[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 128
วิริยารัมภาทิวรรคที่ ๗
ว่าด้วยเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม 62/128
อรรถกถาวิริยรัมภาทิวรรคที่ ๗ 131
อรรถกถาสูตรที่ ๑ 131
อรรถกถาสูตรที่ ๒ 131
อรรถกถาสูตรที่ ๓ 132
อรรถกถาสูตรที่ ๔ 136
อรรถกถาสูตรที่ ๕ 136
อรรถกถาสูตรที่ ๖ - ๗ 140
อรรถกถาสูตรที่ ๘ 140
อรรถกถาสูตรที่ ๙ 141
อรรถกถาสูตรที่ ๑๐ 141
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 128
วิริยารัมภาทิวรรคที่ ๗
ว่าด้วยเหตุเกิดขึ้นและเสื่อมไปแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม
[๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการปรารภความเพียร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้ปรารภความเพียร กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีความมักมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นคนมักมาก อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีความมักน้อย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลเป็นผู้มักน้อย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้ไม่สันโดษ ดูก่อนภิกษุ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 129
ทั้งหลาย เมื่อบุคคลไม่สันโดษ อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความสันโดษ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลสันโดษ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการใส่ใจโดยไม่แยบคาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยไม่แยบคาย อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนการใส่ใจโดยแยบคาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลใส่ใจโดยแยบคาย กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้ไม่รู้สึกตัว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลไม่รู้สึกตัว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 130
[๗๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรืออกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้รู้สึกตัว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้สึกตัว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
[๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้อย่างหนึ่ง ที่เป็นเหตุให้อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลมีมิตรชั่ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป.
จบ วิริยารัมภาทิวรรคที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 131
อรรถกถาวิริยารัมภาทิวรรคที่ ๗
อรรถกถาสูตรที่ ๑
ในสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า วีริยารมฺโภ ได้แก่ ความริเริ่มความเพียร คือสัมมัปปธาน ซึ่งมีกิจ ๔ อธิบายว่า ความเป็นผู้มีความเพียรอันประคองไว้บริบูรณ์.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ในสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า มหิจฺฉตา ได้แก่ ความโลภมาก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า ในธรรมเหล่านั้น ความมักมากเป็นไฉน? ความปรารถนายิ่งๆ ขึ้นไป แห่งภิกษุผู้ไม่สันโดษด้วยจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัย อันเป็นเภสัชชปริกขารยิ่งขึ้นๆ หรือด้วยกามคุณ ๕ ความปรารถนา ความเป็นแห่งความปรารถนา ความมักมาก ความกำหนัด ความกำหนัดมาก แห่งจิตเห็นปานนี้ใด นี้เรียกว่า มหิจฉตา ความมักมาก.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 132
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ในสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อปฺปิจฺฉตา ได้แก่ ความไม่โลภ. บทว่า อปฺปิจฺฉสฺส ได้แก่ผู้ไม่ปรารถนา ก็ในที่นี้ พยัญชนะ ดูเหมือนยังมีส่วนเหลือ คือยังมีปรารถนาอยู่บ้าง ส่วนอรรถไม่มีส่วนเหลือ คือไม่ปรารถนาเลย. จริงอยู่ บุคคลนั้นท่านเรียกว่า ผู้มีความปรารถนาน้อย เพราะภาวะที่มีความปรารถนามีประมาณน้อยก็หามิได้ แต่ท่านเรียกว่า มีความปรารถนาน้อย (มักน้อย) เพราะไม่มีความปรารถนา คือ ภาวะที่ไม่มีความโลภ ที่เขาส้องเสพบ่อยๆ นั่นแล.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ พึงทราบความต่างกันดังนี้ว่า อตฺริจฺฉตา ความปรารถนาเกิน ปาปิจฺฉตา ความปรารถนาลามก มหิจฺฉตา ความมักมาก. ใน ๓ อย่างนั้น ความไม่อิ่มในลาภของตนยังปรารถนา ในลาภของผู้อื่น ชื่อว่า ความปรารถนาเกิน. สำหรับผู้ประกอบด้วยความปรารถนาเกินนั้น แม้ขนมสุกในภาชนะหนึ่ง เขาใส่ไว้ในภาชนะของตน ย่อมปรากฏ เหมือนขนมที่สุกไม่ดี และเหมือนมีน้อย ขนมนั้นนั่นแล เขาใส่ในภาชนะของคนอื่น ปรากฏเหมือนสุกดี และเหมือนมีมาก. ความประกาศคุณที่ไม่มีอยู่ และความไม่รู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่า ความปรารถนาลามก. ความปรารถนาลามกแม้นั้น มาแล้วในอภิธรรม โดยนัยมีอาทิว่า คนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศรัทธา. บุคคลผู้ประกอบด้วยความปรารถนาลามกนั้น ย่อม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 133
ตั้งอยู่ในความหลอกลวง. ส่วนความประกาศคุณที่มีอยู่ และความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่าเป็นผู้มีความมักมาก. ความมักมากแม้นั้นก็มาแล้ว โดยนัยนี้เหมือนกันแหละว่า คนบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่า เป็นผู้มีศรัทธา. บางคนเป็นผู้มีศีล ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีศีล. บุคคลผู้ประกอบด้วยความมักมากนั้น เป็นผู้อิ่มได้ยาก. แม้มารดาผู้บังเกิดเกล้า ก็ไม่สามารถจะยึดจิตใจเขาได้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
อคฺคิกฺขนฺโธ สนุทฺโทจ มหิจฺโฉ จาปิ ปุคฺคโล
สกเฏน ปจฺจเย เทนฺตุ ตโยเปเต อตปฺปิยา.
