[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 366
อาสีวิสวรรคที่ ๔
๑. อาสีวิสสูตร
ว่าด้วยอสรพิษ ๔ จําพวก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 28]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 366
อาสีวิสวรรคที่ ๔
๑. อาสีวิสสูตร
ว่าด้วยอสรพิษ ๔ จำพวก
[๓๐๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่ามีอสรพิษ ๔ จำพวก มีเดชกล้าพิษร้าย ถ้ามีบุรุษรักชีวิต ผู้ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์มา ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านบุรุษ อสรพิษ ๔ จำพวกนี้ มีเดชกล้าพิษร้าย ท่านพึงปลุกให้ลุกตามเวลา ให้อาบน้ำตามเวลา ให้กินอาหารตามเวลา ให้เข้าสู่ที่อยู่ตามเวลา เวลาใด อสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนี้ ตัวใดตัวหนึ่งโกรธขึ้น เวลานั้น ท่านก็จะพึงถึงความตาย หรือถึงทุกข์ปางตาย กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย.
[๓๑๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวกนั้น จึงหนีไปในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านบุรุษ มีเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึกอยู่ ๕ คน ได้ติดตามท่านมา พบท่านในที่ใด ก็จะฆ่าท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย.
[๓๑๑] ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวก และกลัวเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึกทั้ง ๕ คนนั้น จึงหนีไปในที่อื่น ชนทั้งหลายพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านบุรุษ มีเพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศ เงื้อดาบติดตามท่านมา พบท่านในที่ใด ก็จะตัดศีรษะของท่านเสียในที่นั้น กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 367
[๓๑๒] ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ จำพวก ซึ่งมีเดชกล้า กลัวเพชฌฆาตผู้เป็นข้าศึกทั้ง ๕ และกลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศเงื้อดาบอยู่ จึงหนีไปในที่อื่น เขาพบบ้านร้างเข้า จึงเข้าไปยังเรือนร้างว่างเปล่าหลังหนึ่ง ลูบคลำภาชนะว่างเปล่าชนิดหนึ่ง ชนทั้งหลาย พึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านบุรุษ มีโจรทั้งหลายคอยฆ่าชาวบ้าน เข้ามาบ้านร้างนี้เสมอ กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย.
[๓๑๓] ครั้งนั้น บุรุษนั้นกลัวอสรพิษทั้ง ๔ กลัวเพชฌฆาตทั้ง ๕ กลัวเพชฌฆาตคนที่ ๖ และกลัวโจรผู้คอยฆ่าชาวบ้าน จึงหนีไปในที่อื่น เขาไปพบห้วงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ฝั่งข้างนี้น่ารังเกียจ มีภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัย เรือแพ หรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้นไม่มี.
[๓๑๔] ครั้งนั้น บุรุษนั้นมีความคิดอย่างนี้ว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่นัก ฝั่งข้างนี้เป็นที่น่ารังเกียจ มีภัยอันตราย ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัย เรือแพ หรือสะพานที่จะข้ามไปฝั่งโน้นก็ไม่มี ผิฉะนั้น เราควรจะมัดหญ้า ไม้ กิ่งไม้และใบไม้ ผูกเป็นแพ เกาะแพนั้น พยายามไปด้วยมือและด้วยเท้า ก็พึงถึงฝั่งโน้นได้โดยความสวัสดี ครั้นแล้ว บุรุษนั้นทำตามความคิดอย่างนั้น ก็ข้ามฟากถึงฝั่งข้างโน้นแล้ว ขึ้นบกไปเป็นพราหมณ์.
ว่าด้วยอสรพิษ ๔ เป็นชื่อของมหาภูตรูป ๔
[๓๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออุปมานี้ เราทำขึ้นเพื่อจะให้เข้าใจเนื้อความโดยง่าย ในข้อนั้นมีเนื้อความดังนี้ คำว่า อสรพิษที่มีเดชกล้า ทั้ง ๔ จำพวกนั้น เป็นชื่อแห่งมหาภูตรูป ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 368
ธาตุลม คำว่า เพชฌฆาตทั้ง ๕ คนที่เป็นข้าศึกนั้น เป็นชื่อแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ คือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ คำว่า เพชฌฆาตคนที่ ๖ ซึ่งเที่ยวไปในอากาศเงื้อดาบอยู่นั้น เป็นชื่อแห่งนันทิราคะ คำว่า บ้านร้างนั้น เป็นชื่อแห่งอายตนะภายใน ๖.
[๓๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้บัณฑิตผู้ฉลาด มีปัญญาใคร่ครวญอายตนะภายใน ๖ นั้น ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะปรากฏว่า เป็นของว่าง เปล่า สูญทั้งนั้น.
คำว่า โจรผู้ฆ่าชาวบ้านนั้น เป็นชื่อแห่งอายตนะภายนอก ๖ ตาย่อมเดือดร้อนเพราะรูปที่เป็นที่พอใจและไม่พอใจ หูย่อมเดือดร้อนเพราะเสียงเป็นที่พอใจและไม่พอใจ จมูกย่อมเดือดร้อนเพราะกลิ่นเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ลิ้นย่อมเดือดร้อนเพราะรสเป็นที่พอใจและไม่พอใจ กายย่อมเดือดร้อนเพราะโผฏฐัพพะเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ใจย่อมเดือดร้อนเพราะธรรมารมณ์เป็นที่พอใจและไม่พอใจ คำว่า ห้วงน้ำใหญ่นั้น เป็นชื่อแห่งโอฆะทั้ง ๔ คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ คำว่า ฝั่งข้างนี้อันเป็นที่น่ารังเกียจมีภัยอันตรายนั้น เป็นชื่อแห่งร่างกายของตน คำว่า ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษมปลอดภัยนั้น เป็นชื่อแห่งนิพพาน คำว่า แพนั้น เป็นชื่อแห่งอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ คือสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ คำว่า พยายามข้ามไปด้วยมือและเท้า เป็นชื่อแห่งวิริยารัมภะ คำว่า ข้ามฟากถึงฝั่งโน้นแล้วขึ้นบกไปเป็นพราหมณ์ เป็นชื่อแห่งพระอรหันต์.
จบ อาสีวิสสูตรที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 369
อาสีวิสวรรคที่ ๔
อรรถกถาอาสีวิสสูตรที่ ๑
อาสีวิสวรรค อาสีวิสสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ภิกฺขู อามนฺเตสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุเหล่าโยคาวจรผู้ชอบจาริกไปรูปเดียว ๒ รูป ๓ รูป ๔ รูป ๕ รูป ผู้มีความประพฤติต้องกัน ผู้ปฏิบัติ ผู้ขะมักเขม้น แม้ทุกรูป ซึ่งนั่งล้อมเหล่าภิกษุผู้บำเพ็ญกรรมฐานมีทุกขลักษณะเป็นอารมณ์ แท้จริงพระสูตรนี้ ตรัสด้วยอัธยาศัยของบุคคล. จริงอยู่ ในบรรดาบุคคลทั้งหลาย ตรัสด้วยอำนาจเหล่าภิกษุอุคฆฏิตัญญูบุคคลที่อยู่ในที่ต่างๆ ผู้บำเพ็ญกรรมฐานมีทุกขลักขณะเป็นอารมณ์ ซึ่งมาในเวลาเฝ้า นั่งแวดล้อมพระศาสดา แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จึงเป็นปัจจัยแก่บุคคล ๔ เหล่ามีอุคฆฏิตัญญูบุคคล เป็นต้น.
จริงอยู่ อุคฆฏิตัญญูบุคคล จักบรรลุพระอรหัตด้วยยกหัวข้อแห่งพระสูตรขึ้นเท่านั้น. วิปจิตัญญูบุคคล บรรลุพระอรหัตด้วยการแจกหัวข้อธรรมโดยพิสดาร เนยยบุคคลท่องบ่นพระสูตรนี้เท่านั้น ใส่ใจโดยแยบคาย คบหาเข้าใกล้กัลยาณมิตร จึงจักบรรลุพระอรหัต สำหรับปทปรมบุคคล พระสูตรนี้ จักเป็นวาสนาเครื่องอบรมบ่มบารมีในอนาคตแล ด้วยประการดั่งว่ามานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พระองค์ทรงมีอุปการะแก่สัตว์แม้ทุกหมู่เหล่า ทรงเป็นประหนึ่งยกภูเขาสิเนรุขึ้น ประหนึ่งทำอากาศให้กว้างขวาง และประหนึ่งทำภูเขาจักรวาลให้หวั่นไหว จึงเริ่มอาสีวิสสูตรนี้ ด้วยความอุตสาหะอย่างใหญ่ ว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 370
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตาโร อาสีวิสา ความว่า อสรพิษ (งู) ๔ จำพวก คือกัฏฐมุขะ ปูติมุขะ อัคคิมุขะ สัตถมุขะ. ในงู ๔ จำพวกนั้น ทั่วเรือนร่างของคนที่ถูกงูกัฏฐมุขะกัด จะแข็งกระด้างเหมือนไม้แห้ง ในข้อต่อทั้งหลายข้อต่อจะแข็งกระด้าง ตั้งอยู่เหมือนเสียบไว้ด้วยหลาวเหล็ก. เรือนร่างของผู้ถูกงูปูติมุขะกัด ก็จะมีน้ำหนองไหลเยิ้มอยู่เหมือนขนุนสุกเน่า เป็นดังน้ำที่เขาใส่ไว้ในหม้อเกรอะ. ทั่วเรือนร่างของผู้ถูกงูอัคคิมุขะกัด จะไหม้กระจายไปเป็นเหมือนกำขี้เถ้า และเป็นเหมือนกำแกลบ. ทั่วเรือนร่างของผู้ถูกงูสัตถมุขะกัด ย่อมขาดเป็นช่องเป็นเหมือนสถานที่ฟ้าผ่า และเป็นเหมือนปากที่ต่อเรือน ที่ถูกสว่านใหญ่เจาะ. อสรพิษทั้ง ๔ จำแนกโดยพิเศษด้วยประการฉะนี้.
