ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ในวันหนึ่งๆ "คิด" กันมากเหลือเกินแต่ "สติ" ไม่ค่อยจะระลึก "ลักษณะที่คิด" จึงไม่ทราบ ว่า ขณะที่คิดนั้นไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่ "คิด" เป็นสภาพธรรม ที่มีจริงอย่างหนึ่งที่ "กำลังรู้เรื่องราวและคำ" ที่คิดนึกถึงในขณะที่คิด ไม่ว่าคิดอะไรก็ตามถ้า สติปัฏฐาน เกิดหมายถึงสติระลึกได้ และรู้ว่า สภาพคิดนึก ในขณะนั้นๆ เป็นสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง
ไม่ใช่ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สี เสียง แข็ง อ่อน ฯลฯ "จิตคิด" มีลักษณะให้ระลึกรู้ได้ เป็น "สภาพธรรมที่คิด" คือ "สถาพรู้ ในเรื่องราว ที่กำลังคิด"บางท่าน คิดว่า"ความคิด" ปิดกั้น "ปัญญา"ถ้าท่านคิดอย่างนั้นควรพิจารณาว่า ทำไม การเห็น จึงไม่ปิดกั้นปัญญา "การเห็น" ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เช่นเดียวกับ "การคิด" การเห็น เป็นสภาพธรรมที่ "รู้สี" ที่กำลังปรากฏในขณะนั้นๆ ฉันใดสภาพ "คิดนึก" ก็เป็นของจริงเป็นสภาพ" รู้เรื่องที่กำลังคิด" ในขณะนั้นๆ ฉันนั้น
ฉะนั้น ถ้า "การคิด" จะกั้นไม่ให้ปัญญา เกิดขึ้นได้แล้ว "การเห็น" ในขณะนี้ไม่กั้น ปัญญา หรือคะ.?เพราะการเห็นในขณะนี้ก็ (เสมือน) เห็นอยู่ตลอดเวลา เช่นกันแต่ความจริง การเห็น ในขณะนี้ ก็เกิดดับสืบต่อกัน จนกระทั่งไม่ปรากฏ ว่า"การเห็นดับไป"และในขณะที่ "เห็น" นี้เองบางทีก็ "คิดถึงเรื่องต่างๆ "ฉะนั้น ความคิด ไม่กั้นปัญญาเพราะ สติ สามารถ ระลึก "ลักษณะที่คิด"และ ปัญญา รู้ว่า "ลักษณะที่คิด" เป็น สภาพธรรมที่รู้เรื่อง รู้คำ รู้ความหมาย "ของสิ่งที่ปรากฏ" และสภาพรู้นั้น ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เมื่อ "สติ" ระลึก ตรงสภาพที่คิด "ปัญญา" รู้ว่า สภาพที่คิด ไม่ใช่ตัวตนแต่ เป็นสภาพธรรม ที่มีจริงๆ มี "ลักษณะ" รู้เรื่อง รู้คำ รู้ความหมายและสภาพที่คิดรู้ได้เฉพาะ"ทางใจ" เท่านั้น ถ้า "สติ" ไม่เกิดและ "ปัญญา" ไม่สังเกต ไม่รู้ อย่างนี้ก็ไม่มีทางที่จะ "ดับกิเลส" ได้
ขออนุโมทนา
สาธุ
ถ้าไม่รู้ชัดประจักษ์แจ้งว่า "คิด" เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ก็ดับกิเลสไม่ได้
ขออนุโมทนาครับ...