กองไฟ ๑ สมุทร ๑ คนมักมาก ๑ ให้ปัจจัยตั้งเล่มเกวียน ทั้ง ๓ ประเภทนั้น ไม่รู้จักอิ่ม.
ส่วนการซ่อนคุณที่มีอยู่ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่า ความเป็นผู้มักน้อย. บุคคลผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้มักน้อยนั้น ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่าเป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีศีล ชอบสงัด เป็นพหูสูต ผู้ปรารภความเพียร ถึงพร้อมด้วยสมาธิ เป็นผู้มี ปัญญา เป็นขีณาสพ ย่อมไม่ปรารถนาว่า ขอชนจงรู้จักเราว่า เป็นพระขีณาสพ เหมือนพระมัชฌันติกเถระ ฉะนั้น.
ได้ยินว่า พระเถระ ได้เป็นพระขีณาสพผู้ใหญ่. แต่บาตร และจีวรของท่าน มีราคาเพียงบาทเดียวเท่านั้น. ท่านได้เป็นพระสังฆเถระ ในวันฉลองวิหาร ของพระเจ้าธรรมาโศกราช. ครั้งนั้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 134
มนุษย์ทั้งหลายเห็นว่า ท่านเป็นผู้ปอนนัก จึงกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า ขอท่านจงอยู่ภายนอกสักครู่เถิด. พระเถระคิดว่า เมื่อพระขีณาสพ เช่นเราไม่กระทำการสงเคราะห์พระราชา คนอื่นใครเล่าจักทำได้ ดังนี้แล้ว จึงดำลงในแผ่นดิน แล้วผุดขึ้นรับก้อนข้าวที่เขายกขึ้น เพื่อพระสังฆเถระได้พอดี. ท่านเป็นพระขีณาสพ ย่อมไม่ปรารถนาว่า ขอคนจงรู้จักเราว่าเป็นพระขีณาสพ ด้วยประการอย่างนี้.
ก็แล ภิกษุผู้มักน้อยอย่างนี้ ย่อมทำลาภที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น หรือย่อมทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง ย่อมทำจิตของทายก ให้ยินดี. ภิกษุนั้นย่อมถือเอาแต่น้อย เพราะความที่ตนเป็นผู้มักน้อย โดยประการใดๆ มนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสในวัตรของท่าน โดย ประการนั้นๆ ย่อมถวายเป็นอันมาก.
ความมักน้อยแม้อีกอย่าง มี ๔ ประการ คือ มักน้อยในปัจจัย ๑ มักน้อยในธุดงค์ ๑ มักน้อยในปริยัติ ๑ มักน้อยในอธิคม ๑ บรรดาความมักน้อย ๔ อย่างนั้น ความมักน้อยในปัจจัย ๔ ชื่อว่า มักน้อยในปัจจัย. ภิกษุนั้น ย่อมรู้กำลังของทายก ย่อมรู้กำลังของไทยธรรม ย่อมรู้กำลังของตน ถ้าไทยธรรมมีมาก ทายกประสงค์จะถวายน้อย ย่อมรับแต่น้อย ด้วยอำนาจทายก, ไทยธรรมมีน้อย ทายกประสงค์จะถวายมาก ย่อมรับแต่น้อย ด้วยอำนาจไทยธรรม แม้ไทยธรรมมีมาก ทั้งทายกก็ประสงค์จะถวายมาก ย่อมรู้จักกำลังของตนแล้ว รับแต่พอประมาณ. ภิกษุผู้ไม่ประสงค์จะให้คนอื่นรู้ การสมาทานธุดงค์แจ่มแจ้ง พึงทราบเรื่องเหล่านี้ เป็นอุทาหรณ์.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 135
เล่ากันมาว่า พระมหากุมารกัสสปเถระผู้ถือโสสานิกังคธุดงค์ อยู่ในป่าช้ามาตลอด ๖๐ ปี. ภิกษุอื่นแม้แต่รูปเดียวก็ไม่รู้ ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า
เราอยู่ในป่าช้ามาตลอด ๖๐ ปีรวด ภิกษุผู้เป็นเพื่อน ก็ไม่รู้เรา โอเราเป็นยอดของผู้ถือการอยู่ป่าช้า เป็นวัตร.
