[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 454
อัฏฐกนิบาตชาดก
๑. กัจจานิวรรค
๑. กัจจานิชาดก
ว่าด้วยในกาลไหนๆ ธรรมย่อมไม่ตาย
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 59]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 454
อัฏฐกนิบาตชาดก
๑. กัจจานิวรรค
๑. กัจจานิชาดก
ว่าด้วยในกาลไหนๆ ธรรมย่อมไม่ตาย
[๑๑๒๑] ดูก่อนแม่กัจจานี ท่านสระผม นุ่งห่ม ผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำหรับนึ่ง ขึ้นบนเตา ที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์ ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสารทำไม ข้าวสุกคลุกงา จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร?
[๑๐๒๒] ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงา ที่ทำให้สุกดีนี้ มิใช่เพื่อบริโภคเอง ธรรม คือ ความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และธรรม คือ สุจริต ๓ ประการ ได้สูญไปแล้ว วันนี้ข้าพเจ้า จักทำการบูชาธรรมนั้น ในกลางป่าช้า.
[๑๑๒๓] ดูก่อนแม่กัจจานี เธอจงตริตรองก่อน แล้วจึงทำการงาน ใครบอกเธอว่า ธรรมสูญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 455
เสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐ เปรียบด้วยท้าวสหัสสเนตรนี้ อานุภาพหาที่เปรียบมิได้ ย่อมไม่ตายในกาลไหนๆ.
[๑๑๒๔] ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่า ธรรมสูญแล้วนี้ ข้าพเจ้านึกมั่นใจเอาเอง ในข้อที่ว่า ธรรมไม่มีสูญนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัย เพราะเดี๋ยวนี้ คนมีบาปย่อมมีความสุข.
เช่น หญิงสะใภ้ของข้าพเจ้า เป็นหญิงหมัน นางทุบตีขับไล่ข้าพเจ้า แล้วคลอดบุตร เดี๋ยวนี้ นางได้เป็นใหญ่ แห่งตระกูลทั้งหมด ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่งอยู่คนเดียว.
[๑๑๒๕] เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย เรามาในที่นี้เพื่อประโยชน์ สำหรับท่านโดยเฉพาะ หญิงสะใภ้คนใด ทุบตีขับไล่ท่าน แล้วคลอดบุตร เราจักทำหญิงสะใภ้คนนั้น พร้อมทั้งบุตร ให้เป็นเถ้าธุลีเดี๋ยวนี้.
[๑๑๒๖] ข้าแต่เทวราช พระองค์ทรงพอพระทัย เสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์สำหรับหม่อมฉัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 456
โดยเฉพาะอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร ลูกสะใภ้ และหลาน ได้อยู่เรือนร่วมกัน โดยความบันเทิงเถิด.
[๑๑๒๗] ดูก่อนแม่กาติยานี เธอชอบใจเช่นนั้น ก็ตาม เธอถึงจะถูกทุบตีขับไล่ ก็ไม่ละธรรม คือ ความเมตตา ขอให้เธอพร้อมทั้งบุตร ลูกสะใภ้ และหลาน จงอยู่เรือนร่วมกัน โดยความบันเทิงเถิด.
[๑๑๒๘] นางกาติยานี ได้อยู่ร่วมเรือน กับลูกสะใภ้ ด้วยความบันเทิงทั้งลูก และหลานต่างช่วยกันบำรุงเลี้ยง เพราะท้าวสักกเทวราช ทรงอนุเคราะห์.
จบ กัจจานิชาดกที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 457
อรรถกถาชาดก
อัฏฐกนิบาต
อรรถกถากัจจานิวรรคที่ ๑
อรรถกถากัจจานิโคตตชาดกที่ ๑
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภอุบาสก ผู้เลี้ยงมารดาคนหนึ่ง จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า โอทาตวตฺถา สุจิ อลฺลเกสา ดังนี้.