แต่เมื่อว่าโดยอาการแผกกันแห่งกำลังเร็วของพิษอสรพิษทั้ง ๔ ชนิดนั้น รวมเป็น ๑๖ จำพวก. จริงอยู่ งูกัฏฐมุขะมี ๔ ชนิด คือมีพิษที่กัด มีพิษที่พบ มีพิษที่ถูกต้องมัน มีพิษที่ลม จริงอยู่ เรือนร่างของคนที่ถูกงูกัฏฐมุขะนั้นกัดก็ดี เห็นก็ดี ถูกต้องก็ดี ถูกลมกระทบก็ดี ย่อมแข็งกระด้างโดยประการดั่งกล่าวแล้ว. แม้ในงูที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. อสรพิษย่อมมี ๑๖ ด้วยอำนาจความแผกกันแห่งกำลังเร็วแห่งพิษ ด้วยประการฉะนี้ งูพิษย่อมมี ๖๔ ชนิด ด้วยอำนาจบุคคลบัญญัติอีก. คืออย่างไร. คืออย่างนี้ อันดับแรก บรรดางูกัฏฐมุขะ งูกัฏฐมุขะมีพิษที่กัด มี ๔ ชนิด คือพิษแล่นแต่พิษไม่ร้าย พิษร้ายแต่พิษไม่แล่น พิษแล่นและพิษร้าย และพิษไม่แล่นพิษไม่ร้าย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 371
ในจำนวนงู ๔ ประเภทนั้น พิษของงูใดควรกล่าวได้ว่า แล่นเร็ว ขึ้นจับตา จับคอ จับศีรษะ เหมือนไฟไม้คบหญ้าลุกโชนเช่นพิษงูมณีสัปปะ (งูเห่าปีแก้ว) อนึ่งเมื่อคนร่ายมนต์ เป่าลมเข้าทางช่องหู พอเอาไม้ตี พิษก็จะแล่นลงมาหยุดอยู่ตรงที่ถูกกัดเท่านั้น งูนี้นั้นชื่อว่า มีพิษแล่นเร็วแต่พิษไม่ร้าย.
ส่วนพิษของงูใด ค่อยๆ แล่นขึ้น แต่ในที่ๆ พิษแล่นขึ้น ก็เป็นเหมือนน้ำที่ดื่มเข้าไป แม้โดยล่วงไปสิบ ๑๒ ปี ก็ยังปรากฏที่ข้างหลังหู และหลังคอเป็นต้น เป็นเหมือนพิษของงูน้ำ แต่เมื่อหมองูทำการร่ายมนต์เป็นต้น พิษก็ไม่ลดลงเร็ว งูนี้นั้นชื่อว่า มีพิษร้ายแต่พิษไม่แล่นเร็ว.
ส่วนพิษของงูใด ขึ้นเร็ว แต่ไม่ลงเร็ว เช่น พิษของงูจงอางเป็นต้น งูนี้นั้นชื่อว่า ทั้งมีพิษแล่นเร็วทั้งมีพิษร้าย.
พิษของงูใด แม้ถูกหมองูเป่ามนต์ให้ลดลง ก็ลงง่ายๆ เช่น พิษของงูเขียว และงูเรือนเป็นต้น งูนี้นั้นชื่อว่า มีพิษไม่แล่นเร็วและมีพิษไม่ร้าย.
พิษที่ถูกกัดในจำพวกงูกัฏฐมุขะ และพิษที่ถูกกัดในจำพวกงูปูติมุขะ เป็นต้นก็พึงทราบ โดยอุบายนี้ เพราะเหตุนั้น อสรพิษจึงมี ๖๔ ประเภท ด้วยอำนาจบุคคลบัญญัติด้วยประการฉะนี้. ใน ๖๔ ประเภทนั้น แต่ละประเภทยังแยกออกอย่างละ ๔ ตามกำเนิด โดยนัยว่า งูเกิดแต่ฟองไข่เป็นต้น จึงรวมเป็นงู ๒๕๖ ประเภท. งูเหล่านั้นเอา ๒ คูณ ด้วยงูที่เกิดในน้ำและบนบกเป็นต้น จึงเป็นงู ๕๑๒. งูเหล่านั้น เอา ๒ คูณ ด้วย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 372
สามารถ กามรูปและอกามรูป จึงนับได้ ๑,๐๒๔. งูเหล่านั้น เมื่อย่อเข้าโดยปฏิโลมย้อนกลับแห่งทางที่งูเลื้อยไปอีก จึงเป็นอสรพิษ ๔ ประเภท ด้วยอำนาจงูกัฏฐมุขะเป็นต้น ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอางูเหล่านั้น จึงตรัสว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว จตฺตาโร อาสีวิสา เป็นต้น. ก็งูเหล่านั้น ท่านถือเอาด้วยอำนาจตระกูล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสีวิสา ความว่า ชื่อว่า อาสีวิสา เพราะมีพิษที่รดก็มี ชื่อว่า อาสีวิสา เพราะมีพิษที่ลิ้มก็มี อาสีวิสา เพราะมีพิษเช่นกับดาบก็มี. บทว่า อาสิตฺตวิสา ความว่า มีพิษที่ดังเขารดน้ำชโลมทั่วกาย และพิษที่รดลงที่กายของผู้อื่น. บทว่า อสิตวิสา ความว่า สิ่งใดๆ อันงูเหล่านั้นลิ้มแล้ว กินแล้ว สิ่งนั้นๆ ย่อมกลายเป็นพิษไป เพราะฉะนั้น ที่ชื่อว่า อสิตวิสา เพราะสิ่งที่มันลิ้มกลายเป็นพิษ. บทว่า อสิสทิสวิสา ความว่า ที่ชื่อว่า อสิสทิสวิสา เพราะพิษของงูเหล่านั้น คมกริบ สามารถตัดขาดได้อย่างยอดเหมือนดาบ. พึงทราบความแห่งคำในที่นี้ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า อุคฺคเตชา ได้แก่ มีเดชสูง คือมีอำนาจแรง. บทว่า โฆรวิสา ได้แก่ มีพิษที่แก้ไขได้ยาก.
บทว่า เอวํ วเทยฺยุํ ได้แก่ พึงกล่าวอย่างนี้ เพื่อจะให้เขาบำรุงเลี้ยง. จริงอยู่ พระราชาทั้งหลาย สั่งให้จับงูพิษทั้งหลายไว้ ทรงพระดำริว่า เราจะให้งูเหล่านี้กัดโจรเช่นนี้ให้ตาย หรือปล่อยมันไปที่กองทัพข้าศึกเวลาที่ข้าศึกประชิดนคร เราเมื่อไม่สามารถจะต่อต้านกำลังข้าศึกได้ ก็จะกิน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 373
อาหารดีๆ แล้วขึ้นสู่ที่นอนอย่างดี ให้งูเหล่านั้นกัดตนเอง ไม่ยอมติดอยู่ในอำนาจของเหล่าศัตรู ให้ตายสมความพอใจของตน ดังนี้แล้ว ให้บำรุงเลี้ยงอสรพิษทั้งหลายไว้ พระราชาเหล่านั้น ไม่ปรารถนาจะทำบุรุษใดให้ตายโดยฉับพลัน ก็ปรารถนาว่าผู้นั้นจักต้องประสบทุกข์นานๆ แล้วตายไป ด้วยอาการอย่างนี้ จึงตรัสกะบุรุษนั้นอย่างนี้ว่า ก็พวกนี้มันคืออสรพิษ ๔ จำพวก นี่ พ่อมหาจำเริญ.