พระเถระสองรูปพี่น้องกันอยู่ที่เจติยบรรพต. น้องชายถือเอาท่อนอ้อยที่อุปัฏฐากส่งไปถวาย ไปสู่สำนักของพี่ชายกล่าวว่า ท่านขอรับ นิมนต์ท่านฉันเถิด. เวลาที่พูดเป็นเวลาที่พระเถระกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว บ้วนปาก. พระเถระกล่าว่า อย่าเลยคุณ. น้องชายกล่าวว่า ท่านถือเอกาสนิกังคธุดงค์หรือขอรับ. พระเถระกล่าวว่า เอามาเถอะคุณ ท่อนอ้อย แม้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์ถึง ๕๐ ก็ยังปกปิดธุดงค์ไว้ กระทำการฉันแล้ว บ้วนปาก อธิษฐานธุดงค์ใหม่แล้วไป. ก็ภิกษุใด เป็นเหมือนพระสาเกตติสสเถระ ไม่ปรารถนาจะให้ผู้อื่น รู้ว่าตนเป็นพหูสูต ภิกษุ ชื่อว่า เป็นผู้มักน้อยในปริยัติ.
ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า เวลาไม่มีจึงไม่กระทำโอกาสในอุเทศ (เรียน) และปริปุจฉา (สอบถาม) ถูกทักท้วงว่า ท่านขอรับ เมื่อไรท่านจักได้มรณขณะ (เวลาตาย) จึงสละหมู่ ไปยังกณิการวาลิกสมุทรวิหาร. ในที่นั้น ท่านได้มีอุปการะแก่พระเถระ พระนวกะ และพระมัชฌิมะ ตลอดภายในพรรษา ในปวารณาในวันอุโบสถ. ให้ชาวชนบทแตกตื่น ด้วยธรรมมีกถาแล้วก็ไป.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 136
ส่วนภิกษุใด เป็นพระอริยะชั้นใดชั้นหนึ่ง มีพระโสดาบันเป็นต้น ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเป็นพระโสดาบันเป็นต้น ภิกษุนี้ ชื่อว่า ผู้มีความปรารถนาน้อยในอธิคม เหมือนกุลบุตร ๓ คน แลเหมือนช่างหม้อ ชื่อฆฏีการะ. ก็ในอรรถนี้ แม้ปุถุชนผู้ศึกษาประกอบด้วย ความไม่โลภมีกำลังกล้า ได้อาเสวนะแล้ว ก็พึงทราบว่าเป็นผู้มักน้อย.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๓
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ในสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อสนฺตุฏฺิตา ได้แก่ ความโลภ กล่าวคือความไม่สันโดษ อันเกิดแก่บุคคลผู้เสพคบหา เข้าไปนั่งใกล้ บุคคลผู้ไม่สันโดษ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สนฺตุฏฺิตา ได้แก่ ความสันโดษ กล่าวคือความไม่โลภ อันเกิดแก่บุคคลผู้เสพคบหา เข้าไปนั่งใกล้ บุคคลผู้สันโดษ.