ขอกราบนอบน้อมอนุโมทนาครับ ขอบพระคุณท่านผู้โพสมากๆ ขออนุโมทนาครับ
จุดตรงนี้ก็มีหลายๆ สำนัก ที่พยายามบอกให้ดูจิตเพื่อรู้ชัดไม่ให้คิด (ท่านบอกให้ข้ามจินตมยปัญยาไปเลย) บอกว่าไม่ต้องศึกษาอภิธรรมเลย ให้ดูจิตดูกายเลยแล้วค่อยมาตรวจสอบผลการปฏิบัติกับอภิธรรมทีหลัง บอกอีกต่างหากว่าเวลาดูจิตอย่าไปฟังธรรมมากหรือศึกษาอภิธรรมมากเพราะจะเอาแต่คิดจนปิดบังจิตรู้ ยุคพันปีที่ 3 เป็นไปได้ขนาดนี้เลยนะครับ ยังไม่รวมประเภทนั่งสมาธิ ไปเที่ยวแดนนิพพานอีก
พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสถึงพระธรรมว่า ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการตรึก บัณฑิตพอจะรู้ได้ สำนักต่างๆ ที่เน้นปฏิบัติไม่ต้องศึกษา ก็จะตรึกเองว่าการศึกษาธรรมคื่อการตรึกเพราะเป็นแค่จินตะกับสุตะ (ไม่ใช่การรู้เหมือนภาวนามยปัญญา) แล้วก็ยังมีคนบอกว่า พระท่านเป็นบัณฑิตแล้วจึงรู้ได้ง่าย ไม่ยาก ไม่ต้องอ่านมาก
แต่สงสัยว่าท่านเหล่านั้นจะลืมกันไป ว่าพระพุทธองค์ผู้บำเพ็ญบารมีมากว่า4อสงไขยแสนมหากัป มีพระญาณหยั่งรู้วาระจิตวาระกรรมของสรรพสัตว์อย่างยอดเยี่ยม แม้ขนาดนั้นก็ยังทรงมีใจใฝ่ไปในทางไม่แสดงธรรมเลย ถึงขนาดพระพรหมต้องลงมาทูลเชิญ แล้วท่านคือผู้ใด ถึงมั่นใจว่าจะสอนคนสมัยนี้ได้อย่างง่ายดาย แบบรู้เองได้ ปัญญาผุดจากจิตได้เลยแค่คอยดู ไม่ต้องศึกษาไม่ต้องคิดมาก
พระพุทธองค์ ทรงเปรียบเทียบพระธรรมวินัยว่าเหมือนกลอง เมื่อเวลาผ่านไปมีการเอาหนังกลองใหม่มาแปะทับประยุกต์กันไปตามความต้องการ แล้วคนรุ่นหลังเมื่อไม่ศึกษาให้ลึกซึ้งก็เข้าใจผิดว่านี่แหละคือคำสอนในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ยังทรงตรัสสอนเหล่าธรรมกถึกเลยครับว่าควรแสดงธรรมตามลำดับ แสดงธรรมตามกาล (ยุคนี้กาลวิบัติด้วยนะครับ) เหตุไฉนให้ไปดูจิตกันเลยไม่ต้องเรียนกันมาก ถึงขนาดมีสำนวนให้ทิ้งให้เผาตำรากันอีก
พอมาเจอมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่ศาสนา ผมน้ำตาไหล น้ำมูกตัน ไปเจออาจารย์ที่มูลนิธิ สบตาท่านแว่บนึง ก็เกือบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ นึกจะถามก็พูดอะไรไม่ออก ปัญญาไม่รู้แม้แต่จะถามอะไร เพราะไม่ได้เจริญเหตุให้ปัญญาเกิดคือการฟังธรรม จึงรู้สึกผิดที่เกเรไปมาก เป็นผู้ว่ายากมาตลอด กัลยาณมิตรชวนให้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจก็ไปบอกเขาว่าไม่จำเป็น แต่ตอนนี้สิ เพิ่งมาเห็นคุณค่า แล้วไม่รู้จะอยู่ศึกษาพระธรรมได้นานแค่ไหน จะ 40 ขวบแล้ว และเจ็บหน้าอกอยู่บ่อยๆ ค่อนชีวิตเผลอไปทำอย่างอื่น ละทิ้งตำราอันเป็นตัวแทนพระศาสดาไปอย่างน่าเสียดาย