ได้ยินว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น เป็นลูกผู้ดี เมืองสาวัตถี เป็นคนมีมรรยาทดี เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดาเหมือนเทวดา บำรุงมารดาด้วยการขวนขวาย จัดน้ำล้างหน้า บ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้า เป็นต้น และด้วยข้าวยาคู แลภัตรเป็นอาทิ. ครั้งหนึ่งมารดา กล่าวกะเขาว่า ลูกรัก เจ้ามีการงาน ซึ่งเป็นเรื่องของฆราวาสมากมาย จงพาหญิง ที่มีตระกูลเสมอกัน คนหนึ่งเป็นภรรยา เขาจักเลี้ยงดูแม่ ส่วนเจ้าจักได้ทำการงานของตัวไป. เขากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ฉันหวังประโยชน์สุข สำหรับตน จึงบำรุงเลี้ยงแม่ คนอื่นใครเล่าจักบำรุงเลี้ยงได้อย่างนี้. มารดากล่าวว่า ลูกรัก เจ้าควรทำการงาน ที่ให้ตระกูลเจริญ. เขากล่าวว่า ฉันไม่ต้องการครองเรือน ฉันจักบำรุงเลี้ยงแม่ เวลาแม่สิ้นชีพแล้ว ฉันจักบวช. ลำดับนั้น มารดาของเขา แม้อ้อนวอนบ่อยๆ ก็ไม่ได้ดังใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 458
จึงไม่ถือความพอใจของเขา เป็นเกณฑ์ นำหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกัน มาให้เขา. เขาก็มิได้คัดค้านมารดา ได้อยู่ร่วมกันกับหญิงนั้น. แม้หญิงนั้น ก็คิดว่า สามีของเรา บำรุงเลี้ยงมารดา ด้วยความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ แม้เราก็ควรจักบำรุงเลี้ยงท่าน เมื่อเราทำอย่างนี้ ก็จักเป็นที่รักของสามี คิดดังนี้แล้ว ก็บำรุงแม่ผัวโดยเคารพ. อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคิดว่า หญิงนี้ บำรุงเลี้ยงมารดาของเรา โดยเคารพ จึงนับแต่นั้นมา เขาได้ให้ของกิน ที่มีรสอร่อยที่ได้มาๆ แก่นางผู้เดียว. ครั้นเวลาต่อมา หญิงนั้น คิดว่าบุรุษผู้นี้ ให้ของกินที่มีรสอร่อยๆ ที่ได้มาๆ แก่เราเท่านั้น เขาคงจักต้อง การขับไล่มารดาเป็นแน่ เราจักทำอุบายขับไล่แก่เขา นางลืมตัวคิดไป โดยไม่ไตร่ตรองอย่างนี้ วันหนึ่ง จึงบอกสามีว่า คุณพี่ เมื่อพี่ออกไปข้างนอก มารดาของพี่ด่าฉัน. เขาได้นิ่งเสีย นางคิดว่า เราจักใส่โทษ หญิงแก่นี้ แล้วทำตระกูลผัวให้แก่บุตร. ตั้งแต่นั้นมา เมื่อนางจะให้ข้าวยาคู ก็ให้ที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง ไม่เค็มบ้าง เค็มจัดบ้าง. เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนูข้าวยาคูร้อนจัด หรือเค็มจัด นางก็เติมน้ำเย็นใส่เสียจนเต็ม. เมื่อแม่ผัวบอกอีกว่า เย็นมากไป เค็มมากไป นางก็ส่งเสียงขึ้นว่า เมื่อกี้แม่บอกว่า ร้อนจัด เค็มจัด ใครจักสามารถ ทำให้ถูกใจแม่ได้ แม้น้ำสำหรับอาบ นางก็ต้มจนร้อนจัด แล้วราดบนหลัง. เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู หลังแม่ไหม้หมดแล้ว นางก็เอาน้ำเย็นเติมใส่ เสียจนเต็ม. เมื่อแม่ผัวบอกว่า เย็นจัดไปแม่หนู นางก็เที่ยวพูดกับ ชาวบ้านว่า แม่ผัวฉันพูดว่า น้ำสำหรับอาบร้อนจัด อยู่เดี๋ยวนี้ แล้วกลับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 459
ร้องขึ้นอีกว่า เย็นจัดไป ใครจักสามารถเอาใจ หญิงแก่คนนี้ได้. เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนูเตียงนอนของแม่ มีเรือดชุม นางก็นำออกมาแล้ว เอาเตียงของตน เคาะลงบนเตียงนั้น บอกว่าฉันเคาะแล้ว แล้วก็นำกลับ ไปตั้งไว้ตามเดิม. แม่ผัวผู้เป็นมหาอุบาสิกา ถูกเรือดกัด ต้องนั่งอยู่ตลอดคืน พอรุ่งสว่างจึงพูดว่า แม่หนู ฉันถูกเรือดกัดตลอดคืน. นางก็เถียงว่า เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่ ใครจักอาจช่วยเหลือการงาน ของคนเช่นนี้ได้ นางคิดว่า คราวนี้เราจักให้ลูกชายเขาใส่โทษ จึงแกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยลาดไว้ ในที่นั้นๆ เมื่อสามีถามว่า ใครทำเรือนนี้ ให้สกปรกไปหมด นางก็กล่าวว่า มารดาของท่านทำอย่างนี้ ฉันบอกว่า อย่าทำเลย ก็พาลทะเลาะ ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือน กับหญิงกาลกรรณีเช่นนี้ เรือนนี้ ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจักให้ฉันอยู่ อุบาสกผู้เลี้ยงมารดา ได้ฟังคำของนางแล้ว กล่าวว่า น้องรักเธอยังสาวอยู่ อาจที่จะไปดำรงชีพ อยู่ในที่ใดๆ ได้ ส่วนแม่ของฉัน เป็นคนแก่ทุพพลภาพ ฉันเท่านั้น เป็นที่พึ่งของแม่ เธอจงออกจากบ้านไป สู่ตระกูลของตน. นางได้ฟังคำของสามีแล้ว มีความกลัว คิดว่า เราไม่อาจแยกสามีของเราจากมารดาได้ มารดาเป็นที่รักของเขา โดยส่วนเดียว ถ้าเราไปเรือนแห่งตระกูล เราจักต้องอยู่อย่างเป็นหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น เราจักปฏิบัติให้แม่ผัว โปรดปรานเหมือนแต่ก่อน. ตั้งแต่นั้นมา นางได้ปฏิบัติแม่ผัว เหมือนดังก่อนทีเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 460
อยู่มาวันหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ไปสู่พระวิหารเชตวัน เพื่อฟังพระธรรม ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสก ท่านไม่ประมาทในบุญกรรม มิใช่หรือ ท่านบำเพ็ญมาตาปิตุปัฏฐานกิจ มิใช่หรือ? เขากราบทูล เรื่องทั้งหมดแด่พระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาของข้าพระองค์ นำหญิงในตระกูลคนหนึ่งมา เพื่อข้าพระองค์ โดยที่ข้าพระองค์ ไม่ชอบใจเลย นางนั้นได้ทำอนาจารต่างๆ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงอย่างนี้ นางก็ไม่อาจจะแยก ข้าพระองค์จากมารดาได้ เดี๋ยวนี้นางได้บำรุงเลี้ยงมารดา โดยเคารพ.
พระศาสดา ทรงสดับด้วยคำ ของอุบาสกนั้นแล้ว มีพระดำรัสว่า อาวุโส เดี๋ยวนี้ เธอไม่กระทำตาม คำของหญิงนั้น แต่เมื่อก่อนเธอได้ขับไล่ มารดาของเธอ ตามคำของนาง แต่ได้อาศัยเรา จึงได้นำมารดามาสู่เรือน บำรุงเลี้ยงอีก อุบาสกทูลอาราธนา ให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี กุลบุตรของตระกูลหนึ่ง เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดาเหมือนเทวดา ปฏิบัติมารดา โดยทำนองดังกล่าวแล้ว เรื่องทั้งหมด มีเนื้อความพิสดาร ตามทำนองที่กล่าวแล้ว ในหนหลัง นั่นแล. จับความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 461
ตอนนี้ว่า ก็เมื่อหญิงนั้น กล่าวกะสามีว่า ฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับหญิง กาลกรรณีเช่นนี้ได้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจะให้ฉันอยู่ กุลบุตรนั้น เชื่อถ้อยคำของหญิงนั้น คิดว่าเป็นความผิด ของแม่เราคนเดียว จึงกล่าวกะมารดาว่า แม่ แม่ก่อการทะเลาะขึ้นในเรือนนี้ เป็นนิตย์ แม่จงออกจากเรือนนี้ ไปอยู่ในที่อื่น ตามชอบใจเถิด. มารดา พูดว่า ดีแล้ว ร้องไห้ออกจากบ้านไป อาศัยตระกูล ที่เป็นเพื่อนกันตระกูลหนึ่ง ทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ ด้วยความลำบาก. ในเมื่อนางทำการทะเลาะ กับแม่ผัวในเรือน จนแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์. นางบอกกับสามี และเที่ยวพูดกับชาวบ้านว่า เมื่อหญิงกาลกรรณีนั้น อยู่ในเรือน ฉันไม่ได้ตั้งครรภ์ เดี๋ยวนี้ฉันได้มีครรภ์แล้ว. ต่อมานางคลอดบุตรแล้ว กล่าวกะสามีที่รักว่า เมื่อมารดาของท่าน อยู่ในเรือน ฉันไม่ได้บุตร เดี๋ยวนี้ฉันได้แล้ว ท่านจงรู้ว่า มารดาของท่าน เป็นกาลกรรณี ด้วยเหตุนี้เถิด. ฝ่ายหญิงผู้เป็นมารดาได้ข่าวว่า เขาว่ากันว่า หญิงสะใภ้ได้บุตร ในเวลาที่เราถูกไล่ออกจากบ้าน นางจึงคิดว่า ในโลกนี้ ธรรมคงจักสูญไปแน่แล้ว ถ้าธรรมยังไม่สูญ ผู้ที่โบยตีมารดา แล้วขับไล่ออกจากบ้าน ไม่ควรได้บุตร ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบาย เราจักถวายมตกภัตแก่ธรรม. วันหนึ่ง นางถืองา แป้ง ข้าวสารถาดสำรับหนึ่ง และทัพพี ไปป่าช้าผีดิบ เอาศีรษะมนุษย์ ๓ ศีรษะมาทำเตา ก่อไฟขึ้น แล้วลงน้ำสระหัว บ้วนปากเสร็จ แล้วมาที่เตา สยายผม แล้วเริ่มซาวข้าวสาร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 462