บทว่า สนฺตุฏฺสฺส ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความสันโดษในปัจจัย ตามมีตามได้ ความสันโดษนั้นมี ๑๒ อย่าง คือ ความสันโดษในจีวร
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 137
๓ อย่าง คือ ยถาลาภสันโดษ ๑ ยถาพลสันโดษ ๑ ยถาสารุปปสันโดษ ๑. ในบิณฑบาตเป็นต้นก็เหมือนกัน. สันโดษนั้น มีการพรรณนาตามประเภทดังต่อไปนี้ ภิกษุในพระศาสนานี้ ได้จีวรดี หรือไม่ดีก็ตาม เธอยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยจีวร นั่นแล ไม่ปรารถนาจีวรอื่น ถึงได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในจีวร ของภิกษุนั้น. ฝ่ายภิกษุอีกรูปหนึ่ง เป็นผู้มีกำลังทุรพลตามปกติ หรือถูกอาพาธ และชราครอบงำ ห่มจีวรหนัก ย่อมลำบาก เธอเปลี่ยนจีวรนั้นกับภิกษุผู้ชอบพอกัน ถึงจะยังอัตตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรเบา ก็เป็นผู้ สันโดษ. นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในจีวรของภิกษุนั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง เป็นผู้ได้ปัจจัยที่ประณีต ได้จีวรแผ่นผ้าที่นำมาแต่เมืองโสมาร เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีราคา ก็หรือว่า ได้จีวรเป็นอันมาก ให้ไปด้วยคิดว่าจีวรนี้ สมควรแก่พระเถระผู้บวชนาน นี้สมควรแก่ภิกษุ ผู้เป็นพหูสูต นี้สมควรแก่ภิกษุผู้เป็นไข้ นี้สมควรแก่ภิกษุผู้มีลาภน้อย แล้วจึงเลือกเอาจีวรเก่าของภิกษุเหล่านั้น หรือผ้าเปรอะเปื้อนจากกองขยะ เป็นต้น (หรือผ้าตกตามร้านตลาด) กระทำเป็นสังฆาฏิด้วยผ้าเหล่านั้น แม้ครองเองก็เป็นผู้สันโดษทีเดียว นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษ ของภิกษุนั้น. อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ได้บิณฑบาตอันเศร้าหมองหรือประณีต เธอย่อมยังอัตตภาพให้เป็นไป ด้วยบิณฑบาตนั้น นั่นแล ไม่ปรารถนาบิณฑบาตอื่น ถึงได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษของภิกษุนั้น อนึ่ง ภิกษุใดบิณฑบาตที่แสลงต่อปกติของตน หรือแสลงแก่ความป่วยไข้ บริโภคแล้วไม่ผาสุก เธอให้บิณฑบาตนั้นแก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แล้วฉันโภชนะอันเป็นสัปปายะ จากมือของภิกษุนั้น แม้กระทำสมณธรรมอยู่ ก็เป็นผู้สันโดษแท้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 138
นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษ ในบิณฑบาตของภิกษุนั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้บิณฑบาตอันประณีตเป็นอันมาก เธอถวายบิณฑบาตนั้น แก่พระเถระผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีลาภน้อย และผู้เป็นไข้ เหมือนจีวร แม้ฉันอาหารจากสำนักของภิกษุเหล่านั้น หรืออาหารที่ระคนกัน เพราะเที่ยวบิณฑบาตมา ก็ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษแท้. นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.
อนึ่งภิกษุในพระศาสนานี้ ได้เสนาสนะที่น่าชอบใจ หรือไม่น่าชอบใจ. เธอไม่ให้ความดีใจเกิดขึ้น ไม่ให้ความขุ่นใจเกิดขึ้น ย่อมยินดีด้วยเสนาสนะ ตามที่ได้เท่านั้น โดยที่สุดแม้เครื่องลาดทำด้วยหญ้า. นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น.
อนึ่ง ภิกษุได้เสนาสนะ แสลงแก่ปกติของตน หรือแสลงแก่ความเป็นไข้ของตน ซึ่งเธออยู่ ไม่มีความผาสุก เธอให้เสนาสนะนั้น แก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน แม้จะอยู่ในเสนาสนะอันเป็นสัปปายะ ก็เป็นผู้สันโดษแท้ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่งมีบุญมาก ได้เสนาสนะอันประณีตเป็นอันมาก มีถ้ำมณฑป และเรือนยอดเป็นต้น เธอถวายเสนาสนะแม้เหล่านั้น แก่พระเถระผู้บวชนาน ผู้พหูสูต ผู้มีลาภน้อย และผู้เป็นไข้เหมือน ดังจีวร ถึงจะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ก็เป็นผู้สันโดษแท้ นี้ ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น. แม้ภิกษุใด พิจารณาว่าธรรมดา ว่าเสนาสนะอันดีที่สุด เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ถีนมิทธะย่อมครอบงำสำหรับผู้นั่งในที่นั้น สำหรับผู้นอนหลับแล้วตื่นขึ้น วิตก
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 139
อันลามกย่อมปรากฏ เธอไม่รับเสนาสนะเช่นนั้น แม้ที่มาถึงแล้ว เธอปฏิเสธเสนาสนะนั้น ถึงจะอยู่ในกลางแจ้ง มีอยู่โคนไม้เป็นต้น ก็เป็นผู้สันโดษแท้ นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะ ของภิกษุนั้น.