บทว่า กาเลน กาลํ ได้แก่ ทุกเวลา. บทว่า ปเวเสตพฺพา ได้แก่ ให้นอน. บทว่า อญฺตโร วา อญฺตโร วา ความว่า บรรดาอสรพิษ ๔ ประเภท มีกัฏฐมุขะเป็นต้น ตัวใดตัวหนึ่ง. คำว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ขอท่านจงกระทำกิจที่ท่านพึงกระทำเสีย นี้พึงทราบว่าเป็นคำของผู้บำเพ็ญประโยชน์. ได้ยินว่า พระราชาทั้งหลาย ทรงมอบอสรพิษทั้งหลายแก่บุรุษนั้นด้วยอาการอย่างนี้ แล้วทรงบอกกล่าวแก่เหล่าอสรพิษที่เขาวางไว้ในกะโปรงทั้ง ๔ กะโปรงว่า นี้เป็นผู้บำรุงเจ้านะ. ลำดับนั้นงูตัวหนึ่ง ก็เลื้อยออกมา เลื้อยขึ้นตามเท้าขวาของบุรุษนั้น แล้วพันมือขวาตั้งแต่ข้อมือ แผ่พังพานใกล้ช่องหูขวา นอนกระทำเสียงว่า สุสุ ดังนี้. อีกตัวหนึ่ง เลื้อยไปตามเท้าซ้าย แล้วพันมือซ้ายในที่นั้นนั่นเอง แผ่พังพานที่ใกล้ช่องหูซ้าย แล้วนอนกระทำเสียงว่า สุสุ ดังนี้. ตัวที่ ๓ เลื้อยออกขึ้นไปตรงหน้า พันท้อง แผ่พังพานใกล้หลุมคอ นอนทำเสียงว่า สุสุ ดังนี้. ตัวที่ ๔ เลื้อยไปตามส่วนข้างหลัง พันคอ วางพังพานบนกระหม่อม นอนกระทำเสียงว่า สุสุ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 374
เมื่ออสรพิษ ๔ ประเภทนั้น อยู่ที่ร่างกายอย่างนี้ บุรุษผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อบุรุษนั้น เห็นเขาเข้าจึงถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านได้อะไร? ลำดับนั้น เมื่อบุรุษผู้ถูกงูพันนั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ อสรพิษเหล่านี้ พระราชาพระราชทานให้เป็นเครื่องประดับเป็นพิเศษบางประการ ที่มือทั้งสองเหมือนกำไลมือ ที่แขนเหมือนกำไลต้นแขน ที่ท้องเหมือนผ้าคาดท้อง ที่หูเหมือนตุ้มหู ที่คอเหมือนสร้อยมุกดา และที่ศีรษะเหมือนเครื่องประดับศีรษะ จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญช่างโง่เขลาจริง ท่านอย่าเข้าใจอย่างนี้ว่า พระราชาทรงยินดี พระราชทานเครื่องประดับนั้นแก่เรา ท่านเป็นโจร ทำความผิดร้าย ทั้งอสรพิษ ๔ ประเภทเหล่านี้ ก็บำรุงยาก ปฏิบัติยาก เมื่อตัวหนึ่งต้องการจะลุกขึ้น ตัวหนึ่งต้องการจะอาบน้ำ เมื่อตัวหนึ่งต้องการจะอาบน้ำ ตัวหนึ่งต้องการจะกิน เมื่อตัวหนึ่งต้องการจะกิน ตัวหนึ่งก็ต้องการจะอาบน้ำ ในงู ๔ ประเภทนั้น ตัวใดยังไม่เต็มความต้องการ ตัวนั้นก็จะกัดให้ตายในที่นั้นนั่นแล. ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครๆ ผู้ถึงความสวัสดีปลอดภัยยังจะมีอยู่หรือ. เขากล่าวว่า จริงสิ รู้ว่าพวกราชบุรุษเจ้าหน้าที่ฟุ้งเฟ้อเผลอตัวหนีไปเสียก็จะปลอดภัย ก็พึงกล่าวว่า ท่านจงกระทำกิจที่ท่านควรกระทำเถิด. ฝ่ายบุรุษที่ถูกจับเป็นโจรรู้เรื่องนั้นแล้ว เห็นขณะที่อสรพิษทั้ง ๔ เผลอตัว และปลอดจากราชบุรุษเจ้าหน้าที่จึงเอามือขวาพันมือซ้าย แล้ววางพังพานไว้ใกล้จอนหู ทำที่ประจงลูบคลำร่างอสรพิษตัวที่นอนหลับ ค่อยๆ แกะให้มันออกไป แล้วแกะตัวอื่นๆ ออกไป ด้วยอุบายอย่างนี้นั่นแล กลัวต่อพวกมันแล้วพึงหนีไป. ครั้งนั้นอสรพิษเหล่านั้น พากันติดตามบุรุษนั้นมาด้วยคิดว่าบุรุษนี้ พระ-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 375
ราชาพระราชทานให้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพวกเรา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาเรื่องนี้ จึงตรัสว่า อถ โข ภิกฺขเว ปุริโส ภีโต จตุนฺนํ อาสีวิสานํ ฯเปฯ ปลาเปถ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล บุรุษนั้นกลัวต่ออสรพิษเหล่านั้น ฯลฯ พึงหนีไปเสีย.
ก็เมื่อบุรุษนั้น ตรวจดูแล้วดูอีกซึ่งหนทางที่มาอย่างนั้นแล้วกำลังหนีไป พระราชาทรงสดับว่า บุรุษนั้นหนีไปแล้ว จึงทรงดำริว่า ใครหนอ จักอาจติดตามไปฆ่าบุรุษนั้นได้ จึงเลือกได้คน ๕ คน ผู้เป็นศัตรูต่อบุรุษนั้นนั่นแล้ว ทรงส่งไปด้วยดำรัสสั่งว่า พวกเธอจงไป จงติดตามไปฆ่าบุรุษนั้นเสีย. ลำดับนั้น เหล่าบุรุษผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อบุรุษนั้น ทราบเรื่องนั้นแล้วพึงได้บอก บุรุษนั้นกลัวเหลือประมาณ พึงหนีไป ท่านหมายเอา เนื้อความนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ ดังนี้.
บทว่า ฉฏฺโ อนฺตรจโร วธโก ความว่า พวกอำมาตย์กราบทูลว่า บุรุษโจรผู้นี้ ถูกพวกอสรพิษติดตามไปก่อน ลวงอสรพิษเหล่านั้น ท่าโน้นท่านี้หนีไป บัดนี้เขาถูกศัตรู ๕ คน ติดตามก็หนีเตลิดไป ใครๆ ไม่อาจจะจับเขาได้อย่างนี้ แต่สามารถจะจับได้ด้วยการหลอกลวง เพราะฉะนั้น ขอทรงโปรดส่งคนผู้สนิทสนม เป็นคนภายในเคยกินเคยดื่มร่วมกันตั้งแต่รุ่นหนุ่มไปมอบแก่เพชฌฆาต พระราชาก็ทรงส่งเพชฌฆาตผู้สอดแนม ให้ไปเสาะหาเขา.
บทว่า โส ปสฺเสยฺย สุญฺํ คามํ ความว่า บุรุษโจรนั้นกลับเหลียวดูเห็นอสรพิษทั้ง ๔ ศัตรูผู้ฆ่า ๕ คน กำลังสูดดมกลิ่นรอยเท้าไปโดยเร็ว เห็นเพชฌฆาตผู้สอดแนมคำรบ ๖ มาพูดเกลี้ยกล่อมว่า ดูราท่านผู้เจริญ ท่านจงกลับเสียอย่าหนีเลย บริโภคกามกับบุตรภรรยา ก็จักอยู่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 376
เป็นสุข เขากลัวเหลือประมาณก็หนีซอกซอนไป พึงเห็นบ้านร้างหมู่หนึ่ง ซึ่งมีกระท่อม ๖ หลังอยู่ตรงหน้า ปลายเขตแคว้น. บทว่า ริตฺตกํเยว ปวิเสยฺย ความว่า พึงเข้าไปยังกระท่อมที่ว่างเปล่าเท่านั้น เพราะเว้นจากทรัพย์ ธัญญาหาร เตียงและตั่งเป็นต้น.
บทว่า ตุจฺฉกํ สุญฺตํ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า ริตฺตกํเยว นั่นแล. บทว่า ปริมเสยฺย ความว่า พึงเที่ยวไปด้วยหวังว่า ถ้าน้ำดื่มมี เราจักดื่ม ข้าวมี ก็จักกิน ดังนี้แล้ว สอดมือเข้าไปข้างในแล้วคลำดู.
บทว่า ตเมนํ เอวํ วเทยฺยุํ ความว่า บุรุษนั้นไม่ได้อะไรๆ แม้ในเรือนสักหลังเดียว ในจำนวนเรือนทั้ง ๖ หลัง แต่แล้วก็เห็นแผ่นกระดานคดๆ ที่เขาปูไว้ที่ต้นไม้ที่มีเงาสงบต้นหนึ่งซึ่งมีอยู่กลางหมู่บ้าน แล้วคิดจักนั่งในที่นี้ก่อน แล้วก็ไปนั่งในที่นั้น ถูกลมอ่อนๆ พัดโชยมา ทำให้หวนระลึกถึงความสุขแม้มีประมาณเท่านั้นโดยสงบ บุรุษผู้บำเพ็ญประโยชน์บางเหล่ารู้เรื่องภายนอกแล้ว ก็พึงพูดกะเขาอย่างนั้น. บทว่า อิทานิมฺโภ ปุริส ตัดเป็น อิทานิ อมฺโภ ปุริส แปลว่า ดูราบุรุษผู้เจริญ บัดนี้. บทว่า โจรา คามฆาตกา ได้แก่ โจรผู้ฆ่าชาวบ้าน ๖ จำพวก ผู้มาด้วยหมายว่าจักยึดเอาทรัพย์ที่จักได้ในที่นั้น หรือฆ่าเจ้าทรัพย์เสีย.
