* พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงกุศลที่ควรอบรมเจริญเป็นปกติเนืองๆ ในชีวิตประจำวันในทุกที่ทุกเวลา ก็คือเมตตา และมรณสติ (สัพพัตถกกรรมฐาน เพราะเป็นกรรมฐานอันพึงปรารถนาในที่ทั้งปวง)
* เมตตา คือความเป็นมิตร เป็นเพื่อน เป็นความปรารถนาดีแก่สัตว์บุคคลทั้งหลาย
* เมื่อยังมีชีวิตเป็นไปอยู่ ก็ย่อมมีการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นในฐานะต่างๆ เช่น บิดา มารดา คนในครอบครัว ญาติ มิตร สหาย และบุคคลต่างๆ ซึ่งควรมีจิตใจที่ประกอบด้วยเมตตาแก่กัน แทนที่จะเป็นอกุศลด้วยความผูกพัน ติดข้อง หรือขุ่นเคือง ไม่พอใจ
* ผู้มีเมตตาจิต ย่อมอยู่เป็นสุข และเป็นที่รักที่ชอบใจของบุคคลทั้งหลาย
* แต่ก็เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต เพราะรู้ตามความเป็นจริงว่าทุกคนมีความตายเป็นธรรมดา จึงปรารภถึงความตายอยู่เนืองๆ และละคลายความยินดีติดข้องที่มากมายในชีวิตลงบ้าง พร้อมทั้งเห็นประโยชน์ในการเจริญกุศลประการต่างๆ โดยเฉพาะความเข้าใจธรรม
* มรณสติ คือสติและปัญญาที่เข้าใจถูกในมรณะ คือความตาย ดังนี้ว่า
- ความตายโดยสมมติ (สมมติมรณะ) ก็คือทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องตายอย่างแน่นอน และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสจนหมดสิ้น ก็ต้องเกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่อีกต่อๆ ไป
-ความตายในแต่ละขณะ (ขณิกมรณะ) คือสภาพธรรม (จิต เจตสิก รูป) ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วในขณะนี้เอง แต่ด้วยการเกิดดับสืบต่อที่รวดเร็วสุดประมาณ จึงไม่อาจรู้จักความตายนี้ได้โดยง่าย เพราะต้องเป็นปัญญาที่อบรมจนคมกล้าถึงระดับที่จะรู้ในความเกิดดับของสภาพธรรมในขณะนี้ได้
- ความตายอย่างสิ้นเชิงที่จะไม่มีการเกิดอีกเลย (สมุจเฉทมรณะ) คือความตายของพระอรหันต์ เพราะเมื่อจิตสุดท้าย (จุติจิต) ของพระอรหันต์เกิดแล้วดับไป จะไม่มีการเกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใดๆ อีกเลย
* ความเข้าใจธรรมถูกต้องว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนใดๆ จะเกื้อกูลให้เกิดเมตตาในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้บัญญัติว่าเป็นสัตว์บุคคล (โดยสมมติ) และมรณสติในทุกระดับ ซึ่งเป็นประโยชน์ในชีวิตที่จะละคลายความผูกพัน และความเศร้าโศกถึงบุคคลที่เคยยึดถือว่าเกี่ยวข้องกับเราในฐานะต่างๆ เพราะเข้าใจถูกว่าแท้จริงแล้วไม่มีเรา ไม่มีคนนั้นๆ แต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปเท่านั้นเอง
โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... คติธรรม
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโทนาด้วยครับ