อนึ่งภิกษุในพระศาสนานี้ ได้เภสัชอันเศร้าหมอง หรือประณีต เธอย่อมยินดีด้วยเภสัชที่ตนได้นั้น นั่นแล ไม่ปรารถนาเภสัชอื่น ถึงจะได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษ ในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น. อนึ่งภิกษุใด ต้องการน้ำมันกลับได้น้ำอ้อย แม้เธอถวายน้ำอ้อยนั้น แก่ภิกษุผู้ชอบพอกัน ถือเอาน้ำมันจากมือของภิกษุผู้ชอบกันนั้น หรือแสวงหาน้ำมันอื่น กระทำเภสัช ก็เป็นผู้สันโดษแท้ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษ ในคิลานปัจจัยของภิกษุนั้น ภิกษุอีกรูปหนึ่ง มีบุญมาก ได้เภสัชอันประณีตมีน้ำมัน และน้ำอ้อย เป็นต้นเป็นอันมาก เธอถวายเภสัชนั้น แก่พระเถระผู้บวชนาน ผู้พหูสูต ผู้มีลาภน้อย และผู้เป็นไข้ เหมือนจีวร แม้จะยังอัตตภาพให้เป็นไป ด้วยเภสัชอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเขานำมาแล้วเพื่อภิกษุเหล่านั้น ก็เป็นผู้สันโดษแท้. อนึ่งภิกษุใด เมื่อเขาใส่สมอดองน้ำมูตรลงในภาชนะหนึ่ง วางวัตถุมีรสอร่อย ๔ ลงในภาชนะหนึ่ง แล้วพูดว่าท่านขอรับ ท่านต้องการสิ่งใด จงถือเอาสิ่งนั้นไปเถิด ถ้าโรคของเธอสงบไป แม้ด้วยเภสัชทั้งสอง ชนิดใดชนิดหนึ่งไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ชื่อว่า สมอดองน้ำมูตร บัณฑิตทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นสรรเสริญแล้ว จึงปฏิเสธของมีรสอร่อย ๔ อย่าง แม้กระทำเภสัชด้วยสมอดองน้ำมูตร ก็เป็นผู้สันโดษอย่างยิ่ง นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษในคิลานปัจจัย ของ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 140
ภิกษุนั้น. ก็บรรดาสันโดษ ๓ ในปัจจัยเฉพาะอย่างหนึ่งๆ นี้ ยถาสารุปปสันโดษเป็นเลิศ.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๕
อรรถกถาสูตรที่ ๖ - ๗
ในสูตรที่ ๖ - ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
อโยนิโสมนสิการ และโยนิโสมนสิการ มีลักษณะดังกล่าวแล้วในหนหลัง และคำที่เหลือในสูตรนี้ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น แล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๖ - ๗
อรรถกถาสูตรที่ ๘
ในสูตรที่ ๘ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อสมฺปชญฺํ ได้แก่ ความไม่รู้ตัว. คำว่า อสมฺปชญฺํ นี้ เป็นชื่อของโมหะ. บทว่า อสฺปชานสฺส ได้แก่ ผู้ไม่รู้ตัว คือผู้หลง.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 141
อรรถกถาสูตรที่ ๙
ในสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สมฺปชญฺํ ได้แก่ ความรู้ตัว. บทว่า สมฺปชญฺํ นี้เป็น ชื่อแห่งปัญญา. บทว่า สมฺปชานสฺส ได้แก่ ผู้รู้ตัวอยู่.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๙
อรรถกถาสูตรที่ ๑๐
ในสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปาปมิตฺตตา ความว่า มิตรชั่ว คือลามก มีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่ามีมิตรชั่ว. ความมีมิตรชั่ว ชื่อว่า ปาปมิตตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว. คำว่า ปาปมิตตตา นี้ เป็นชื่อของขันธ์ ๔ ที่เป็นไปโดยอาการนั้น. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ในบรรดาธรรมเหล่านั้น ความเป็นผู้มีมิตรชั่วเป็นไฉน? บุคคลเหล่าใด เป็นผู้ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ทุศีล เป็นผู้มีสุขน้อย เป็นผู้ตระหนี่ เป็นผู้มีปัญญาทราม การเสพ การอาศัยเสพ การส้องเสพ การคบหา การสมคบ ความภักดี ความจงรัก บุคคลเหล่านั้น ความมีบุคคลเหล่านั้นเป็นเพื่อนนี้ เรียกว่า ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๑๐
จบ อรรถกถา วิริยาภัมภาทิวรรคที่ ๗