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นท้าวสักกเทวราช. ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท. ขณะนั้นพระองค์ ตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็นหญิงนั้น กำลังมีความทุกข์ ประสงค์จะถวายมตกภัตแก่ธรรม ด้วยเข้าใจว่า ธรรมได้สูญเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า วันนี้เราจักแสดงกำลังของเรา ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ ทำเป็นเดินทางไป ครั้นเห็นหญิงนั้น จึงแวะไปยืนใกล้นาง กล่าวว่า นี่แน่ะแม่คุณ ไม่มีธรรมดาที่ไหน ที่หุงหาอาหากันในป่าช้า ท่านจะเอาข้าวสุก คลุกงา ที่ทำให้สุกในป่าช้านี้ ไปทำอะไร ดังนี้ เมื่อจะเริ่มสนทนา จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ดูก่อนแม่กัจจานี ท่านสระผม นุ่งห่ม ผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำหรับนึ่ง ขึ้นบนเตา ที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์ ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสารทำไม ข้าวสุกคลุกงา จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร?
พึงทราบวินิจฉัย ในคาถานั้น ดังต่อไปนี้ :- ท้าวสักกเทวราช เรียกหญิงนั้น โดยโคตรว่า กัจจานี.
บทว่า กุมฺภิมธิสฺสยิตฺวา ความว่า ยกถาดสำหรับนึ่งนี้ ขึ้นบนเตา ที่ทำด้วยศีรษะมนุษย์
บทว่า เหหิติ ความว่า ข้าวสุกคลุกงานี้ จะมีไว้เพื่อเหตุอะไร คือ ท่านจะบริโภคด้วยตนเอง หรือยังมีเหตุอย่างอื่น แอบแฝงอยู่?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 463
ลำดับนั้น หญิงนั้น เมื่อจะบอกความแก่ ท้าวสักกะเทวราช ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงา ที่ทำให้สุกดีนี้ มิใช่เพื่อบริโภคเอง ธรรม คือ ความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และธรรม คือ สุจริต ๓ ประการ ได้สูญไปแล้ว วันนี้ ข้าพเจ้าจักทำการบูชาธรรมนั้น ในกลางป่าช้า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรม คือ ความอ่อนน้อมต่อผู้เจริญ. และธรรม คือ สุจริต ๓ ประการ.
บทว่า ตสฺส ปหูนมชฺช ความว่า ข้าพเจ้าจักกระทำมตกภัต คือ ภัตรเพื่อผู้ตายนี้ แก่ธรรมนั้น.
ต่อจากนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ :-
ดูก่อนแม่กัจจานี เธอจงตริตรองก่อน แล้วจึงทำการงาน ใครบอกเธอว่า ธรรมสูญเสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐ เปรียบด้วยท้าวสหัสสเนตร มีอานุภาพหาที่เปรียบมิได้ ย่อมไม่ตายในกาลไหนๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 464
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุวิจฺจ ความว่า ท่านจงตริตรอง คือ รู้ให้ชัดเจน.
บทว่า โก นุ ตเวตสํสิ ความว่า ใครหนอบอกความนี้แก่ท่าน?
ท้าวสักกเทวราช เมื่อจะทรงแสดงพระองค์ เปรียบด้วยธรรมอันประเสริฐ คือ ธรรมอันสูงสุด จึงตรัสอย่างนี้ว่า สหสฺสเนตฺโต
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่า ธรรมสูญแล้วนี้ ข้าพเจ้านึกมั่นใจเอาเอง ในข้อที่ว่า ธรรมไม่มีสูญนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัย เพราะเดี๋ยวนี้ คนมีบาปย่อมมีความสุข.