ยอมรับว่าปัญญาน้อยจึงไม่เคารพพระธรรม แต่ไปเคารพเชื่อฟังบุคคลที่บอกไม่ให้ศึกษาธรรมมากเกินไป (การศึกษาธรรมเพื่อความเข้าใจ มีคำว่ามากเกินไปด้วยหรือครับ) มาถึงตอนนี้ ยังไม่รู้จะทันหรือเปล่า ทำท่าจะตายหลายทีแล้ว แน่นหน้าอกทีนึงก็ยังเป็น"เราแน่นหน้าอก"อยู่อย่างนั้น พระธรรมละเอียดลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก ต้องศึกษาตามลำดับ จริงๆ ครับ
อยากบอกหลายๆ คนที่เผอิญแวะมาเยี่ยมชม ให้ศึกษาพระธรรมวินัยกันบ้าง ถึงจะเป็นบาลีหรือถ้อยคำที่แปลไม่ออก เราก็ค่อยๆ ศึกษาได้นะครับ เพราะเป็นตัวแทนของพระศาสดา เวลาเจอภาษาต่างประเทศ หรือภาษาคอมพิวเตอร์ เรายินดีพอใจจะเรียนรู้เพื่อการงานทางโลก แต่กิจของปัญญา ปฏิเสธการศึกษาพระธรรมไม่ได้นะครับ ภาษายากเพียงไร ก็ควรศึกษาตำราพระไตรปิฎกโดยเฉพาะพระอภิธรรม เพราะเป็นพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ไม่มีตำราใดอีกแล้วที่จะเทียมเท่า ศึกษาเพื่อเข้าใจตามลำดับกันเถิดครับ ไม่มีคำว่ามากเกินไปหรอก ถ้าศึกษาเพื่อเข้าใจ ภัยในสังสารวัฏฏ์นี้ กุศลเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
สังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากไม่ศึกษาให้เข้าใจ ตามลำดับ หากตายไปเกิดในทุคติภูมิ เกิดเป็นคนอีกที ก็คงอยู่ในยุคที่ว่างจากพระพุทธศาสนาแล้ว พลัดพรากจากพระสัทธรรม เป็นการพลัดพรากที่น่าอาลัยที่สุด
เพราะไม่ได้ศึกษาตามลำดับ ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้ง ก็ยังเป็น "เราปฏิบัติ" อยู่อย่างนั้น จะข้ามไป"รู้"เลยได้อย่างไร การตรึกวิธีลัดสั้นแบบนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่สภาพธรรมที่"ปัญญาน้อย"เลยครับ
ตอนนี้ผมจะตั้งใจศึกษาอีกที ก็อาจจะตายเสียก่อน สิ่งที่ผมกลัวที่สุด คือการตายพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก แต่ตอนนี้ คงไม่น่ากลัวไปกว่าการตายไปโดยไม่เข้าใจพระธรรม เป็นการพลัดพรากจากพระสัทธรรม หากไปทุคติภูมิก็คงไม่รู้อีกกี่อสงไขยจะได้มาเจอพระพุทธศาสนาอีก หากมีบุญได้มาเจอ ก็ไม่รู้ว่าจะมีศรัทธาหรือเปล่า เพราะสะสมความเห็นผิดไว้มาก
ขออนุโมทนาทุกท่านที่มีศรัทธาในการศึกษาพระธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จุดตรงนี้ก็มีหลายๆ สำนัก ที่พยายามบอกให้ดูจิตเพื่อรู้ชัดไม่ให้คิด เมื่อยังไม่มีปัญญาที่อบรมจนสติระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมว่าเป็นเพียงรูปธรรม และ นามธรรม จะพยายามดูจิตก็เป็นตัวตนที่ดูเริ่มต้นก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกแล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร ดิฉันเองก็เคยไปปฎิบัติผิดมาหลายสำนักเช่นเดียวกันค่ะ แต่ยังมีบุญที่ได้สะสมมาแต่ปางก่อน ให้ได้มาพบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะอาจารย์วิทยากร พวกเราได้มีโอกาสได้มาพบหนทางปฎิบัติที่ถูกต้องเป็นบุญจริงๆ ค่ะ เมื่อเทียบกับคนอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้พบหนทางปฎิบัติที่ถูกต้องเช่นพวกเราค่ะ ขอเป็นกำลังใจคุณเกมส์ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนาคุณเกมส์ครับ
