ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๑
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เป็นเรื่องของสิ่่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าจะ ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็เป็นอย่างนี้ทุกภพทุกชาติด้วย
~ เห็น จริง เพราะฉะนั้น เห็น จึงเป็นธรรม ได้ยิน จริง เพราะฉะนั้น ได้ยิน จึงเป็นธรรม โกรธ จริง เพราะฉะนั้น โกรธ จึงเป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา จริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา (คือ สี) จึงเป็นธรรม
~ หนทางเดียวที่จะทำให้กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือการเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษาพระธรรม การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะระลึกได้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็ย่อมแสดงถึงการเคยได้ฟังพระธรรม การเคยได้พิจารณาพระธรรม และการเข้าใจพระธรรมในอดีตด้วย
~ ผู้ที่จะสละอาคารบ้านเรือน ละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต แสดงให้เห็นว่า จะต้องเป็นผู้มีสัจจะ คือ เป็นผู้ที่มีความจริงใจต่อการขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าเพศของคฤหัสถ์
~ ไม่ว่าในยุคไหน สมัยไหน กาลไหนก็ตาม โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ตาม คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เปลี่ยน สิ่งใดที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งเป็นพระวินัย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุในสมัยใด ต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพราะว่าจุดประสงค์ของ (ความเป็น) พระภิกษุทุกสมัย เพื่อสงบจากอกุศล โดยการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยด้วย
~ เรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ที่จะละคลายกิเลสเป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปจริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าจะตามฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาพระธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นนี้มาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่มีกำหนดรู้ได้ว่า เพิ่มขึ้นมากในตอนไหน แต่จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ
~ ถ้ามีความเห็นถูกเกิดขึ้น ย่อมเห็นว่าสิ่งใดเหมาะ สิ่งใดควร และข้อปฏิบัติใดจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นหนทางที่ยาว แต่เริ่มต้นหรือตั้งต้นและดำเนินไปเรื่อยๆ ในหนทางที่ถูก ก็ดีกว่าไปติดอยู่ในหนทางที่ผิด ซึ่งไม่มีโอกาสจะทิ้งและหันมาสู่หนทางที่ถูกได้
~ เมื่อหลงลืมสติ ก็สะสมกิเลสไว้มาก การขัด การละก็ยากขึ้น และโอกาสที่จะเป็นปัจจัยให้กระทำทุจริตกรรมที่จะไปสู่กำเนิดอื่นก็มีมาก แต่ว่าผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม และเห็นประโยชน์ของการเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่ละเว้นโอกาสที่จะศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติตามพระธรรม
~ ถ้ามั่นคงในกรรมแล้ว เรื่องกรรมของเขา เขาก็ต้องมีแน่ๆ คือ วิบากของเขา เขาก็ต้องได้รับแน่ๆ และอกุศลของเขา ก็มี ของเรา ก็มี เราก็มีหน้าที่อย่างเดียวที่เกิดมาในโลกนี้ คือ เพียรละอกุศลของเรา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับอกุศลของคนอื่น
~ ขณะใดที่ได้ทราบการกระทำบุญกุศลของบุคคลอื่น ท่านควรเป็นผู้ที่มีจิตยินดี ชื่นชมอนุโมทนาในกุศลกรรมที่ท่านได้ทราบนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตระหนี่แม้แต่จะชื่นชมยินดีในบุญกุศลของบุคคลอื่น
~ เขาตาย แล้วเราร้องไห้ มีประโยชน์กับเขาหรือเปล่า? เขาไม่ต้องการน้ำตา ไม่ต้องการให้ใครมาเสียใจโศกเศร้า แต่เขาดีใจด้วย ถ้าเราทำดี
~ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ไม่ได้บังคับให้อะไรเกิดได้ แต่ความเข้าใจยิ่งขึ้นก็จะค่อยๆ ทำให้อกุศลเบาบางลง เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย จะโกรธใคร มีประโยชน์กับใคร แม้แต่ตัวเอง มีประโยชน์หรือเปล่า? จิตเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เห็นตามความเป็นจริง ก็จะมีเมตตาแทน
~ เมตตา หมายความถึง ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน ความหวังดีกับบุคคลนั้น พร้อมที่จะช่วยเหลือทุกโอกาส ไม่คิดร้าย ไม่โกรธเคืองด้วย ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่ได้เป็นมิตรเลยและขณะนั้นก็เป็นอกุศลจิตสะสมไว้บ่อยๆ ต่อให้มีสิ่งที่ดีรอบข้างก็ไม่เป็นสุขก็ได้ เพราะความขุ่นเคืองใจ หรือเป็นเหตุที่มีกำลังถึงกับทำอกุศลกรรมได้