เช่น หญิงสะใภ้ของข้าพเจ้า เป็นหญิงหมัน นางทุบตีขับไล่ข้าพเจ้า แล้วคลอดบุตร เดี๋ยวนี้ นางได้เป็นใหญ่ แห่งตระกูลทั้งหมด ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่งอยู่คนเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฬฺหปฺปมาณํ ความว่า หญิงนั้น กล่าวว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ ในข้อที่ว่า ธรรมสูญแล้วนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจแน่นอน อย่างปราศจากข้อสงสัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 465
บทว่า เย เย ความว่า เมื่อหญิงนั้น จะแสดงเหตุในข้อที่ธรรมนั้น เป็นของสูญแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วธิตฺวาน ความว่า นางทุบตี ขับไล่.
บทว่า อปวิฏฺา ความว่า ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่ง ต้องอยู่ผู้เดียว.
ต่อแต่นั้น ท้าวสักกะได้กล่าว คาถาที่ ๖ ว่า :-
เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย เรามาในที่นี้ เพื่อประโยชน์สำหรับท่าน โดยเฉพาะหญิงสะใภ้คนใด ทุบตีขับไล่ท่าน แล้วคลอดบุตร เราจักทำหญิงสะใภ้คนนั้น พร้อมทั้งบุตร ให้เป็นเถ้าธุลี เดี๋ยวนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โว เป็นเพียงนิบาต.
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า เราพูดอะไรไป เราจักทำอาการ ที่หลานของเรา จะไม่ตาย แล้วกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า :-
ข้าแต่เทวราช พระองค์ทรงพอพระทัย เสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์สำหรับหม่อมฉัน โดยเฉพาะอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 466
ลูกสะใภ้ และหลาน ได้อยู่เรือนร่วมกันโดย ความบันเทิงเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๘ แก่นางว่า :-
ดูก่อนแม่กาติยานี เธอชอบใจเช่นนั้น ก็ตาม เธอถึงจะถูกทุบตีขับไล่ ก็ไม่ละธรรม คือ ความเมตตา ขอให้เธอพร้อมทั้งบุตร ลูกสะใภ้ และหลาน จงอยู่ร่วมเรือนกัน โดยความบันเทิงเถิด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตาปิ สนฺตา ความว่า เธอแม้ถึงจะถูกทุบตี แม้ถึงจะถูกขับไล่ ก็ยังไม่ละธรรม คือ ความเมตตาในเด็กๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอปรารถนาอย่างใด ก็จงสมประสงค์อย่างนั้น เราเลื่อมใสในคุณธรรมนี้ ของเธอ.
ก็แหละ ท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็ประดับตกแต่งพระองค์ ประทับยืนอยู่บนอากาศ ด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า ดูก่อนแม่กัจจานี เธออย่ากลัวเลย ทั้งลูก และลูกสะใภ้ของเธอ จักมาด้วยอานุภาพของเรา จักขอขมาโทษในระหว่างทาง แล้วจักพาท่านไป ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่วิมานของพระองค์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 467
ด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช บันดาลให้ลูกสะใภ้ ระลึกถึงคุณของมารดา เขาพากันถามคนในบ้านว่า มารดาของเราไปไหน? ครั้นได้ทราบว่า เดินทางไปป่าช้า จึงพากันเดินทางไปป่าช้า พลางรำพันไปว่า แม่ แม่ พอเห็นมารดา ก็หมอบลงที่เท้า กล่าวขอขมาโทษว่า ดูก่อนแม่ ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ลูกเถิด ขออย่าได้ถือโทษเลย. แม้มารดาก็รับหลานมาอุ้ม. ทั้งหมดต่างมีความปราโมทย์ พากันกลับบ้าน อยู่กันด้วยความสามัคคี แต่นั้นมา ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า :-
นางกาติยานี ได้อยู่ร่วมเรือนกับลูกสะใภ้ ด้วยความบันเทิง ทั้งบุตร และหลาน ต่างช่วยกันบำรุงเลี้ยง ก็เพราะท้าวสักกเทวราช ทรงอนุเคราะห์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สา กาติยานี ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นางกัจจานี เป็นกัจจายนโคตร.
บทว่า เทวานมินฺเทน อธิคฺคหีตา ความว่า คนเหล่านั้น อันท้าวสักกเทวราช ผู้เป็นจอมเทวัน ทรงอนุเคราะห์แล้ว จึงอยู่ร่วมกัน ด้วยความสมัครสมานสามัคคี ด้วยอานุภาพของท้าวเธอ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้า 468
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ตรัสจบลงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจธรรม อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ได้เป็นพระโสดาบัน ก็อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอุบาสก ผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราช ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบอรรถกถา กัจจานิโคตตชาดกที่ ๑