บทว่า อุทกณฺณวํ ได้แก่ น้ำลึกและน้ำกว้าง. จริงอยู่ น้ำลึก แต่ไม่กว้าง หรือน้ำกว้าง แต่ไม่ลึก. ท่านไม่เรียกว่า ห้วงน้ำ. ส่วนน้ำที่ทั้งลึกทั้งกว้างเท่านั้น จึงจะเป็นชื่อห้วงน้ำนั้นนั่นแล. บทว่า สาสงฺกํ สปฺปฏิภยํ ความว่า ฝั่งนี้ ชื่อว่า น่ารังเกียจและน่ามีภัยเฉพาะหน้า เพราะอำนาจอสรพิษทั้ง ๔ ศัตรูผู้ฆ่าทั้ง ๕ เพชฌฆาตผู้สอดแนมคำรบ ๖
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 377
และโจรผู้ฆ่าชาวบ้าน ๖ จำพวก. บทว่า เขมํ อปฺปฏิภยํ ความว่า ฝั่งโน้น ชื่อว่า เป็นแดนเกษม และไม่มีภัยเฉพาะหน้า เพราะไม่มีอสรพิษเป็นต้นเหล่านั้นนั่นและ เป็นสวนที่วิจิตรประเสริฐ เป็นดังบ่อน้ำที่ดื่มของชนหมู่มาก เช่นกับเทพนคร. บทว่า นตฺถสฺส นาวา สนฺตารณี ความว่า เรือข้ามฟาก ที่เขาจัดไว้ด้วยประสงค์อย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายจักข้ามจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้นดังนี้ก็ไม่พึงมี. บทว่า อุตฺตรเสตุ วา ความว่า หรือบรรดาสะพานไม้ สะพานเดินเท้า และสะพานเกวียน สะพานข้ามอย่างใดอย่างหนึ่งไม่พึงมี. บทว่า ติฏฺติ พฺราหฺมโณ ความว่า นั่นแหละไม่ใช่พราหมณ์ จะถามว่าเพราะเหตุไรจึงตรัสบุรุษนั้นว่าเป็นพราหมณ์ เพราะพวกข้าศึกมีประมาณเท่านั้น ถูกพราหมณ์นั้นลอยเสียแล้ว. อีกนัยหนึ่ง เมื่อจะทรงเปลี่ยนเทศนา จึงได้ตรัสอย่างนั้น เมื่อทรงแสดงพราหมณ์ผู้เป็นพระขีณาสพองค์หนึ่ง.
ก็เมื่อบุรุษผู้นั้นข้ามฟากได้อย่างนี้แล้ว อสรพิษทั้ง ๔ กล่าวว่า เราไม่ได้ตัวท่านแล้ว วันนี้พวกเราจะรุมกันกัดชีวิตของท่านทิ้งเสีย ศัตรูทั้ง ๕ ก็กล่าวว่า เราไม่ได้ตัวท่านแล้ว วันนี้เราจะล้อมตัดอวัยวะน้อยใหญ่ของท่านเสียแล้วไปในสำนักของพระราชาพึงได้ทรัพย์ ๑๐๐ หรือ ๑,๐๐๐ ผู้สอดแนมคำรบ ๖ กล่าวว่า เราไม่ได้ตัวท่านแล้ว วันนี้เราจะเอาดาบสีแก้วผลึกตัดศีรษะท่าน แล้วพึงได้ตำแหน่งเสนาบดี เสวยสมบัติ. พวกโจรทั้ง ๖ คิดว่า เราไม่ได้ตัวท่านแล้ว วันนี้เราจะให้ทำกรรมกรณ์ (ลงโทษ) ต่างๆ แล้วให้ท่านนำทรัพย์เป็นอันมากมามอบ ดังนี้แล้ว เมื่อไม่สามารถจะข้ามห้วงน้ำได้ ทั้งไม่สามารถจะไปข้างหน้าได้ เพราะถูกพระราชากริ้วลงราชอาชญา ก็จะพึงซูบซีดตายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 378
ในบทว่า อุปมา โข มฺยายํ นี้ พึงทราบการเทียบเคียงข้ออุปมาตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้. จริงอยู่ กรรมพึงเห็นเหมือนพระราชา ปุถุชนผู้อาศัยวัฏฏะ พึงเห็นเหมือนบุรุษผู้ทำผิดกฎหมาย มหาภูตรูป ๔ เหมือนอสรพิษทั้ง ๔ เวลาที่กรรมให้แก่มหาภูตรูป ๔ ในขณะปฏิสนธิของมหาชนนั่นเอง เหมือนในเวลาที่พระราชาทรงให้ปกปิดอสรพิษทั้ง ๔ เวลาที่พระศาสดาตรัสกรรมฐานมีมหาภูตรูปเป็นอารมณ์แก่ภิกษุนี้ แล้วตรัสว่าเมื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในมหาภูตรูป ๔ นี้ ก็จักหลุดพ้นจากวัฏฏะด้วยอาการอย่างนี้ เหมือนเวลาที่ตรัสว่า ท่านจงออกไปในขณะที่อสรพิษเผลอ และในขณะที่ราชบุรุษสงัดเงียบแล้วหนีไป ตามคำว่า บุรุษผู้เจริญ กิจใดที่ท่านควรทำ จงทำกิจนั้นเสีย เวลาที่ภิกษุนี้ได้กรรมฐานในสำนักพระศาสดา แล้วหนีไปด้วยการหนี คือญาณ เพื่อประโยชน์แก่การหลุดพ้นจากอสรพิษ คือมหาภูตรูป เหมือนการได้ยินคำของผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อบุรุษนั้น แล้วออกในขณะที่อสรพิษทั้ง ๔ เผลอ และในขณะที่ราชบุรุษสงัดเงียบแล้วหนีซอกซอนไป.
พึงทราบกถาว่าด้วยมหาภูตรูป ๔ อุปาทานขันธ์ ๕ และอายตนกถา ในคำว่า จตุนฺนํ มหาภูตานํ ปวีธาตุยา อาโปธาตุยา เป็นต้น โดยนัยที่กล่าวไว้พิสดารแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล. ก็ในที่นี้ ปฐวีธาตุ พึงเห็นเหมือนงูกัฏฐมุขะ (ปากไม้) ธาตุที่เหลือพึงเห็นเหมือนงูปูติมุขะ (ปากเน่า) งูอัคคิมุขะ (ปากไฟ) และงูสัตถมุขะ (ปากศัสตรา). กายทั้งสิ้นของบุคคลผู้ถูกงูปากไม้กัด ย่อมแข็งกระด้างฉันใด แม้กายทั้งสิ้นย่อมแข็งกระด้างเพราะปฐวีธาตุกำเริบก็ฉันนั้น อนึ่งกายทั้งสิ้นของผู้ถูกงูปากเน่าเป็นต้นกัด
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 379
ย่อมน้ำเหลืองไหลออก ย่อมไหม้ และย่อมทรุดโทรมฉันใด กายทั้งสิ้นย่อมน้ำเหลืองไหลออก ย่อมไหม้ และย่อมทรุดโทรมแม้เพราะความกำเริบของอาโปธาตุ เตโชราตุ และวาโยธาตุ ฉันนั้น.
ด้วยเหตุนั้น อรรถกถาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวไว้ว่า
ร่างกายที่ถูกงูปากไม้กัดเอาแล้ว ย่อมแข็งกระด้างไป ร่างกายนั้น เพราะปฐวีธาตุกำเริบ ก็ย่อมแข็งกระด้างดังงูปากไม้กัด ฉะนั้น ก็มี
ร่างกายที่ถูกงูปากเน่ากัดเอาแล้ว ย่อมเน่าไป ร่างกายนั้น เพราะอาโปธาตุกำเริบ ก็ย่อมเน่าดังงูปากเน่ากัด ฉะนั้น ก็มี
ร่างกายที่ถูกงูปากไฟกัดเอาแล้ว ย่อมร้อนไหม้ ร่างกายนั้น เพราะเตโชธาตุกำเริบ ก็ย่อมร้อนไหม้ดังงูปากไฟกัด ฉะนั้น ก็มี
ร่างกายที่ถูกงูปากศัสตรากัดเอาแล้ว ย่อมขาดแหว่ง ร่างกายนั้น เพราะวาโยธาตุกำเริบ ก็ย่อมขาดแหว่งดังงูปากศัสตรากัด ฉะนั้น.
ในข้อนี้ พึงทราบส่วนประกอบของสรีระโดยพิเศษ ด้วยประการ ฉะนี้ก่อน.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 380
แต่เมื่อว่าโดยไม่แผกกัน พึงทราบว่าธาตุเหล่านั้น มีภาวะเสมือนกันกับอสรพิษ โดยเหตุเหล่านี้คือ โดยที่อาศัย โดยความผิดกันแห่งกำลังเร็วแห่งพิษ โดยถือเอาแต่สิ่งไม่น่าปรารถนา โดยบำรุงเลี้ยงยาก โดยเข้าไปหาได้ยาก โดยเป็นสัตว์ไม่รู้คุณคน โดยมีปกติกัดไม่เลือก โดยมีโทษและอันตรายอย่างอนันต์.
ในบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสยโต ความว่า จริงอยู่ จอมปลวกชื่อว่า เป็นที่อาศัยของอสรพิษทั้งหลาย. ก็อสรพิษเหล่านั้นย่อมอยู่อาศัยที่จอมปลวกนั้น. จอมปลวก คือกาย เป็นที่อาศัยแม้ของมหาภูตรูปทั้งหลาย. จริงอยู่ โพรงต้นไม้ ใบหญ้า ใบไม้ ที่รก และกองหยากเยื่อ ก็เป็นที่อาศัยของอสรพิษทั้งหลาย. อสรพิษเหล่านั้นย่อมอยู่ในที่แม้เหล่านั้น. โพรงไม้ คือกาย ที่รก คือกาย กองหยากเยื่อ คือกาย ก็เป็นที่อาศัยแม้ของมหาภูตรูปทั้งหลาย พึงทราบความที่มหาภูตรูปเหล่านั้นเหมือนกัน ดังพรรณนามาอย่างนี้ก่อน.
