มีเหตุอะไรให้สังเกตว่า การเห็น และ การได้ยิน เป็นคนละขณะ และ ทำไม
การเห็นถึงเป็นการเห็นเพียงคนเดียว โดยไม่มีใครร่วมเห็นด้วย พยายามพิจารณา
ประโยคนี้ อยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เข้าใจ แต่ได้ยินบ่อยมากๆ
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เบี้องต้นย่อมตามปริยัติที่
ทรงแสดงไว้เรื่องการเกิดดับของจิตที่รวดเร็วมาก ผู้มีปัญญาย่อมประจักษ์แจ้ง
ได้ ฉะนั้นตามวาระของวิถีจิตระหว่างการเห็นกับการได้ยิน มีจิตเกิดดับระหว่าง
นั้นเป็นจำนวนมาก คือ วิถีจิตทางจักขุทวารเกิดขึ้นดับไป ๑๗ ขณะ จากนั้น
มีจิตทำกิจภวังค์คั่นอีกจำนวนมาก และวิถีจิตทางมโนทวาร เกิดต่ออีกหลาย
วาระ หลังจากนั้น จึงมีการได้ยิน ซึ่งเป็นวิถีจิตทางหูเกิดได้ และวิถีทางทวารหู
เกิดต่ออีกตามอายุของรูป และมีมโนทวารวิถีเกิดต่ออีกจำนวนมาก จึงมีการเห็น
ทางตา ส่วนคำกล่าวที่ว่า " เห็นเพียงคนเดียว " หมายถึงขณะจิตที่กำลังเห็น
นั้นมีเพียงจิตดวงเดียวเท่านั้น ไม่มีจิตดวงอื่นมาร่วมเห็นด้วย คือแต่ละดวงก็เป็น
แต่ละดวง
สำหรับผู้เริ่มต้น ต้องเข้าใจความต่างกันของการมีสติกับการหลงลืมสติก่อน
และสติจะระลึกไปในสภาพธรรมอะไร ก็ไม่สามารถเจาะจงได้ สติและปัญญาที่
เกิดบ่อยๆ ย่อมเห็นความต่างกันของสภาพธรรมได้ การเข้าใจการเห็นและการ
ได้ยินว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพื่อละความเห็นผิด ไม่ใช่สังเกตเพื่อให้
แยกกัน หรือรู้ว่าคนละขณะ การที่จะแยกนามธรรมออกจากรูปธรรมได้นั้น ไม่
ใช่ปัญญาเบื้องต้นเลย
จากการฟังควรค่อยๆ เข้าใจความแตกต่างของลักษณะของสภาพธรรมแต่ละ
ทาง คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ว่า แต่ละทางต่างกันอย่างไร และแต่ละ
ทางมีลักษณะเฉพาะของตนอย่างไร และไม่ปะปนกับทางอื่นได้เลย จึงจะทำให้
ค่อยๆ น้อมไปเข้าใจได้ว่า " จิตรู้อารมณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น "
อนุโมทนา