อกุศล ดี หรือไม่ดีก็ตาม เกิดแค่เฉพาะเจตสิก จิตแค่เศร้าหมองตามเจตสิก หรือจิตเป็นไปตามเจตสิกค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย นั้น ไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดแล้วจะไม่ดับ ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมด้วยกันทั้งนั้น จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เป็นสภาพธรรมที่สั้นแสนสั้น มีอายุเพียงแค่ขณะทีเกิดขึ้นขณะที่ตั้งอยู่และขณะที่ดับไปเท่านั้น เมื่อจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เมื่อกล่าวถึงจิตแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องมีเฉพาะจิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอีกประเภทที่เกิดร่วมกับจิต นั้นด้วย เมื่อเกิดร่วมกับจิต ก็ต้องรู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ดับพร้อมกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็ต้องอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย สภาพธรรมที่กล่าวนั้น คือ เจตสิก จิตและเจตสิก
เชิญคลิกอ่านคำบรรยานท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้ ครับ
ผู้ถาม ก็แปลกนะครับ จิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน แต่บางครั้งรู้ยากกว่า เช่น เห็นครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นแล้วบางครั้งก็พอใจ บางครั้งก็ไม่พอใจ บางครั้งก็เฉยๆ โดยการศึกษาก็รู้อยู่ว่า ขณะที่เห็นนั้นเป็นจิตเห็น โดยการปฏิบัติ จิตเห็นก็ปรากฏ แต่มันปรากฏไม่ชัด ขณะที่ความไม่พอใจเกิดขึ้น บางครั้งมันชัดกว่า เพราะฉะนั้นผมเห็นว่า จิตนี้ในบางครั้งกลับรู้ยากกว่า เจตสิกบางประเภทกลับรู้ง่ายกว่า
ส. จิตก็ดี เจตสิกก็ดี เป็นนามธรรม เป็นเพียงธาตุรู้ อาการรู้ แต่ว่าเจตสิกนั้นมีลักษณะต่างๆ ตามประเภทของเจตสิก เช่น เจตนาเจตสิกเป็นสภาพที่จงใจ ตั้งใจ เวทนาเจตสิกเป็นสภาพที่รู้สึกเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเฉยๆ หรือดีใจ หรือเสียใจ ในสิ่งที่จิตรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นนามธรรม
เพราะฉะนั้นการที่จะประจักษ์ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ต้องเข้าถึงอรรถที่เป็นลักษณะของนามธรรมทั้งจิตและเจตสิก เพราะว่าบางทีท่านผู้ฟังชินกับเรื่อง พอดีใจก็บอกว่าดีใจ แต่ว่าไม่ได้ระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพที่ดีใจ แต่บอกว่าดีใจ ชินกับเรื่อง เวลาที่โกรธ ก็บอกว่าโกรธ ชินกับเรื่องโกรธ ความโกรธ ชื่อโกรธ แต่ไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะที่เผา ที่ร้อน ที่ทำร้าย ที่กระด้างในขณะนั้นว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลทั้งสิ้น
ถ้าสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิด ก็ย่อมจะมีปัญญาที่อบรมเจริญขึ้น จะเห็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมเป็นนามธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
สภาพรู้ทางตาก็เป็นเพียงธาตุรู้ ไม่ใช่รูป จึงเป็นนามธรรม เพราะว่าเป็นสภาพที่น้อมไปสู่อารมณ์ ความรู้สึกชอบในสิ่งที่เห็น ก็เป็นแต่เพียงสภาพที่น้อมไปชอบในสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นแต่เพียงความรู้สึกติดด้วยความรู้สึกพอใจ นี่ค่ะ จะต้องเข้าถึงอรรถ ซึ่งเป็นลักษณะของนามธรรม ซึ่งเป็นนามธาตุจริงๆ
ขออนุโมทนา
แม้จะยังอ่านไม่เข้าใจ แต่จะพยายามศึกษาต่อไปค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของจิต เป็นสภาพที่ขาว เพราะไม่ได้กล่าวถึงเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย กล่าวถึงเฉพาะตัวจิตเพียงอย่างเดียวนั้น เป็นสภาพธรรมที่เพียงรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้) สิ่งใดก็ตามที่จิตรู้ สิ่งนั้นเป็นอารมณ์ของจิต ถึงแม้จะมีจิตหลากหลาย แต่ก็มีลักษณะเดียวคือมีการรู้แจ้งซึ่งอารมณ์เป็นลักษณะ จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ สิ่งใดก็ตามที่จะเป็นอารมณ์ของจิต ก็ต้องเป็นสิ่งที่จิตขณะนั้นรู้ อย่างเช่น เสียง ซึ่งเสียงมีมากมาย แต่ขณะใดที่จะเป็นอารมณ์ของจิต ก็ต้องเฉพาะเสียงในขณะนั้นเท่านั้น และเสียงนั้น ก็เป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น เรียกว่าสัททารมณ์ สภาพที่รู้เสียงในขณะนั้น เรียกว่า โสตวิญญาณ พูดในคำไทย ก็คือ ได้ยิน ได้ยินมีจริงๆ ได้ยินเป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่
จิตจะเศร้าหมองหรือผ่องใสก็เป็นไปตามเจตสิกที่ปรุงแต่งจิตในขณะนั้น กล่าวคือ ถ้าอกุศลเจตสิก เช่น โลภะ เป็นต้นเกิดประกอบกับจิตใดก็ทำให้จิตนั้นเศร้าหมอง เป็นอกุศลจิต ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีเจตสิกฝ่ายดี เช่น ศรัทธา สติ เป็นต้น เกิดกับจิตใด ก็ปรุงแต่งให้จิตในขณะนั้น ผ่องใส ด้วยธรรมฝ่ายดี ซึ่งทั้งหมด นั้น ล้วนเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น, ทุกขณะไม่พ้นจากจิตเลย การศึกษาเรื่องจิตบ้าง เรื่องอารมณ์ของจิต บ้าง ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ในสภาพธรรมที่มีจริงๆ ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมเท่านั้น ไม่ใช่เรา ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
คลายความสังสัยไปได้มากเลยค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง อนุโมทนาบุญกับผู้รู้ทั้ง 2 ด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
จิตและเจตสิกเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียว ที่เกิดพร้อมกัน ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจขณะนั้น ก็มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย สะสมสืบต่อไม่สูญหายไปไหน ถ้าได้ฟังอีกก็เป็นปัจจัยให้เข้าใจขึ้นอีกค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