บทว่า วิสเวควิการโต ความว่า อสรพิษทั้งหลาย โดยประเภทมี ๔ มีงูปากไม้เป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งตระกูล. ในอสรพิษเหล่านั้น ตระกูลหนึ่งๆ เมื่อแบ่งโดยความผิดแผกกันแห่งพิษ ก็มี ๔ อย่าง คือมีพิษที่ถูกกัดเป็นต้น แม้มหาภูตรูป ก็มี ๔ โดยต่างเป็นปฐวีธาตุเป็นต้น ด้วยอำนาจลักษณะจำเพาะตัวในมหาภูตรูปเหล่านี้ มหาภูตรูปอย่างหนึ่งๆ ย่อมมี ๔ อย่าง ด้วยอำนาจมหาภูตรูปมีกรรมเป็นสมุฏฐานเป็นต้น พึงทราบว่ามหาภูตรูปเหล่านั้น เสมือนกันโดยความผิดแผกกันแห่งกำลังเร็วของพิษ ด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 381
บทว่า อนตฺถคหณโต ความว่า อสรพิษทั้งหลาย เมื่อจะยึดเอา ย่อมยึดเอาสิ่งซึ่งไม่น่าปรารถนา ๕ อย่าง คือย่อมถือเอาแต่ของเหม็น ถือเอาของไม่สะอาด ย่อมถือเอาแต่ตัวโรค ย่อมถือเอาแต่ของมีพิษ ย่อมถือเอาแต่ความตาย แม้มหาภูตรูป เมื่อถือเอา ย่อมถือเอาแต่สิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ๕ อย่าง คือย่อมถือเอาแต่ของเหม็น ถือเอาแต่ของไม่สะอาด ถือเอาแต่ความเจ็บ ถือเอาแต่ความแก่ ถือเอาแต่ความตาย.
ด้วยเหตุนั้น พระโปราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวไว้ว่า
ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมจับงูอันเปื้อนคูถ มีพิษมาก เป็นผู้เพลิดเพลินงูในโลกชื่อว่า จับเอาภาวะที่ไม่น่าปรารถนาทั้ง ๕ คือของเหม็น ของไม่สะอาด พยาธิ ชรา มรณะเป็นที่ ๕ ภาวะที่ไม่น่าปรารถนา ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ในงูที่เปื้อนคูถ. ปุถุชนผู้บอดและเขลาไม่ฉลาด ก็อย่างนั้นเหมือนกัน เป็นผู้เพลิดเพลินความเกิดในภพชื่อว่า จับอนัตถะภาวะที่ไม่น่าปรารถนา คือของเหม็น ของไม่สะอาด พยาธิ ชรา มรณะเป็นที่ ๕ ภาวะที่ไม่น่าปรารถนา ๕ เหล่านี้ มีอยู่ในกายอันเป็นดังงูที่เปื้อนคูถ ฉะนั้น.
พึงทราบว่ามหาภูตรูปเหมือนกันโดยถือเอาแต่อนัตถะภาวะที่ไม่น่าปรารถนา ด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 382
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ทุรูปปฏฺานโต ดังต่อไปนี้. อสรพิษเหล่านั้นบำรุงเลี้ยงได้ยาก เมื่อตัวหนึ่งประสงค์จะลุก ตัวหนึ่งประสงค์จะอาบน้ำ เมื่อตัวนั้นประสงค์จะอาบน้ำ อีกตัวหนึ่งประสงค์จะกิน เมื่อตัวนั้นประสงค์จะกิน อีกตัวหนึ่งประสงค์จะนอน บรรดางูเหล่านั้น งูตัวใดๆ ยังไม่เต็มประสงค์ งูตัวนั้นก็จะกัดให้ตายในที่นั้นนั่นเอง แต่เหล่าภูตรูปนั่นแล บำรุงเลี้ยงยากกว่าอสรพิษเหล่านี้. จริงอยู่ เมื่อปรุงยาแก่ปฐวีธาตุ อาโปธาตุก็กำเริบ. เมื่อผู้นั้นปรุงยา เตโชธาตุก็กำเริบ ดังกล่าวมานี้ เมื่อปรุงยาแก่ธาตุอันหนึ่ง ธาตุอีกอันหนึ่งก็กำเริบ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ธาตุทั้งหลายเหมือนกันโดยบำรุงเลี้ยงได้ยากด้วย ประการฉะนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ทุราสทโต ดังต่อไปนี้ จริงอยู่ อสรพิษทั้งหลายชื่อว่า พบได้ยาก คนทั้งหลายพบอสรพิษที่หน้าเรือน ก็จะหนีไปทางหลังเรือน พบที่หลังเรือนก็จะหนีไปทางหน้าเรือน พบกลางเรือนก็จะหนีเข้าห้อง พบที่ห้องก็จะหนีขึ้นเตียงตั่ง มหาภูตรูปทั้งหลายชื่อว่า พบได้ยากมากกว่านั้น. จริงอยู่ เมื่อคนเป็นโรคเรื้อน หูจมูกเป็นต้นก็จะขาดตกไป เป็นที่เนื้อตัวฝูงแมลงวันหัวเขียวก็จะตอม กลิ่นตัวก็จะคลุ้งไปไกล บุรุษโรคเรื้อนนั้นกำลังด่าก็ดี กำลังร้องครวญครางก็ดี คนทั้งหลายก็ไม่อาจเข้าไปด่าใกล้ๆ ได้ ไม่อาจเข้าไปช่วยใกล้ๆ ได้ ต้องปิดจมูก บ้วนน้ำลาย ห่างบุรุษโรคเรื้อนนั้นไปเสียไกลๆ พึงทำความข้อนี้ให้แจ่มแจ้งอย่างนั้น โดยโรคอย่างอื่นๆ เช่นโรคบานทะโรค โรคท้อง โรคลมเป็นต้น และโรคที่ทำความขยะแขยงน่าเกลียด เพราะฉะนั้น พึงทราบว่ามหาภูตรูปทั้งหลายก็เหมือนกัน โดยพบได้ยาก ด้วยประการ ฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 383
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อกตญฺญุตโต ดังต่อไปนี้. จริงอยู่ อสรพิษทั้งหลายย่อมไม่รู้อุปการะอันผู้อื่นกระทำแล้ว แม้เมื่อเขาให้ก็ดี ให้บริโภคก็ดี บูชาอยู่ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นก็ดี ใส่ในกระโปรงบริหารอยู่ก็ดี แสวงหาแต่โอกาสเท่านั้น ได้โอกาสในที่ใด ก็กัดเขาให้ตายในที่นั้นนั่นแล มหาภูตรูปทั้งหลายต่างหากไม่รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้วยิ่งกว่าอสรพิษทั้งหลาย. จริงอยู่ สิ่งที่ชอบใจ อันมหาภูตรูปเหล่านั้นทำแล้ว ไม่มีเลย แม้เขาให้อาบน้ำที่ไม่มีมลทิน ไม่ว่าจะเป็นน้ำเย็นหรือน้ำร้อนก็ดี สักการะอยู่ด้วยธูปของหอมและดอกไม้เป็นต้นก็ดี ประคบประหงมอยู่ด้วยผ้าอันนุ่ม ที่นอนอันนุ่มและที่นั่งอันนุ่มเป็นต้นก็ดี ให้กินอาหารอย่างดีก็ดี ให้ดื่มน้ำอย่างดีก็ดี ก็ยังคอยแสวงหาแต่โอกาสอยู่นั่นเอง ได้โอกาสในที่ใด โกรธขึ้นมาก็ทำให้ถึงความย่อยยับในที่นั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้น พึงทราบว่ามหาภูตรูปเสมือนกันโดยไม่รู้คุณคน ด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน บทว่า อวิเสสการิโต ดังต่อไปนี้. จริงอยู่ อสรพิษไม่ได้เลือกว่าผู้นี้เป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือศูทร เป็นคฤหัสถ์ หรือเป็นบรรพชิต ย่อมกัดผู้ที่มาประจวบเข้าๆ ให้ตายไปทั้งนั้น. แม้มหาภูตรูป ก็ย่อมไม่เลือกว่า ผู้นี้เป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ เป็นแพศย์ หรือศูทร เป็นคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต เป็นเทพ หรือมนุษย์ เป็นมาร หรือพรหม ไม่มีคุณ หรือมีคุณ ก็ถ้าพวกมันเกิดความอายขึ้นว่า ผู้นี้เป็นผู้มีคุณไซร้ พวกมันก็จะพึงให้เกิดความละอายขึ้น ในพระตถาคต ผู้เป็นพระอัครบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก แม้ถ้าพวกมันเกิด
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 384
ความละอายขึ้น โดยนัยมีอาทิว่า ผู้นี้เป็นผู้มีปัญญามาก ผู้นี้เป็นผู้มีฤทธิ์มาก และผู้นี้เป็นผู้ทรงคุณทางธุดงค์ แม้ถ้าพวกมันพึงให้เกิดความละอายขึ้นในพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระเป็นต้น ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกมันก็ว่า พึงเกิดความกลัวขึ้นว่า ผู้นี้ไม่มีคุณ เป็นผู้ทารุณ กระด้าง พวกมันก็พึงกลัวต่อพระเทวทัต ผู้เลิศ หรือต่อศาสดาทั้ง ๖ ผู้ไม่มีคุณ ผู้ทารุณ ผู้กระด้างในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็จะไม่ละอายและไม่กลัว โกรธขึ้นมาก็ทำให้ถึงความย่อยยับอย่างใดอย่างหนึ่งได้ทั้งนั้น พึงทราบว่ามหาภูตรูปเป็นเหมือนกัน โดยไม่เลือกด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบวินิจฉัย ในบทว่า อนนฺตโทสุปทฺทวโต นี้ดังต่อไปนี้. จริงอยู่ โทษและอันตรายที่อาศัยอสรพิษเกิดขึ้นไม่มีประมาณ. จริงอย่างนั้น อสรพิษเหล่านั้นกัดแล้ว ทำให้ตาบอดบ้าง ให้เป็นคนกระจอกบ้าง ให้เป็นคนเปลี้ยบ้าง ให้เป็นคนร่างพิการไปแถบหนึ่งบ้าง เพราะฉะนั้นเหล่าอสรพิษย่อมแสดงความพิการหาประมาณมิได้ ด้วยประการฉะนี้ แม้ภูตรูปทั้งหลายโกรธขึ้นมาแล้วย่อมกระทำความพิการบางอย่าง บรรดาความพิการทั้งหลายมีตาบอดเป็นต้น โทษและอันตรายของภูตรูปเหล่านั้นหาประมาณมิได้ เพราะฉะนั้นพึงทราบว่าภูตรูปเหล่านั้นเสมือนกัน โดยมีโทษและอันตรายหาประมาณมิได้ ด้วยประการฉะนี้.