อย่าได้ล่วงขณะที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ เพราะชีวิตเป็นของน้อยจริงๆ
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกๆ ท่าน
และขอให้เจริญในกุศลธรรมทุกประการยิ่งๆ ขึ้นค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ และเป็นบุญค่ะ ที่ได้มาศึกษา และได้พบพระธรรมที่แท้จริงจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และวิทยากรทุกท่านค่ะ และพึ่งจะรู้ว่าพระธรรมที่แท้จริงลึกซื้งและยากแก่การเข้าใจอย่างไร ซึ่งแต่ก่อนก็หลงเดินทางผิด คิดว่าใช่หนทางที่ถูกมาเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ย่อท้อที่จะศึกษาต่อไปค่ะ
ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ
อย่าพาดพิงสำนักอื่นเลยนะครับ ศึกษาตัวเราเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า ผมว่าสำนักไหน ครูบาอาจารย์ ท่านอาจจะสอนถูก แต่เผอิญลูกศิษย์ที่ยังไม่ถึงธรรมเลยเอาธรรมไปถ่ายทอดต่อแบบผิดๆ เท่าที่ผมสังเกต มีแต่บรรดาลูกศิษย์เท่านั้น เที่ยวเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ไปอวดกัน แต่ครูบาอาจารย์ท่านทั้งหลายไม่เห็นมีใครเอาภูมิธรรมมาอวดกันมีแต่ความเมตตาถ่ายทอดธรรมะ ตาม จริต นิสัยหรือการสั่งสมของท่านเอง เมื่อลูกศิษย์ไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ก็เปลี่ยนสำนักไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาเจอสำนักที่ว่าน่าจะใช่ ตรงทาง ทุกสำนักที่เป็น (สัมมาทิฏฐิ) ครูบา อาจารย์ ท่านมุ่งไปที่ สติปํฎฐานหมดแหละครับ แต่แนวทางที่จะทำเหตุให้สติปัฎฐานเกิด อาจจะต่างกันเลยมีการปฏฺบัติต่างกัน ก็เลยมีหลายสำนัก ทั้ง ดูกาย (ภาวนาพุทโธ พองยุบ ดูอิริยาบถ ๔) ดูเวทนา (ท่านโกเอนก้า) ดูจิต (หลวงปู่ดุลย์) ทั้งนี้เพื่อให้สติปัฎฐานเกิด บางสำนักอาจจะให้ได้ฌาน ก่อนค่อยเจิญสติ (แต่ส่วนใหญ่ ลูกศิษย์ ติดฌาน นิมิต เลยไม่ก้าวหน้า) แต่เมื่อสติปัฎฐานเกิดแล้ว ทุกสำนักก็ต้องเจริญ สติปัฎฐาน เพราะเป็นทางสายเดียว
ไม่ได้ตั้งใจจะแสดงความเห็นแย้งกับใครนะครับ หวังว่าท่านทั้งหลายคงเมตตาบรรดาลูกศิษย์สำนักต่างๆ ผู้กำลังแสวงหาหนทางหลุดพ้นเหมือนๆ กับเรา ตามกำลังบารมีของแต่ละคนที่สั่งสมมาต่างกัน ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาจิตทุกท่านที่แสดงความเห็น เพื่อให้ได้เข้าใจธรรมะ เป็นสังขารปรุงแต่งให้ สติปัฎฐานเกิด และเจริญสติปัฎฐานเพื่อความหลุดพ้นด้วยถ้วนทั่วกัน