~ ทุกคนมีกรรมเป็นของตน แม้ว่าคนอื่นจะทำกรรมที่ไม่ดีกับเรา แต่เรามีกรรมดี เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนกับกรรมไม่ดีที่คนอื่นกระทำกับเรา เพราะว่าใครทำกรรมอย่างใดก็ได้อย่างนั้น แล้วเราจะไปคิดที่จะพยาบาทเบียดเบียนเขาทำไม ในเมื่อรู้ว่าเขาต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน และความพยาบาท ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเก็บให้มีมากๆ เลย เพราะเหตุว่าเป็นทุกข์ในขณะที่เกิดขึ้นด้วย
~ อกุศลหรือกิเลสทั้งหลาย ติดตามมามากมาย จนเป็นเหตุให้ทำทุจริตต่างๆ ซึ่งทุจริต เป็นโทษ แล้วใครจะมีพระมหากรุณาแสดงธรรมให้พ้นจากโทษคือความไม่รู้และความติดข้องซึ่งเหตุให้ทำอกุศลกรรมซึ่งจะนำมาซึ่งผลที่ไม่ดี? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ถ้าเป็นผู้ที่ไม่สุจริต ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า เคยโกง หรือเคยส่อเสียด เคยกินสินบน เคยดุร้าย เคยหยาบคายในกาลก่อน เพราะเหตุว่าขณะใดที่โกง กำลังกระทำทุจริต ขณะนั้นย่อมไม่เห็นโทษ แต่ว่าโทษของทุจริตย่อมมี ไม่มีใครสรรเสริญ และผลของทุจริตนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมแล้วแต่ว่าจะได้รับผลของทุจริตในชาติปัจจุบันหรือในชาติต่อๆ ไป
~ ผู้ที่มารดาบิดายังมีชีวิตอยู่ ก็ทราบว่าวันหนึ่งท่านก็จะต้องจากไป แต่ถ้าไม่เลี้ยงดูท่านในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ คือ เป็นผู้ไม่เห็นคุณของมารดาบิดา เพราะฉะนั้น ผู้นั้นจะเห็นคุณของบุคคลอื่นได้อย่างไร แม้แต่ผู้ที่เป็นมารดาบิดาซึ่งเลี้ยงดูให้ทุกสิ่งทุกอย่างมา ให้ความสุขสบายมาตั้งแต่เกิด ผู้นั้นก็ยังไม่เห็นคุณ ยังไม่กตเวทีกระทำตอบแทนคุณของท่าน เพราะฉะนั้นจะคิดถึงคุณของบุคคลอื่น ก็คงยาก เพราะแม้แต่คุณของมารดาบิดา ก็ไม่เห็น
~ ชีวิตของแต่ละคน ไม่ได้จำกัดในเรื่องของการเจริญกุศล ไม่ว่าท่านจะเป็นบุคคลใด มีกิจที่จะต้องกระทำ แต่ก็ให้เป็นไปในเรื่องของกุศลได้ ถ้าท่านยังมีมารดาบิดาที่จะต้องอุปการะ ท่านก็เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ขัดเกลาจิตใจของท่านด้วย แล้วก็เจริญกุศลในการที่ได้กระทำการอุปการะตอบแทนพระคุณของมารดาบิดาด้วย
~ ผู้ใดที่ได้สะสมความคิดถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมถูก คนนั้นคิดไม่ดีไม่เป็น คิดริษยาไม่เป็น คิดดูหมิ่นคนอื่นไม่เป็น คิดยกตนข่มคนอื่นก็ไม่เป็น คิดเมตตาเป็น คิดกรุณาเป็น คิดเห็นใจเป็น คิดเข้าใจเป็น คิดช่วยเหลือเป็น
~ การสะสมความคิดที่ดี ที่ถูก ที่ควร ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ในเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าท่านไม่พิจารณาสังเกตแม้เพียงเล็กน้อย อาจจะไม่รู้ว่า การที่แต่ละบุคคลคิดดีในขณะนั้น ต้องเป็นเพราะเคยสะสมที่จะคิดดีมาแล้วในอดีต
~ ใครมีปัญญาก็เป็นประโยชน์กับคนนั้น ขอให้เราเป็นคนหนึ่งที่จะมีปัญญาเป็นแสงสว่าง หรือ เป็นคนที่ทำความดีในท่ามกลางความชั่วร้ายที่บังคับบัญชาไม่ได้ แต่แม้กระนั้นเราก็จะพยายามทำความดี และศึกษาพระธรรมให้เข้าใจธรรมได้ถูกต้องมากขึ้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะถึงอย่างไรก็ต้องจากโลกนี้ไปแน่
~ ถ้าไม่มีแสงสว่าง คือ ปัญญา ก็จะไม่มีเครื่องนำทางให้เราไปในทางที่เป็นกุศล
~ กุศลธรรม เป็นธรรมที่ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมให้มีขึ้น
~ โลดเต้นมาแทบตาย สุดท้ายก็แค่นี้ (ในที่สุดแล้วทุกคนก็จะต้องตาย เอาทรัพย์สมบัติวัตถุสิ่งของติดตามตัวไปไม่ได้เลย)
~ ที่สำคัญ
เราจะเป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว
พอถึงชาติหน้า
ก็มาจากชาตินี้ทั้งหมด
สืบต่อไป
ถ้าชาตินี้เราทำดี
และมีความเข้าใจธรรมด้วย
สิ่งเหล่านี้ก็ติดตามไปได้
แต่ละหนึ่งเป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ
จะไม่เป็นคนนี้อีกเลยในสังสารวัฏฏ์.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๔๑๐
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนากุศลจิตทุกขณะที่เข้าใจพระธรรมคำจริงค่ะ
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ผู้เมตตาแสดงคำจริงเกื้อกูลให้เข้าใจถูกเห็นถูกตามกำลังค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
..ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ...
อนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
เข้าใจธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริง ในความเมตตาที่ท่านอาจารย์สุจินต์ แจ้งให้เรา (จิตและเจตสิก) ได้ฟังได้ไตร่ตรอง จนเข้าใจ และเข้าใจเพิ่มขึ้น จนประจักษ์แจ้ง นำสู่ละความเป็นเรา และขอบพระคุณ และอนุโมทนาท่าน ณัฐทยาน์ พินทอง ที่นำธรรมะมาให้เห็น ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