บัดนี้ ในที่นี้ควรแสดงกรรมฐาน ด้วยอำนาจมหาภูตรูป ๔ จนถึงพระอรหัต กรรมฐานนั้นก็กล่าวไว้แล้วทั้งนั้น ในจตุธาตุววัฏฐานนิทเทศ คัมภีร์วิสุทธิมรรคแล.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 385
ในคำว่า ปญฺจ วธกา ปจฺจตฺถิกาติ โข ภิกฺขเว ปญฺจนฺเนตํ อุปาทานกฺขนฺธานํ อธิวจนํ ภิกษุทั้งหลาย คำว่า ปญฺจ วธกา ปจฺจตฺถิกา ศัตรูผู้ฆ่า ๕ นี้แล เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ นี้พึงทราบว่า ขันธ์ทั้งหลายเสมือนกับศัตรูผู้ฆ่า ด้วยอาการ ๒ อย่าง.
จริงอยู่ ขันธ์ทั้งหลายย่อมฆ่าซึ่งกันและกัน เมื่อขันธ์เหล่านั้นมีอยู่ชื่อว่า ผู้ฆ่าก็ย่อมปรากฏอย่างไร. อันดับแรก รูปย่อมฆ่าทั้งรูป ทั้งอรูป อรูปย่อมฆ่าทั้งอรูป ทั้งรูป อย่างไร. ปฐวีธาตุแม้นี้ เมื่อแตกย่อมพาเอาธาตุ ๓ นอกนี้แตกไปด้วย. แม้ในอาโปธาตุเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. รูปชื่อว่าฆ่ารูปนั่นแหละก่อน ด้วยอาการอย่างนี้. ส่วนรูปขันธ์เมื่อแตก ก็พาเอาอรูปขันธ์ ๔ แตกด้วยไป เพราะฉะนั้น รูปถือว่าฆ่าอรูปด้วยอาการอย่างนี้. แม้เวทนาขันธ์ เมื่อแตกก็พาเอาสัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์แตกไปด้วย. แม้ในสัญญาขันธ์เป็นต้น ก็นัยนี้. อรูปชื่อว่าย่อมฆ่าอรูปอย่างนี้. ส่วนอรูปขันธ์ ๔ ในขณะจุติ เมื่อแตกก็พาวัตถุรูป (หทยวัตถุ) แตกไปด้วย. อรูปชื่อว่าฆ่ารูปด้วยอาการอย่างนี้. ที่ชื่อว่า วธกา เพราะฆ่าซึ่งกันและกันก่อนด้วยอาการอย่างนี้. ก็ขันธ์มีในที่ใด การตัด การทำลาย การฆ่า และการจองจำเป็นต้น ก็มีในที่นั้นนั่นแล ไม่มีในที่อื่น. เมื่อขันธ์มีอยู่ ผู้ฆ่าย่อมปรากฏ แม้เพราะเหตุนั้น ขันธ์จึงชื่อว่าผู้ฆ่า. บัดนี้ พึงแสดงกรรมฐานตั้งต้นแต่แยกขันธ์ ๕ ออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนรูป และอรูป (นาม) แล้วแยกนามด้วยอำนาจรูป หรือแยกรูปด้วยอำนาจนาม จนถึงพระอรหัตแล. แม้คำนั้น ก็กล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 386
ในคำว่า ฉฏฺโ อนฺตรจโร วธโก อุกฺขิตฺตาสิโกติโข ภิกฺขเว นนฺทิราคสฺเสตํ อธิวจนํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า เพชฌฆาต สอดแนม (ลึกลับ) คำรบ ๖ ผู้เงื้อดาบ เป็นชื่อของนันทิราคะนี้ พึงทราบว่า ความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี เป็นเสมือนกับเพชฌฆาตผู้เงื้อดาบ โดยอาการ ๒ อย่าง คือโดยทำศีรษะคือปัญญาให้ตกไป และโดยทำให้เข้าถึงกำเนิด. อย่างไร. ความจริง เมื่ออิฏฐารมณ์มาปรากฏทางจักขุทวาร โลภะอาศัยอารมณ์นั้นย่อมเกิดขึ้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ศีรษะคือปัญญาเป็นอันชื่อว่า ตกไป. แม้ในโสตทวารเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. พึงทราบ นันทิราคะ เป็นเสมือนโดยการทำศีรษะคือปัญญาให้ตกไป อย่างนี้ก่อน. ก็นันทิราคะนั่น ย่อมนำเข้าไปสู่กำเนิด ๔ อย่าง ด้วยอัณฑชกำเนิดเป็นต้น นันทิราคะนั้น มีมหาภัย ๒๕ อย่าง และกรรมกรณ์ ๓๒ อย่าง มีการทำให้เข้าถึงกำเนิดเป็นมูล ๓๒ ก็มาถึงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า นันทิราคะนั้น เสมือนเพชฌฆาตเงื้อดาบ แม้โดยการนำเข้าถึงกำเนิด ด้วยอาการอย่างนี้.
กรรมฐาน เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุรูปหนึ่ง แม้ด้วยอำนาจนันทิราคะ ด้วยประการฉะนี้. อย่างไร. จริงอยู่ นันทิราคะนี้ จัดเป็นสังขารขันธ์. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงกำหนดนันทิราคะนั้นว่าเป็นสังขารขันธ์ดังนี้แล้ว จึงทรงกำหนดขันธ์ ๕ อย่างนี้ว่า เวทนาที่สัมปยุตด้วยสังขารขันธ์นั้น จัดเป็นเวทนาขันธ์ สัญญา เป็นสัญญาขันธ์ จิต เป็นวิญญาณขันธ์ อารมณ์ของขันธ์เหล่านี้ จัดเป็นรูปขันธ์. บัดนี้ ภิกษุรูปหนึ่งกำหนดขันธ์ ๕ เหล่านั้น ด้วยอำนาจนามและรูป แล้วเจริญ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 387
วิปัสสนา ตั้งแต่การแสวงหาปัจจัยแห่งขันธ์เหล่านั้น บรรลุอรหัตโดยลำดับ เพราะฉะนั้น เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมฐานด้วยอำนาจนันทิราคะอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ความที่อายตนะภายใน ๖ เป็นเสมือนบ้านร้าง มาแล้วในพระบาลีนั่นแล. ก็ในข้อนี้มีนัยแห่งกรรมฐานดังต่อไปนี้.