ต้องขออภัยหากได้พาดพิงถึงสำนักอื่นหรือบุคคลที่สามโดยไม่มีเจตนาค่ะ เพราะมีเจตนาเพื่อเกื้อกูลเพื่อนกัลยาณมิตรด้วยกันเท่านั้น ท่านอาจารย์สุจินต์เคยกล่าวว่าใครจะฟังพระธรรมที่ใดก็ได้ถ้าที่นั้นสอนให้เข้าใจถูกต้องตามพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่าอาจารย์บางท่านอาจเข้าใจผิดว่าท่านเข้าใจถูกตามพระธรรม เราผู้ฟังผู้ศึกษาจึงควรพิจารณาไตร่ตรองตามให้ดีค่ะว่าใช่หนทาง หรือ ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง เพราะหนทางที่ถูกต้องคือ การอบรมเจริญสติปัฎฐาน ถ้าที่ใดหรือบุคคลใดสอนให้เข้าใจพระธรรม เพื่อเกื้อกูลให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ ควรเริ่มต้นค่อยๆ ศึกษาให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ เพื่อสติจะเกิดขึ้นระลึกได้ตามปกติ เพราะว่าสติก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนที่จะไประลึก จึงควรที่จะค่อยๆ อบรมสะสมความเข้าใจถูก ปัญญาย่อมค่อยๆ เจริญขึ้นค่ะ ท่านอาจารย์สุจินต์จะสอนให้เป็นผู้พิจารณาเหตุและผลถ้าที่ใดสอนหนทางที่ถูกต้องก็ฟังที่นั้นได้ไม่จำกัดว่าต้องมาฟังที่มูลนิธิค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 419
๙. ปฐมสุกกาสูตร
มนุษย์ทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ ไม่เข้าไปนั่งใกล้ สุกกาภิกษุณี ผู้แสดงอมตบทอยู่ มัวทำอะไรกัน เป็นผู้ประดุจดื่มน้ำผึ้งหอมแล้วก็นอน
ก็แลอมตบทนั้นใครจะคัดค้านไม่ได้ เป็นของไม่ได้เจือปรุง แต่มีโอชา ผู้มีปัญญาคงได้ดื่มอมตธรรม เหมือนคนเดินทางได้ดื่มน้ำฝนฉะนั้น
ขอเชิญอ่านกระทู้
หนังสือของอาจารย์ต่างๆ มีมาก อย่าเชื่อตามโดยง่าย
เลื่อมใสใคร - ไม่ลืมพิจารณา
ครับ ขออภัยอย่างสูง ที่ลืมตัวไปว่าได้กล่าววาจาพาดพิง ทำให้กระทบผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม ขอทุกท่านที่เพิ่งเข้ามาและเห็นคุณค่าของพระธรรม ลองศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจตามลำดับ กันเถิดนะครับ ถ้าศึกษาเพื่ออวด ก็อยู่ที่ว่า ใครคิดอย่างไร คงบังคับบัญชาความคิดไม่ได้ เนื่องจากเป็นอนัตตา คำพูดที่เป็นประโยชน์เมื่อกล่าวไม่ถูกกาล ก็เป็นโทษได้เช่นนี้เองครับ
แต่ถ้าจะจำแนกให้ทราบว่า เพราะเหตุไร พระธรรมจึงสูงค่า เพราะเหตุไร ผู้มาสนใจธรรมยังปฏิเสธการศึกษาพระธรรมโดยเฉพาะพระอภิธรรม อาจจะมีบางโอกาสที่ต้องยกการสอนสำนักอื่นมากล่าวอ้างบ้าง เพื่อให้ผู้อื่นรู้จักว่าเค้าเห็นผิดอย่างไร และระมัดระวังไม่ไปคลุกคลีกับความเห็นผิด
