[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 467
๙. อุปเสนวังคันตปุตตสูตร
ว่าด้วยชีวิตไม่เดือดร้อน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 467
๙. อุปเสนวังคันตปุตตสูตร
ว่าด้วยชีวิตไม่เดือดร้อน
[๑๐๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 468
อย่างนี้ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เราออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เพื่อนพรหมจรรย์ของเรามีศีลมีธรรมอันงาม เราเป็นผู้กระทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแน่วแน่เป็นอันดี เราเป็นพระอรหันตขีณาสพ และเราเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ชีวิตของเราเจริญ ความตายของเราเจริญ.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรด้วยพระหฤทัยแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุดคือมรณะ ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศกในท่ามกลางแห่งสัตว์มีความโศก ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่.
จบอุปเสนวังคันตปุตตสูตรที่ ๙
อรรถกถาอุปเสนวังคันตปุตตสูตร
อุปเสนวังคันตปุตตสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุปเสโน ในบทว่า อุปเสนสฺส นี้ เป็นชื่อของพระเถระนั้น. ก็เพราะท่านเป็นบุตรของท่านวังคันตพราหมณ์ เขาจึงเรียกว่า วังคันตบุตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 469
ความพิสดารว่า พระเถระนี้ เป็นน้องชายของท่านพระสารีบุตร บวชในพระศาสนา เมื่อยังไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท อุปสมบทได้ ๒ พรรษา เป็นพระอุปัชฌาย์ให้อุปสมบทภิกษุรูปหนึ่ง พร้อมกับภิกษุนั้นไปอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ภิกษุนั้นเป็นสัทธิวิหาริกของเธอ แล้วทรงติเตียนโดยนัยอันมาในขันธกะว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ เธอเวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมากเร็วเกินไป คือ การเนื่องด้วยคณะ เป็นผู้มีใจสลดเหมือนม้าที่ถูกตีด้วยแส้ จึงเกิดอุตสาหะขึ้นว่า แม้ถ้าบัดนี้เราอาศัยบริษัทถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงติเตียน และก็เพราะอาศัยบริษัทเหมือนกัน จึงได้รับการสรรเสริญ ดังนี้แล้ว จึงสมาทานธุตธรรมทั้งหมดประพฤติเริ่มวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้อภิญญา ๖ บรรลุปฏิสัมภิทา เป็นพระมหาขีณาสพ ให้นิสิตของตนทรงธุดงค์เหมือนกัน พร้อมกับนิสิตเหล่านั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้รับการสรรเสริญจากสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า เนื่องด้วยบริษัทโดยนัยที่มาแล้วในสันถตสิกขาบทว่า อุปเสน บริษัทนี้ของเธอน่าเลื่อมใสแล จึงทรงสถาปนาไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้มีความเลื่อมใสรอบด้าน คือ อุปเสนวังคันตบุตร เป็นเอตทัคคะ ในบรรดาพระมหาสาวก ๘๐ รูป ท่านก็จัดเข้าในภายในรูปหนึ่ง.
วันหนึ่งท่านกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เมื่อพวกอันเตวาสิกไปสู่ที่พักกลางวันของตนๆ จึงถือเอาน้ำจากหม้อน้ำ ล้างเท้าแล้ว ลูบตัวให้เย็น ลาดท่อนหนัง แล้วนั่งพักผ่อนกลางวัน นึกถึงคุณความดีของตน. พวกนิสิตของท่านหลายร้อยหลายพันรูปช่วยกันบำรุงท่านไม่ขาดสาย. ท่านส่งมนสิการมุ่งตรงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อันดับแรกคุณความดีของสาวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 470
ยังมีประมาณถึงเพียงนี้ พระคุณของพระศาสดาของเราจะเป็นเช่นไรหนอ. พวกนิสิตเหล่านั้น หลายพันโกฏิ พากันบำรุงท่านตามสมควรแก่พลังญาณ. ท่านระลึกถึงพระคุณของพระศาสดา อันเหมาะสมแก่ภาวะที่ปรากฏแจ่มแจ้ง โดยนัยมีอาทิว่า พระศาสดาของเราทรงมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีวิมุตติอย่างนี้ และโดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่นั้นจึงระลึกถึงคุณของพระธรรมโดยนัยมีอาทิว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว และคุณของพระอริยสงฆ์โดยนัยมีอาทิว่า พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เมื่อคุณของพระรัตนตรัยปรากฏแจ่มแจ้งด้วยอาการอย่างนี้ พระมหาเถระจึงมีใจชื่นชมเบิกบาน นั่งเสวยปีติและโสมนัสอันโอฬาร มีโวการมีอาการเป็นอเนก. เพื่อจะแสดงถึงเนื้อความนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร อยู่ในที่ลับ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รโหคตสฺส แปลว่า อยู่ในที่ลับ.
บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ เป็นผู้โดดเดี่ยว.
บทว่า เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ ความว่า ความวิตกแห่งจิตซึ่งมีอาการที่จะกล่าวในบัดนี้ เกิดขึ้นแล้วด้วยอาการอย่างนี้.
บทว่า ลาภา วต เม ความว่า ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า การมีศรัทธา และการบรรลุมรรคผลเป็นต้นเหล่านั้น จัดเป็นลาภของเราอันน่าอัศจรรย์จริงหนอ.
บทว่า สุลทฺธํ วต เม ความว่า การบรรพชาอุปสมบทและการเข้าไปนั่งใกล้พระรัตนตรัยเป็นต้น เราได้แล้วในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้นั้น เราได้ดีแล้วจริงเชียวหนอ. ท่านกล่าวเหตุในข้อนั้น โดยนัยมีอาทิว่า สตฺถา จ เม ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 471
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า สตฺถา วต เม เป็นต้นนั้น ชื่อว่า สตฺถา เพราะพร่ำสอนเหล่าสัตว์ตามสมควรด้วยประโยชน์ในภพนี้ ประโยชน์ในภพหน้า และปรมัตถประโยชน์.
ชื่อว่า ภควา เพราะเหตุมีความเป็นผู้มีภาคยธรรมเป็นต้น.
ชื่อว่า อรหํ (พระอรหันต์) เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งหลาย ๑ เพราะกำจัดซี่กำแห่งสังสารจักร ๑ เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลส ๑ เพราะเป็นผู้สมควรแก่สักการะมีปัจจัยเป็นต้น ๑ เพราะไม่มีที่ลับในการทำบาป ๑.
ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธ์ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง ในข้อนี้มีความสังเขปเพียงเท่านี้. ส่วนความพิสดารควรค้นดูในพุทธานุสตินิเทศ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคเถิด.
บทว่า สฺวากฺขาเต แปลว่า ตรัสดีแล้ว คือ ตรัสให้นำสัตว์ออกจากทุกข์โดยส่วนเดียว.
บทว่า ธมฺมวินเย ได้แก่ ปาพจน์. จริงอยู่ ปาพจน์นั้น ท่านเรียกว่า ธรรมวินัย เพราะทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติตามที่พร่ำสอน จากการตกไปในสังสารทุกข์ และเพราะกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น.
บทว่า สพฺรหฺมจาริโน ความว่า ชื่อว่า สพรหมจารี เพราะประพฤติคือปฏิบัติสม่ำเสมอซึ่งพระศาสนา คือ พรหม เพราะอรรถว่า ประเสริฐ ได้แก่ อริยมรรคสัจจะของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า สีลวนฺโต ได้แก่ ผู้มีศีล คือ ศีลในมรรคและศีลในผล.
บทว่า กลฺยาณธมฺมา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีกัลยาณธรรม เพราะมีธรรมอันงามคือดี เช่น สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นต้น. ด้วยคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงข้อปฏิบัติอันดีแก่พระสงฆ์.
ด้วยบทว่า สีเลสุ จมฺหิ ปริปูริการี นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แม้เราบวชแล้ว ก็มิได้กล่าวติรัจฉานกถา เป็นผู้มากไปด้วยความเพียรอันมั่นคงอยู่ โดยที่แท้เราบำเพ็ญศีลทั้ง ๔ มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 472
ปาฏิโมกขสังวรศีลเป็นต้น ไม่ให้ขาด ไม่ให้ทะลุ ไม่ให้ด่าง ไม่ให้พร้อย ให้เป็นไท ให้เป็นศีลอันวิญญูชนสรรเสริญ ให้เป็นศีลอันตัณหาและทิฏฐิแตะต้องไม่ได้ ให้บรรลุเฉพาะอริยมรรคเท่านั้น. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงความเพียบพร้อมด้วยอริยผลทั้งสองเบื้องต่ำของพระองค์. จริง พระโสดาบันและพระสกทาคามี เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย.