เหมือนอย่างว่า โจรทั้ง ๖ นั้น เข้าไปสู่หมู่บ้านร้างอันมีกะท่อม ๖ หลัง เทียวไปเทียวมา ไม่ได้อะไรๆ ก็ไม่ต้องการบ้านฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยึดมั่นเลือกเฟ้นในอายตนะภายใน ๖ ไม่เห็นอะไรๆ ที่ควรถือเอาว่าเรา ว่าของเรา ก็ไม่มีความต้องการอายตนะภายในเหล่านั้น. ภิกษุนั้นคิดว่า เราจะเริ่มวิปัสสนา จึงกำหนดเอาจักขุปสาทเป็นต้น ด้วยอำนาจรูปกรรมฐานที่ยังมีอุปาทาน กำหนดว่า นี้เป็นรูปขันธ์ กำหนดมนายตนะว่า อรูปขันธ์. และกำหนดอายตนะทั้งหมดนั้นด้วยอำนาจนามรูปว่า มีแต่นามกับรูปเท่านั้น แล้วแสวงหาปัจจัยของนามรูปเหล่านั้น เจริญวิปัสสนาพิจารณาสังขารทั้งหลาย ดำรงอยู่ในพระอรหัตโดยลำดับ ด้วยประการฉะนั้นแล. นี้เป็นอันตรัสกรรมฐานแก่ภิกษุรูปหนึ่งจนถึงพระอรหัต.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงว่า อายตนะภายนอกเป็นเสมือนพวกโจร ผู้ปล้นฆ่าชาวบ้าน จึงตรัสดำอาทิว่า โจรา คามฆาตกา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนาปามนาเปสุ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติใช้ในอรรถตติยาวิภัตติ. ความว่า มนาปามนาเปหิ ด้วยอารมณ์อันน่าพอใจและไม่พอใจ เมื่อพวกโจรพากันปล้นฆ่าชาวบ้านในที่นั้น ดำเนินกิจ ๕ ประการ คือพวกโจรยืนล้อมบ้าน ยืนจุดไฟเผา ทำเป็นส่งเสียง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 388
ทะเลาะกัน แต่นั้น คนทั้งหลายต่างก็จะถือเอาสิ่งของสำคัญติดมือออกไปนอกบ้าน ต่อนั้น มันก็เอามือรวบทรัพย์สิ่งของ พร้อมด้วยผู้คนแม้เหล่านั้น. บางพวกก็ต้องประหารในที่นั้นเอง บางพวกก็ล้มลงในที่ประหาร ส่วนผู้คนที่ไม่บาดเจ็บนอกนั้น ก็พานำไปสู่ที่อยู่ของตน มัดด้วยเครื่องผูกคือเชือกเป็นต้น ใช้สอยเยี่ยงทาส.
พึงทราบความเร่งร้อนคือกิเลสที่เกิดขึ้น เมื่ออารมณ์มาปรากฏในทวารทั้ง ๖ เหมือนพวกโจรผู้ปล้นฆ่าชาวบ้านในที่นั้น พากันล้อมบ้าน จุดไฟเผา เวลาที่ภิกษุต้องอาบัติทุกกฏ ทุพภาสิต ปาจิตตีย์และถุลลัจจัย ก็เหมือนผู้คนถือทรัพย์สิ่งของที่สำคัญติดมือไปนอกบ้าน เหมือนโจรในขณะนั้น ที่ละกุศลกรรม ประกอบอกุศลกรรม ใช้มือรวบทรัพย์สิ่งของ เวลาที่ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส ก็เหมือนเวลาชาวบ้านที่ได้รับประหาร เวลาที่ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้วไม่เป็นสมณะ ก็เหมือนเวลาที่ชาวบ้านล้มในที่ได้รับการประหาร เวลาที่ภิกษุทั้งปวงผู้อาศัยอารมณ์นั้นนั่นแล ทั้งที่พิจารณาเห็นอยู่นั่นแหละ ทำลายจุลศีล มัชฌศีล และมหาศีล แล้วบอกคืนสิกขา ถึงความเป็นคฤหัสถ์ เหมือนเวลาที่พวกโจรมัดคนที่เหลือ (ในปัจจุบัน) นำไปสู่ที่อยู่ ใช้สอยเยี่ยงทาส. ในข้อนั้น พึงทราบทุกขขันธ์ของผู้ทำกาละ ของผู้เลี้ยงบุตรและภรรยา พึงทราบทุกขขันธ์ในภพหน้าที่เห็นได้เอง (ตาย) แล้วบังเกิดในอบาย.
อายตนะภายนอกแม้เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วแก่ภิกษุรูปหนึ่งโดยเป็นกรรมฐานเท่านั้น. จริงอยู่ ในที่นี้อุปาทายรูป ๔ มี รูปายตนะเป็นต้น โผฏฐัพพายตนะ คือธาตุ ๓ ภูตรูป ๔ เหล่านี้ คือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 389
ธาตุ ๓ เหล่านั้น กับอาโปธาตุในธัมมายตนะ จึงเป็น ๔ อากาสธาตุ คือปริเฉทรูป แห่งภูตรูปเหล่านั้น วิหารรูป ๕ มีลหุตาเป็นต้น รวมความว่า ภูตรูปและอุปาทายรูป ทั้งหมดนี้จัดเป็นรูปขันธ์. ขันธ์ ๔ มีเวทนาเป็นต้น ซึ่งมีรูปขันธ์นั้นเป็นอารมณ์ จัดเป็นอรูปขันธ์. สำหรับภิกษุผู้กำหนดนามรูปในบรรดาขันธ์เหล่านั้นว่า รูปขันธ์ จัดเป็นรูป อรูปขันธ์ ๔ จัดเป็นนาม แล้วปฏิบัติตามนัยก่อนนั่นแล เป็นอันชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรมฐานจนถึงพระอรหัต.
ความของ โอฆ ศัพท์ในคำว่า โอฆานํ นี้ มีความว่า ข้ามได้ยาก. จริงอยู่ ภิกษุผู้ตั้งความประสงค์ไว้ว่า เราจักบำเพ็ญศีลสังวรแล้วบรรลุพระอรหัต อาศัยกัลยาณมิตร พยายามชอบ พึงข้ามโอฆะเหล่านั้น. ท่านเรียกว่า โอฆะ ก็เพราะอรรถว่า ข้ามได้โดยยาก ด้วยเหตุดังกล่าวนี้นี่เอง โอฆะ แม้เหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจกรรมฐานสำหรับภิกษุรูปหนึ่ง. จริงอยู่ โอฆะ แม้ทั้ง ๔ ก็จัดเป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พึงประกอบความให้พิสดารโดยนัยที่โอฆะ เหล่านั้น ก็กล่าวไว้แล้วในนันทิราคะ.
บทว่า สกฺกายสฺเสตํ อธิวจนํ ความว่า แท้จริง สักกายตรัสว่า น่ารังเกียจและมีภัยเฉพาะหน้า ก็ด้วยมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น เหมือนฝั่งนี้ของห้วงน้ำ น่ารังเกียจและมีภัยเฉพาะหน้า ก็ด้วยภัยมีอสรพิษเป็นต้น สักกายะแม้นั้น ก็ตรัสด้วยอำนาจกรรมฐานเท่านั้นสำหรับภิกษุรูปหนึ่ง. จริงอยู่ สักกายะ ก็คือปัญจขันธ์ที่เป็นไปในภูมิ ๓ และปัญจขันธ์เหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 390
โดยย่อ ก็คือนามรูปนั่นเอง. เพราะฉะนั้นในข้อนี้พึงกล่าวกรรมฐานให้พิสดาร ตั้งต้นแต่กำหนดนามรูปเป็นอารมณ์ จนถึงพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า นิพฺพานสฺเสตํ อธิวจนํ ความว่า ความจริงพระนิพพาน ชื่อว่า เป็นแดนเกษม ไม่มีภัยเฉพาะหน้าจากมหาภูตรูป ๔ เหมือนฝั่งโน้นของห้วงน้ำ.
ในคำว่า วิริยารมฺภสฺเสตํ อธิวจนํ นี้ เพื่อแสดงถึงการทำความเพียรทางจิต จึงทรงยึดเฉพาะความพยายามที่ได้รู้ไว้ในหนหลัง แสดงว่า วิริยะ ดังนี้. บทว่า ติณฺโณ ปารคโต แปลว่า ข้ามถึงฝั่ง.
ในข้อนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ผู้ยืนอยู่ฝั่งนี้อันน่ารังเกียจ ประสงค์จะข้ามห้วงน้ำ พักอยู่ ๒ - ๓ วัน ค่อยๆ ตระเตรียมเรือแล้วขึ้นเรือ เป็นเหมือนเล่นน้ำ แม้เมื่อเขาทำอย่างนั้น ก็ยังขึ้นเรือไม่ได้ย่อมถึงความพินาศฉันใด ภิกษุผู้ใคร่จะข้ามห้วงน้ำคือกิเลสก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ควรทำความเนิ่นช้าว่า เรายังเป็นหนุ่มอยู่ จักผูกแพคือมรรคมีองค์ ๘ ต่อเวลาเราแก่เสียก่อน จริงอยู่ ภิกษุเมื่อทำอยู่อย่างนี้ แม้เวลาแก่ก็ยังไม่ถึง ก็ถึงความพินาศ แม้แก่ก็ยังไม่ถึง ก็ไม่อาจทำได้. แต่ควรระลึกถึง ภัทเทกรัตตสูตรเป็นต้น แล้วรีบเร่งผูกแพ คืออริยมรรคนี้ทันที.