ซึ่งย้อนไปอ่านที่ตนเองโพส ก็พบว่าเป็นเพราะกระผมไม่ได้สะสมนิสัยด้านธรรมกถึกมา จึงจำแนกได้อย่างหยาบและไม่เป็นไปด้วยปิยวาจาที่แท้จริง ก็ต้องขออภัยในจุดนี้ แต่ก็เผื่อไว้ว่า หากมีใครผ่านมา อาจจะได้ฉุกคิด เพราะบางทีเราอาจไม่รู้ว่า แม้การกล่าวย่ำยีพระธรรมวินัยว่าง่าย การเห็นคุณในข้อปฏิบัติผิด และนำไปบอกต่อคนอื่นๆ อาจจะเป็นผลกรรมขัดขวางการปฏิบัติที่ถูกก็ได้ ด้วยความปรารถนาดี คิดว่าประโยคที่โพสไป อาจจะเตือนคนอื่นได้ โดยเฉพาะย้ำเตือนตัวกระผมเองครับ เนื่องจากศรัทธาประกันไม่ได้ กระผมยังเป็นผู้ไม่มั่นคง ครับ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 12 โดย เกมส์
แต่ถ้าจะจำแนกให้ทราบว่า เพราะเหตุไร พระธรรมจึงสูงค่า เพราะเหตุไร ผู้มาสนใจ ธรรมยังปฏิเสธการศึกษาพระธรรมโดยเฉพาะพระอภิธรรม อาจจะมีบางโอกาสที่ต้องยกการสอนสำนักอื่นมากล่าวอ้างบ้าง เพื่อให้ผู้อื่นรู้จักว่าเค้าเห็นผิดอย่างไร และระมัดระวังไม่ไปคลุกคลีกับความเห็นผิด
ซึ่งย้อนไปอ่านที่ตนเองโพส ก็พบว่าเป็นเพราะกระผมไม่ได้สะสมนิสัยด้านธรรมกถึกมา จึงจำแนกได้อย่างหยาบและไม่เป็นไปด้วยปิยวาจาที่แท้จริง ก็ต้องขออภัยในจุดนี้ แต่ก็เผื่อไว้ว่า หากมีใครผ่านมา อาจจะได้ฉุกคิด เพราะบางทีเราอาจไม่รู้ว่า แม้การกล่าวย่ำยีพระธรรมวินัยว่าง่าย การเห็นคุณในข้อปฏิบัติผิด และนำไปบอกต่อคนอื่นๆ อาจจะเป็นผลกรรมขัดขวางการปฏิบัติที่ถูกก็ได้ ด้วยความปรารถนาดี คิดว่าประโยคที่โพสไป อาจจะเตือนคนอื่นได้ โดยเฉพาะย้ำเตือนตัวกระผมเองครับ เนื่องจากศรัทธาประกันไม่ได้ กระผมยังเป็นผู้ไม่มั่นคงครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
คนเรามีโอกาสตายได้ทุกขณะค่ะคุณเกมส์ ทั้งผู้มีโรคและผู้ไม่มีโรค
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลศรัทธาของคุณด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่านครับ การได้พบหนทางที่ถูกต้องในพระธรรม มีค่ายิ่งแล้วกับการได้เกิดมาในชาตินี้ เท่าไหร่ก็เท่านั้นนะครับ ไม่มีตัวตนที่อยาก (จะได้มากๆ) ไม่มีตัวตนที่กลัว (จะไม่ได้มากๆ) เท่าไหร่ ก็เท่านั้น จริงๆ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนากับกุศลจิตทุกท่านด้วยนะคะ สิ่งที่คุณเกมส์ กล่าวมาดิชั้นเข้าใจเลยค่ะเพราะดิชั้นก็ไปมาทุกที่เหมือนกันตั้งแต่เข้าวัดทรงเจ้า ทรงเจ้านี่อยู่กะความเห็นนั้นมา 10 ปีค่ะ จนเริ่มเห็นพฤติกรรมคนในนั้นว่า ท่านบอกว่ามีเทพคุ้มครองทำไมตัวท่านใหญ่มากแบบไม่มีความเมตตาสงสารมีแต่แข่งดีกัน แล้วก็บอกให้ทำพิธีส่งกรรมสุดท้ายทุกข์ก็ไม่หมดไปค่ะจนเริ่มสงสัยอีกทำไมทุกข์ไม่หมดสักที ก็เลยออกมา เริ่มตามหา ก็ยังไม่เจอ จนสุดท้ายมาเจอพระอภิธรรมนี่แหละค่ะ เกิดตายนี่ไม่น่ากลัวกว่าการไม่พบพระสัจธรรมจริงๆ ค่ะ