ขออนุญาตส่ง (ต่อ) คำถามค่ะท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่านค่ะ...คำถามมีว่า
พระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้บรรพชิตหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอดู หรือดูดวง ซึ่งเป็นเดรัจฉานวิชชาเป็นการขวางทางนิพพานไม่เหมาะกับเพศบรรพชิต ในส่วนของคฤหัสนั้นผมยังเข้าใจไม่ชัดเจนว่าการพยากรณ์ ดูดวง การตัดกรรม จะไม่เป็นการกล่าวตู่หรือค้านในพุทธพจน์ข้อที่ว่า สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตนเอง หรือครับ
ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เป็นธรรมดาของสัตว์โลกจริงๆ สะสมมาแตกต่างกัน มีความประพฤติแตกต่างกันตามกาลสะสม บุคคลผู้ที่ขาดปัญญาและไม่มีที่พึ่งที่แท้จริง ย่อมแสวงหาที่พึ่งที่แตกต่างกันตามความเชื่อถือ ซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญาเลย เราจึงเห็นพฤติกรรมของคนมากมายที่กระทำต่างๆ นานา เป็นไปคล้อยตามความไม่รู้ อย่างเช่น เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ ก็ไปหาหมอดู ดังที่ปรากฏในประเด็นคำถาม คนดูก็ไม่รู้ คนที่ไปให้เขาดู ก็ไม่รู้ ต่างฝ่ายต่างๆ ไม่รู้ มีแต่จะเพิ่มพูนอกุศลให้มีมากขึ้น ขณะที่เป็นไปกับด้วยอกุศล ไม่มีคุณเลยแม้แต่น้อย ส่วนผู้ที่มีปัญญา ท่านไม่พึ่งหมอดู เพราะท่านได้ที่พึ่งอันประเสริฐ คือ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เข้าใจในเหตุในผลตามความเป็นจริง เมื่อได้รับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ไม่น่าชอบใจ ก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีใครทำให้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เกิดเพราะอดีตอกุศลกรรมที่ตนเองได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล จึงไม่โทษใคร และยังจะเป็นอนุสสติข้อเตือนใจให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตต่อไป
และที่น่าพิจารณา คือ ใครๆ ก็ไม่สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ นอกจากเราจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการสะสมสิ่งที่ดีคือ กุศล ต่อไป เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง พึ่งให้พ้นจากอกุศล พึ่งให้พ้นจากอบายภูมิ พึ่งให้พ้นจากการได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง โดยไม่ขาดการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ ซึ่ง การดูดวง ด้วยการเข้าใจผิด ก็เป็นการขัดหลักกับเรื่องกรรมและผลของกรรม ที่ไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
การทำนายดวง
ทุกวันนี้ทั้งคนทั้งมนุษย์ต่างพึ่งพาหมอดูกันมาก
ประเด็นของท่านผู้ถามมุ่งไปที่การได้รับผลของกรรมเป็นหลัก เรื่องกรรมและการให้ผลของกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก จะเห็นได้ว่าวิบาก ซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ไม่มีใครทำให้ ไม่มีใครบันดาลให้เกิดขึ้นได้ และกรรมที่ได้กระทำไปแล้ว ไม่มีใครไปตัดกรรมหรือไปแก้กรรมได้ เพราะได้กระทำไปแล้ว ถ้ามีใครบอกว่าให้มาทำโน่นทำนี่ เพื่อเป็นการตัดกรรมหรือแก้กรรม นั่นไม่ตรงตามพระธรรมคำสอนทางพระพุทธศานา ไม่ใช่ความจริงแต่ประการใด เพราะแท้ที่จริงแล้ว กรรมได้กระทำไปแล้ว ไม่สูญหายไปไหนสะสมสืบต่ออยู่ในจิต เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็ย่อมจะทำให้ผลเกิดขึ้นเป็นไป ตราบใดที่มียังขันธ์ คือ สภาพธรรมที่เกิดดับเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ ก็ยังไม่พ้นจากการได้รับผลของกรรม แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ซึ่งเป็นผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีใครเสมอเหมือน พระองค์ยังได้รับผลของอดีตกรรมที่พระองค์ได้เคยกระทำแล้ว ยกตัวอย่างช่วงที่พระองค์ถูกสะเก็ดหินกระทบที่พระบาท ก็เพราะอดีตกรรมของพระองค์ที่ในชาติก่อนๆ พระองค์ได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่
อดีตกรรมของพระพุทธเจ้า [ขุททกนิกาย อุทาน สุนทรีสูตร]
