ผู้ศึกษาพระธรรมคงทราบดีว่า การเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง เพื่อโปรดสัตว์โลกให้รู้ตามเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง เพราะพระธรรมละเอียด ลึกซึ้งมากๆ จริงๆ แม้เพียงเข้าใจจริงๆ ขั้นการฟังก็นับว่ายากมาก มิใยต้องกล่าวถึงขั้นรู้ตรงลักษณะและการประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นเคล็ดไม่ลับคือเมื่อรู้ว่าพระธรรมยากมากๆ จึงต้องหมั่นฟังให้เข้าใจบ่อยๆ เนืองๆ จริงๆ ปัญญาจึงจะค่อยๆ เจริญทีละเล็กทีละน้อย
สาธุ
การฟังที่ยอดเยี่ยมคือการฟังธรรมให้เข้าใจค่ะ
เคล็ดไม่ลับ เริ่มต้นที่การฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอีกด้วยการฟังอีก ฟังเรื่อยๆ บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ขาดการฟัง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ตั้งใจจะศึกษาพระธรรม แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี ฟังธรรม มาก็หลายปี มี MP3 กว่า 60 แผ่น ได้แต่ฟังจริงๆ ประโยชน์มีแน่นอน แต่กับการอ่านไม่ได้เรื่องเลย ดูยากกว่าการฟังมาก ได้หนังสือปรมัตถธรรมสังเขปมาตั้งแต่ปี 2545 อ่านยังไม่ถึงไหนเลย มีหลายเล่มมาก ไปมูลนิธิฯ ก็ได้มาก็เก็บไว้ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี จนไม่สามารถสนทนาธรรม ที่เป็นเรื่องเป็นราวได้เลย เหมือนกับคนไม่มีความรู้เลย
ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
ค่อยๆ ตั้งใจฟังไปเรื่อยๆ ครับ ฟังตรงไหนเข้าใจตรงนั้น อ่านเล่มไหนค่อยเข้าใจเล่มนั้นปรมัตถธรรมสังเขป ก็เป็นหนังสือที่เป็นหลัก ทำให้เข้าใจปรมัตถธรรมมากยิ่งขึ้นไม่ต้องไปกังวลกับชื่อหรือตัวเลขอะไรมากมายก็ได้ ฟังธรรมะให้เข้าใจธรรมะ ถ้าอยากจะสอบตัวเองก็ลองตั้งคำถาม แล้วลองตอบคำถามด้วยตัวเองดู หรือคำถาม ท้ายบทในปรมัตถธรรมสังเขปก็มี ลองค่อยๆ ตอบดูนะครับ ถ้าไม่แน่ใจก็ขอเชิญสอบถามที่ มศพ. หรือตั้งกระทู้ถามมาก็ได้ครับ ขอเป็นกำลังใจให้ฟังต่อไป อย่าหยุดการฟังนะครับ
ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎในขณะนี้
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
การมีธรรม เป็นเครื่องอยู่ คือ อยู่กับธรรม
เป็นสิ่งที่ดีมาก ถ้าประกอบด้วย ความเห็นถูกเพราะเป็น การสะสมกุศลธรรมที่ยั่งยืนความหวังจะป็นเครื่องเนิ่นช้า จึงไม่ควรหาวิธี ว่าอย่างไรจึงจะถูกวิธีเพราะวิธีไม่มี.
มีแต่ธรรม คือ "เรา" โดยสมมติที่มีฉันทะในกุศล ในการศึกษาความจริงของชีวิต จริงๆ แล้ว "ไม่มีเรา" ที่ศึกษาแต่ เป็น จิต เจตสิก รูป กำลังทำกิจต่างๆ ที่บางครั้งจิต ก็ประกอบไปด้วย ศรัทธา ฉันทะ วิริยะ ปัญญา (เจตสิก) ที่ต่างทำกิจหน้าที่ของตนๆ ตามเหตุปัจจัยเมื่อทุกอย่างตามเหตุปัจจัย จึงเลือกไม่ได้แต่เจริญเหตุได้ ด้วยการฟัง พิจารณาการศึกษาเรื่องชีวิตนั้น คือ ศึกษาไปควบคู่กับการใช้ชีวิตตามปกติถ้าเป็นปกติ ก็จะไม่เครียด ไม่กังวล.
การวัดผลจึงไม่ใช่รู้ทั้งหมดในพระไตรปิฎก แต่รู้จักว่าอกุศลจิตคืออย่างไร กุศลจิตอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร เป็นเบื้องต้นจากการศึกษาฟัง อ่าน ค้นคว้า สนทนา ตามอัธยาศัยเพื่อเข้าใจ เท่านั้นค่ะ
ขออนุโมทนาฉันทะในกุศล
ผู้ที่ไม่ฟังพระธรรม แม้เคล็ดจะไม่ลับ ก็ยังมองไม่เห็นเคล็ดนี้ แต่สำหรับผู้ที่ฟังพระธรรม เคล็ดไม่ลับนี้ มีประโยชน์มากมายมหาศาลเพราะเป็นไปเพื่อการเจริญความเข้าใจความจริงแล้วประพฤติปฏิบัติตาม
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การที่ได้ศึกษาพระธรรม ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ โดยละเอียด ให้มีการเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของตนเองนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง และดับกิเลสได้ในที่สุด จึงไม่มีทางอื่น (ไม่มีเคล็ดไม่ลับอื่น) นอกจากค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ไม่ใจร้อน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาระสำคัญของการฟังพระธรรม คือ เป็นไปเพื่อการละ และ การอบรมเจริญปัญญาค่ะ
ความจริงแล้วการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องเบาสบายไม่หนัก ไม่เครียด ขณะใดที่ศึกษาพระธรรมแล้วรู้สึกหนัก และเครียดให้รู้ได้เลยว่าผิดทาง หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน (โลภะความอยากรู้เมื่อไม่รู้ตามความหวังก็โทสะ โกรธ หรือเครียด) ค่อยๆ ฟังและศึกษาให้เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจ ธรรมเป็นเรื่องยากมากเพราะเป็นเรื่องละ ในชีวิตมีแต่ความหวังสิ่งเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ เคล็ดไม่ลับก็มีอย่างเดียวคือ ฟังให้เข้าใจ สงสัยถาม ไม่คิดเอง แต่เป็นความเข้าใจของตนเอง ฟังบ่อยๆ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องซ้ำซากจำเจ แม้เป็นเรื่องเดิม การฟังเรื่องเดิมจะทำให้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ที่เข้าใจเป็นเพียงเรื่องราวของธรรมเอง ยังไม่เข้าถึงสภาพธรรมะเลย การฟัง การศึกษาจะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้เข้าถึงสภาพธรรมะที่ปรากฏ มีหนทางเดียว
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ
ความเข้าใจทั้งหมด เกิดขึ้นได้ด้วยการตั้งใจฟังจริงๆ