ก็บุคคลจะผูกแพ ควรมีมือเท้าบริบูรณ์ จริงอยู่คนมีเท้าเป็นโรคพุพอง หรือมีเท้าหงิกง่อย ไม่สามารถจะยืนได้ บุคคลผู้มีมือเป็นแผลเป็นต้น ไม่อาจจับใบหญ้าใบไม้เป็นต้นได้ ฉันใด ภิกษุผู้จะผูกแพ คืออริยมรรคนี้ ก็ฉันนั้น พึงปรารถนาความบริบูรณ์ ด้วยเท้าคือศีล และด้วยมือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 391
คือศรัทธา. จริงอยู่ บุคคลผู้ทุศีล ผู้ไม่มีศรัทธา ไม่ตั้งมั่นในพระศาสนา ไม่เชื่อข้อปฏิบัติ ไม่อาจจะผูกแพคืออริยมรรคได้. อนึ่ง แม้บุคคลผู้มือเท้าบริบูรณ์ แต่ไม่มีเรี่ยวแรง ถูกพยาธิเบียดเบียน ก็ไม่สามารถจะผูกแพได้ ต่อสมบูรณ์ด้วยกำลังเท่านั้นจึงสามารถ ฉันใด แม้คนมีศีล มีศรัทธา ก็ฉันนั้น แต่เป็นคนเกียจคร้าน นั่งจมน่าเกลียด ก็ไม่สามารถจะผูกแพคือมรรคนี้ได้ ผู้ปรารภความเพียรเท่านั้นจึงสามารถ ฉะนั้น ผู้ประสงค์จะผูกแพคือมรรคนี้ จึงควรปรารภความเพียร. อนึ่ง บุรุษนั้นผูกแพยืนอยู่ที่ริมฝั่ง เมื่อจะข้ามห้วงน้ำซึ่งกว้างประมาณโยชน์หนึ่ง จึงผูกใจว่า เราต้องอาศัยความเพียรของลูกผู้ชาย พึงข้ามห้วงน้ำนี้ได้ฉันใด แม้พระโยคี ก็ฉันนั้น ลงจงกรมพึงผูกใจว่า วันนี้เราข้ามห้วงน้ำคือกิเลสที่มรรคทั้ง ๔ พึงฆ่าได้แล้วก็พึงดำรงอยู่ในพระอรหัต. อนึ่งบุรุษอาศัยแพ เมื่อจะข้ามห้วงน้ำ เดินทางได้คาวุตหนึ่ง กลับเหลียวดู ย่อมรู้ว่าเราข้ามส่วนหนึ่งได้แล้ว ยังเหลืออยู่อีก ๓ ส่วน เดินทางไปอีกคาวุตหนึ่งกลับเหลียวดู ก็รู้ว่าข้ามได้ ๒ ส่วนแล้ว ยังเหลืออยู่ ๒ ส่วน เดินทางไปอีกคาวุตหนึ่ง ต่อนั้นก็กลับเหลียวดู รู้ว่าเราข้ามได้ ๓ ส่วนแล้ว ยังเหลืออยู่ส่วนเดียว แม้ล่วงส่วนนั้นไปแล้ว กลับเหลียวดู ก็รู้ว่าเราข้ามได้ ๔ ส่วนแล้ว และใช้เท้าถีบแพนั้นทิ้งไป มุ่งตรงไปตามกระแสน้ำข้ามได้แล้ว ยืนอยู่ที่ฝั่ง ฉันใด ภิกษุแม้นี้ก็ฉันนั้น อาศัยแพคืออริยมรรค เมื่อจะข้ามห้วงน้ำคือกิเลส ข้ามกิเลสอันปฐมมรรคคือโสดาปัตติมรรคจะพึงฆ่า ดำรงอยู่ในผลจิต ในลำดับต่อจากมรรคจิต กลับตรวจดูด้วยปัจจเวกขณญาณ ย่อมรู้ว่าบรรดากิเลสทั้งหลายที่มรรคทั้ง ๔ พึงฆ่า ส่วนหนึ่งเราละได้แล้ว ยังเหลือ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 392
อยู่อีก ๓ ส่วน. เมื่อประชุมอินทรีย์ พละ และโพชฌงค์เหมือนอย่างนั้นนั่นแลอีก พิจารณาสังขาร ข้ามกิเลสอันมรรคจิตที่ ๒ คือสกทาคามิมรรคจะพึงฆ่า แล้วดำรงอยู่ในผลจิต ในลำดับต่อจากมรรคจิต แล้วกลับตรวจดูด้วยปัจจเวกขณญาณย่อมรู้ว่า บรรดากิเลสทั้งหลายที่มรรคจิตทั้ง ๔ พึงฆ่า เราละได้แล้ว ๒ ส่วน ยังเหลืออยู่อีก ๒ ส่วน. เมื่อประชุม อินทรีย์ พละ และโพชฌงค์เหมือนอย่างนั้นนั่นแลอีกพิจารณาสังขาร ข้ามกิเลสทั้งหลายที่มรรคจิตที่ ๓ คืออนาคามิมรรคจะพึงฆ่า แล้วดำรงอยู่ในผลจิต ในลำดับต่อจากมรรคจิต กลับตรวจดูด้วยปัจจเวกขณญาณย่อมรู้ว่า บรรดากิเลสทั้งหลายที่มรรคจิตทั้ง ๔ พึงฆ่า เราละได้แล้ว ๓ ส่วน ยังเหลืออยู่ส่วนเดียว. เมื่อประชุม อินทรีย์ พละและโพชฌงค์ เหมือนอย่างนั้นนั่นแลอีก พิจารณาสังขาร ข้ามกิเลสทั้งหลายที่มรรคจิตที่ ๔ คืออรหัตตมรรคจิตจะพึงฆ่า ดำรงอยู่ในผลจิต ในลำดับต่อจากมรรคจิต กลับตรวจดูด้วยปัจจเวกขณญาณย่อมรู้ว่า กิเลสทั้งหมดเราละได้แล้ว. ลำดับนั้น ภิกษุนั้นนั่งบนอาสนะนั่นแล หรือในที่อื่น มีที่สถานที่พักกลางวันและที่พักกลางคืนแห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วคิดว่า เราพ้นแล้วจากอนัตถะภาวะที่ไม่น่าปรารถนามีประมาณเท่านี้หนอ แล้วแนบสนิทผลสมาบัติ อันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นผู้มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งมีใจร่าเริงนั่งอยู่ เปรียบเหมือนบุรุษนั้นลอยแพไปในกระแสน้ำ ขึ้นน้ำยืนอยู่บนบก หรือเข้าไปยังพระนคร ไปปราสาทชั้นบนอันประเสริฐ คิดว่า เราพ้นแล้ว จากอนัตถะภาวะที่ไม่น่าปรารถนามีประมาณเท่านี้หนอ มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งมีใจร่าเริงยินดีนั่งอยู่ ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาข้อนี้จึงตรัสไว้ว่า
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 393
ติณฺโณ ปารคโต ถเล ติฏฺติ พฺราหฺมโณติ โข ภิกฺขเว อรหโต เอตํ อธิวจนํ. ก็ในคำว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า ข้ามถึงฝั่งยืนอยู่บนบกคือพราหมณ์ นี้เป็นชื่อของพระอรหันต์ ที่นี้ ตรัสกรรมฐานต่างๆ ไว้อย่างนี้ก่อน.
แต่พึงรวบรวมพระสูตรทั้งหมด แสดงรวมกัน อนึ่ง เมื่อแสดงรวมกัน ควรอธิบายโดยอำนาจปัญจขันธ์ เท่านั้น.
อย่างไร. ความจริงในข้อนี้ มหาภูตรูป ๔ อายตนะภายใน ๕ อายตนะภายนอก ๕ สุขุมรูป ๑๕ ในธรรมายตนะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ (๑) ดังกล่าวมานี้ชื่อว่า รูปขันธ์ มนายตนะ วิญญาณขันธ์ เป็นส่วนหนึ่งแห่งธรรมายตนะ โอฆะ ๔ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ ดังกล่าวมานี้ จัดเป็น อรูปขันธ์ ๔ ใน ๒ อย่างนั้น รูปขันธ์ คงเป็นรูป อรูปขันธ์ จัดเป็นนาม ดังกล่าวมานี้ จัดเป็นนามรูป. นันทิราคะ กาโมฆะ ภโวฆะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งธรรมายตนะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ ดังกล่าวมานี้ ธรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยแก่นามรูปนั้น ภิกษุนั้น กำหนดนามรูป พร้อมทั้งปัจจัย ดังว่ามานี้ ยกขึ้นสู่ไตรลักษณะ เจริญวิปัสสนา พิจารณาสังขาร ย่อมบรรลุพระอรหัต นี้เป็นมุข คือข้อปฏิบัตินำออกจากทุกข์สำหรับภิกษุรูปหนึ่ง.
ในธรรมเหล่านั้น มหาภูตรูป ๔ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๑ ทั้งที่เป็นภายในและภายนอก เป็นส่วนหนึ่งแห่งธรรมายตนะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ ดังว่านี้ จัดเป็นทุกขสัจ ส่วนนันทิ-
(๑) จุฬเวทัลลสูตร ว่าได้แก่อุปาทานขันธ์.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้า 394
ราคะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งธรรมายตนะ กาโมฆะ ภโวฆะ เป็นส่วนหนึ่งแห่งสักกายะ ดังกล่าวนี้จัดเป็นสมุทยสัจ นิพพานกล่าวคือฝั่งโน้น จัดเป็นนิโรธสัจ อริยมรรคจัดเป็นมรรคสัจ.
ในสัจจะ ๔ นั้น สัจจะ ๒ (ข้างต้น) เป็นวัฏฏะ สัจจะ ๒ (ข้างหลัง) เป็นวิวัฏฏะ. สัจจะ ๒ (ข้างต้น) จัดเป็นโลกิยะ สัจจะ ๒ (ข้างหลัง) จัดเป็นโลกุตตระ สัจจะ ๔ ดังกล่าวนี้ พึงแสดงจำแนกด้วยอาการ ๑๖ ๖ หมื่นนัยแล ในเวลาจบเทศนา ภิกษุ ๕๐๐ รูป ผู้เป็นวิปจิตัญญู ดำรงอยู่ในพระอรหัต. แต่พระสูตร ทรงแสดงด้วยอำนาจทุกขลักขณะ.
จบ อรรถกถาอาสีวิสสูตรที่ ๑