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถตัดกรรมได้ พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายก็ไม่สามารถตัดกรรมได้ แต่มีหนทางที่จะเป็นไปเพื่อการสิ้นกรรมและสิ้นการรับผลของกรรม นั่นก็คือ หนทางแห่งแห่งการอบรมเจริญปัญญา เพราะเมื่อดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีการกระทำกรรม และไม่มีการรับผลของกรรมอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่นั้น เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่ากรรมใด จะให้ผลเมื่อใด ที่ดีที่สุดแล้ว คือ สะสมกรรมดี ละเว้นจากการกระทำอกุศลกรรมโดยประการทั้งปวง ไม่ประมาทในชีวิตประจำวัน ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูล ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร เป็นกุศลยิ่งขึ้น กุศลเป็นที่พึ่งได้ ส่วนอกุศล พึ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีแต่จะนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เท่านั้น ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โดยมากในวันหนึ่งๆ สภาพจิตของปุถุชนทั้งหลายเป็นอกุศล คือ ถ้าจิตไม่เป็นไปในเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา จิตที่เป็นไปในเรื่องอื่นๆ เป็นอกุศลทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงการดูดวงต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่พ้นไปจากอกุศลเลย การดูดวง ทำนายดวง นอกจากตนเองจะพอกพูนความไม่รู้และกิเลสอื่นๆ แล้วยังเพิ่มพูนความหลงงมงายให้แก่ผู้ที่มาดู ด้วย
ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะต่อไป ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะได้รับผลของกรรมจะมาในลักษณะใดบ้าง เป็นต้น เพราะเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย จึงไม่ควรไปตกใจหรือกลัวกับคำพูดของบุคคลผู้ไม่รู้ความจริง ไม่มีใครทำอันตรายหรือทำให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเราได้ แต่ ที่จะทำให้เราได้รับสิ่งที่ไม่ดี ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่คนอื่นนำวันเดือนปีเกิดของเราไป แต่ขึ้นอยู่กับอกุศลกรรมของเรา ที่เคยทำแล้ว ถึงคราวให้ผลเท่านั้น
ใครๆ ก็ไม่สามารถกำหนดชีวิตของเราได้ นอกจากเราจะเป็นผู้ไม่ประมาทในการสะสมสิ่งที่ดี คือ กุศล ต่อไป เพราะกุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง พึ่งพึ่งให้พ้นจากอกุศล พึ่งให้พ้นจากอบายภูมิ พึ่งให้พ้นจากการได้รับผลของกรรมที่ไม่ดี ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมา ไม่ใช่เพื่อให้ดูดวงดาว หรือ ดูฤกษ์ หรือ ทายลักษณะ ตรัสรู้เพื่อสัตว์โลกอบรมอริยมรรคมีองค์ 8 ให้พ้นทุกข์ การดูดวง เป็นเดรัจฉานวิชา กั้นมรรคผล นิพพาน ค่ะ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะครับ ผมคิดว่าโหราศาสตร์เป็นเหมือนสถิติที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งสมุมติต่างๆ ที่คนบันทึกสถิติเก็บไว้นานๆ แล้วเอาออกมาใช้พยากรณ์คาดการณ์ล่วงหน้า เป็นวิชาของคฤหัสถ์ทั่วไปที่ไม่ได้สะสมปัญญาทางธรรมมามากพอที่จะไม่หวั่นไหวกับเรื่องราวในชีวิตประจำวัน แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะกล่าวแบบนี้เพื่อดูหมิ่นปัญญาผู้ใด ไม่เว้นแม้แต่วิทยาศาสตร์ที่ผู้คนบอกว่า "เป็นความจริง" ก็ไม่ใช่ความจริงตามพระธรรมอยู่ดี แม้เรื่องนั้นจะเป็นวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือและเป็นวิชาที่ชาวโลกสรรเสริญ แต่เพราะยังเข้าใจพระธรรมไม่มากพอ พอได้ยินได้ฟังอะไรก็จะตั้งจิตไว้ผิดหรือหวั่นไหวไปตามโลกธรรม การที่ผู้คนคอยเฝ้าดูข่าวการพยากรณ์ฟ้าฝน ตามหลักวิทยาศาสตร์ หรือพยากรณ์สภาพเศรษฐกิจ บางทีก็ไม่ได้เป็นไปตามคำทำนายเสมอไป แต่ผู้คนก็เชื่อเพราะวิชามีความน่าเชื่อถือ บางครั้งก็เป็นประโยชน์สำหรับบางคน หากใช้เป็นคำเตือนให้สำรวมระวัง เหมือนพ่อแม่เตือนลูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หากทำตัวเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่ผู้ฟังคำพยากรณ์มักจะยึดเอาคำพยากรณ์เป็นสรณะ ก็ทำให้ออกห่างพระสัทธรรมไป
พอได้ฟังธรรม บ่อยๆ ก็ค่อยๆ เลิก การดูดวง การแก้ปีชง หันมา เจริญกุศล เท่าที่สติปัญญาจะเกิด ความเข้าใจ ในสิ่งถูกต้อง เป็น เรื่องสำคัญมากๆ ไม่งมงาย แต่ ไม่หลบหลู่ ในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็ เพียรฟังธรรม เพื่อละความเห็นผิด เท่านั้น
อย่างที่ท่าน อาจารย์สุจินต์ กล่าวเสมอว่า ฟังธรรม เพื่อความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่่น
ขออนุโมทนาในกุศลจิต ของ ท่าน อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