บทว่า สุสมาหิโต จมฺหิ เอกคฺคจิตฺโต ความว่า เราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิ ต่างโดยอุปจารและอัปปนา และเป็นผู้มีจิตไม่ฟุ้งซ่านแม้โดยประการทั้งปวง. ด้วยคำคือความเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธินี้ ทรงแสดงถึงความเพียบพร้อมด้วยอริยผลที่ ๓ ของพระองค์. จริงอยู่ พระอนาคามีเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ.
บทว่า อรหา จมฺหิ ขีณาสโว ความว่า เราเป็นผู้ชื่อว่าขีณาสพ เพราะอาสวะมีกามาสวะเป็นต้น สิ้นไปโดยประการทั้งปวง เพราะเหตุนั้นนั่นแล เราจึงเป็นผู้ชื่อว่าสิ้นกิเลสเครื่องพยุงสัตว์ไว้ในภพ และชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศในโลก พร้อมทั้งเทวโลก. ด้วยคำนี้ ทรงแสดงถึงความที่พระองค์ทรงกระทำกรณียกิจเสร็จแล้ว.
บทว่า มหิทฺธิโก จมฺหิ มหานุภาโว ความว่า เราชื่อว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก เพราะประกอบด้วยความเป็นผู้มีความชำนาญมากในฤทธิ์ มีการอธิษฐานและมีการกระทำให้เป็นต่างๆ เป็นต้น และชื่อว่ามีอานุภาพมาก เพราะเพียบพร้อมด้วยบุญญานุภาพ และคุณานุภาพอันโอฬาร. ด้วยคำนี้ พระองค์ทรงแสดงถึงการประกอบด้วยโลกิยอภิญญา และอนุปุพพวิหารสมาบัติ ๙ ของพระองค์. จริงอยู่ พระสาวกชื่อว่าเป็นอริยะ เพราะเป็นผู้ชำนาญในอภิญญาทั้งหลาย ชื่อว่ามีฤทธิ์มาก เพราะยังสิ่งตามที่ตนปรารถนาให้สำเร็จ และชื่อว่ามีอานุภาพมาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 473
เพราะชำระสันดานให้หมดจด ด้วยอุปนิสัยสมบัติในปางก่อน และด้วยวิหารสมาบัติต่างๆ แล.
บทว่า ภทฺทกํ เม ชีวิตํ ความว่า กายนี้ของเราผู้ประกอบคุณมีศีลอย่างนี้เป็นต้น ยังทรงอยู่เพียงใด ประโยชน์สุขนั่นแล ก็ยังเจริญอยู่แก่หมู่สัตว์เพียงนั้น ถึงชีวิตของเรา ก็ชื่อว่าเจริญ คือ ดีงาม เพราะว่าเป็นบุญเขต.
ด้วยบทว่า ภทฺทกํ มรณํ นี้ พระองค์ทรงแสดงถึงความเป็นผู้คงที่ ในอรรถทั้ง ๒ ว่า ก็ถ้าเบญจขันธ์นี้จะดับไปในวันนี้ หรือในขณะนี้แหละ เหมือนไฟหมดเชื้อฉะนั้น แม้มรณะ คือ ปรินิพพานอันหาปฏิสนธิมิได้ของเรานั้น ก็จัดเป็นความดี. ดังนั้น พระมหาเถระจึงตรึกถึงความที่ตนมีโสมนัสอย่างโอฬาร ด้วยความนับถือมากในธรรม และด้วยการเสวยปีติอันเกิดแต่ธรรม เพราะตนยังละความหนาไปด้วยความเย่อหยิ่งในโสมนัสไม่ได้.
พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั้นแล ทรงทราบเรื่องนั้นด้วยพระสัพพัญญุตญาณ จึงทรงเปล่งอุทานนี้ อันประกาศความเป็นผู้คงที่ของท่านทั้งในชีวิตและมรณะ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯเปฯ อุทาเนสิ ดังนี้ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ชีวิตํ น ตปติ ความว่า ชีวิตย่อมทำบุคคลผู้เป็นพระขีณาสพไม่ให้เดือดร้อน คือ ไม่ให้ลำบาก เพราะความเกิดขึ้นแห่งขันธ์ต่อไปไม่มีโดยประการทั้งปวง. อีกอย่างหนึ่ง ชีวิตที่เป็นปัจจุบันนั่นแล ย่อมไม่เบียดเบียน เพราะประกอบด้วยสติสัมปชัญญะในที่ทุกสถาน เหตุถึงความไพบูลย์ด้วยสติปัญญา เพราะชีวิตนั้นเป็นสังขตธรรมโดยประการทั้งปวง. จริงอยู่ อันธปุถุชนผู้คบหาคนชั่ว มากไปด้วยอโยนิโสมนสิการ ไม่บำเพ็ญกุศล ไม่บำเพ็ญบุญ ย่อมเดือดร้อนด้วยความเดือดร้อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 474
มีอาทิว่า เราไม่ได้ทำกรรมดีไว้หนอ เพราะเหตุนั้น ชีวิตของเขาจึงทำให้เขาเดือดร้อน. ฝ่ายบุคคลนอกนี้ ผู้ไม่ทำบาป ทำแต่บุญ หรือพระเสขบุคคล ๗ จำพวก กับกัลยาณปุถุชน ย่อมไม่เดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนในภายหลัง เพราะเว้นจากธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน และเพราะประกอบด้วยธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน เพราะเหตุนั้น ชีวิตของเขาเหล่านั้นจึงไม่เดือดร้อน. ส่วนในพระขีณาสพ ไม่จำต้องกล่าวถึงเลย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงแต่งอรรถวรรณนาด้วยอำนาจปวัตติทุกข์ .
บทว่า มรณนฺเต น โสจติ ความว่า ในที่สุด คือ ในที่สุดรอบ กล่าวคือ มรณะ หรือในเวลาใกล้จะตาย เขาย่อมไม่เศร้าโศก เพราะถอนความโศกขึ้นได้ด้วยอนาคามิมรรคนั้นเอง.
บทว่า สเว ทิฏฺปโท ธีโร โสกมชฺเฌ น โสจติ ความว่า เขาชื่อว่าเห็นบท เพราะเห็นบทธรรม ๔ มีอนภิชฌาเป็นต้น หรือเห็นพระนิพพานนั่นเอง ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ คือ พระขีณาสพ เพราะเพียบพร้อมด้วยปัญญา แม้ตั้งอยู่ในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้ยังไม่ปราศจากราคะอันได้นามว่าโสกะเพราะมีความโศกเป็นธรรม หรือในท่ามกลางแห่งโลกธรรมอันเป็นเหตุแห่งความโศก ย่อมไม่เศร้าโศก.
บัดนี้ เพื่อจะแสดงความที่ภิกษุนั้นไม่มีเหตุแห่งความโศกโดยประการทั้งปวง จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อุจฺฉินฺนภวตณฺหสฺส ดังนี้.
ในคำว่า อุจฺฉินฺนภวตณฺหสฺส นั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ภวตัณหา อันผู้ใดตัดขาดแล้วโดยประการทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค ผู้นั้นชื่อว่ามีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว. ภิกษุนั้น คือ ภิกษุผู้ขีณาสพ ชื่อว่าผู้มีจิตสงบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 475
เพราะสงบกิเลสที่เหลือได้เด็ดขาด.
บทว่า วิกฺขีโณ ชาติสํสาโร ความว่า สงสารมีความเกิดเป็นต้น ซึ่งมีลักษณะดังกล่าวแล้วว่า
ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และอายตนะ เป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร ดังนี้ สิ้นแล้วโดยพิเศษ. เพราะเหตุไร? เพราะภพใหม่ของภิกษุนั้นไม่มี อธิบายว่า เพราะเหตุที่พระอริยบุคคลนั้นคือเห็นปานนั้น ไม่เกิดอีกต่อไป ฉะนั้น สงสารคือความเกิดของท่านจึงสิ้นไป. ก็เพราะเหตุไรท่านจึงไม่เกิดอีก? ควรพูดอีกว่า เพราะท่านตัดภวตัณหาได้เด็ดขาด และเป็นผู้มีจิตสงบ. อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบความว่า สงสาร คือ ชาติสิ้นแล้ว เพราะเหตุนั้นแล ท่านจึงไม่เกิดอีก.
จบอรรถกถาอุปเสนวังคันตปุตตสูตรที่ ๙