ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์ เมื่อถึง "กาล" ที่กรรม จะให้ผล ในขณะที่เป็น วิบากจิต ชอบไหม ที่จะได้รับผลของกรรม ทั้งการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรู้รส และ รู้การกระทบสัมผัส ทางกาย นี่แสดงให้เห็น "การสะสมความติดข้อง" ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น เมื่อมี "ทาง" ที่จะทำให้ ผลของกรรม คือ วิบากจิต เกิดขึ้นโดยมี อารมณ์ ปรากฏให้จิตรู้ได้ ปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเป็น กิริยาจิตเป็น "แดนเกิดของธรรม" .. "ธรรม"ที่แสดงให้เห็นถึง การสะสม ของแต่ละคน เมื่อ ปัญจทวาราวัชชนจิต ดับไปแล้วถ้าเป็น ทางตา จักขุวิญญาณเกิด คือ การเห็นการเห็น เป็น วิบากจิต การเห็น ชั่วขณะหนึ่งๆ นี้ยากไหม ที่จะรู้ถึง ความรวดเร็ว ของจิต ซึ่งเกิดดับ สืบต่อ ทำกิจต่างๆ กันแต่ละประเภท เป็น กุศลจิต ก็มี เป็น อกุศลจิต ก็มีเป็น วิบากจิต ก็มี เป็น กิริยาจิต ก็มีในแต่ละ หนึ่ง ขณะ นี้เป็น ความอัศจรรย์ของ "ธรรม" ที่ใคร ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็น ทางตาจักขุทวาราวัชชนจิต เป็น กิริยาจิตเกิดขึ้น แล้ว ดับไปเป็นปัจจัยให้ จักขุวิญญาณจิต เกิดขึ้น จักขุวิญญาณจิต ต้องอาศัย ตา คือ จักขุปสาท เป็นปัจจัยการเห็น จึงเกิดขึ้น และ เห็น สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางตา ขณะที่เห็น เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมขณะนั้น ... ยังไม่ใช่กุศลจิต และ อกุศลจิต. หลังจาก เห็น ซึ่งเป็น วิบากจิต เกิด และ ดับไปแล้วก็ถึง "กาล" ของสิ่งที่ได้สะสมมา จะเกิด ปรากฏขึ้นได้
เพราะฉะนั้น เมื่อ จักขุวิญญาณจิต คือการเห็น ดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้ "วิถีจิต" ซึ่ง กรรมทำให้เกิดขึ้น โดยวิถีจิตขณะนี้ ทำกิจ คือ สัมปฏิจฉันนกิจ ซึ่ง รับรู้ อารมณ์ ต่อจาก จักขุวิญญาณจิต. แต่ สัมปฏิจฉันนจิต ไม่ใช่ ขณะที่เห็นหมายความว่า ไม่ได้ทำ ทัสสนกิจแต่ทำ สัมปฏิจฉันนกิจ คือ รู้อารมณ์ ต่อจาก ขณะจิต ที่แล้ว และ เมื่อ สัมปฏิจฉันนจิต ดับไป ก็จะเป็นปัจจัยให้ วิถีจิต อีกหนึ่งขณะคือ สันตีรณจิต เกิดขึ้นทำกิจ พิจารณา อารมณ์ หนึ่งขณะ วิถีจิต แต่ละขณะๆ เกิดดับเร็วมาก คือ เกิดขึ้นทำกิจต่างกัน แล้วดับไป
เมื่อ สันตีรณจิต ดับไปแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้ ชวนปฏิปาทกมนสิการ เกิดขึ้น ทำกิจของตนหมายความ ว่า จิต ซึ่งเป็นบาท โดยเฉพาะที่จะเป็นปัจจัย ทำให้ กุศลจิต อกุศลจิต หรือ กิริยาจิตของพระอรหันต์ เกิดขึ้นได้ โดยไม่กล่าวถึง โลกุตตรจิต นี่คือ "กาล" ของกรรมที่จะให้ผลจาก สิ่งที่ได้สะสมมาแล้ว ทั้งหมดแล้วแต่ว่า ใครจะสะสมอะไรมา
เพราะฉะนั้น เลือกไม่ได้ใช่ไหม เวลาที่ โวฏฐัพพนชวนปฏิปาทกมนสิการ (จิต) ซึ่ง เป็นบาทเบื้องต้นที่เป็นปัจจัยให้ กุศล หรือ อกุศล ที่สะสมมาแล้วได้โอกาส ที่จะเกิดขึ้น เร็วแค่ไหน แค่เห็นนี้ละค่ะ.!ที่พร้อมจะเป็น อกุศล ประเภทหนึ่ง ประเภทใดหรือ เป็นกุศล ประเภทหนึ่ง ประเภทใด แต่ก็ยาก ใช่ไหม สำหรับ ขณะที่เป็น กุศลเพราะว่า ส่วนใหญ่ ก็จะเป็น อกุศล
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ ว่า เรา ไม่รู้อะไรเลย ขณะนี้ มีใครรู้บ้างว่า เห็นที่ดับไปแล้วนั้นโดย ขณะที่ "รูปารมณ์" ยังไม่ทันดับขณะนั้น จิต เป็น อกุศล ประเภทใด เป็นโมหมูลจิต โลภมูลจิต หรือ โทสมูลจิต ถ้าเป็น อารมณ์ ที่ไม่น่าพอใจเช่น เสียงดังๆ ทางหูทุกคน ก็คงจะเหมือนกันหมด คือ เป็นเสียงที่ไม่น่าพอใจเลย เพราะฉะนั้นทันทีที่ โสตวิญญาณจิต ได้ยิน สัมปฏิจฉันนจิต รับรู้ .สันตีรณจิต พิจารณา เมื่อ โวฏฐัพพนจิต เกิดขึ้น โทสมูลจิต ก็เกิดขึ้น โดยที่ใคร ก็ไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อ อารมณ์นั้น เป็น อารมณ์ ที่ไม่น่าพอใจอันนี้ พูดถึงโดยทั่วๆ ไป แต่จะเห็นว่า การที่ สังขารขันธ์ จะปรุงแต่งจิตจนกระทั่ง แม้ในขณะ หลังจากที่เห็นแล้ว ได้ยินแล้วก็ไม่มี อกุศลใดๆ เกิดขึ้นได้เลย แม้แต่ กุศล ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะหมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ นี่คือ กว่าจะถึง การเป็นพระอรหันต์ต้องเข้าใจ สภาพธรรม ตามความเป็นจริง
ถ้าไม่เข้าใจ สภาพธรรม ตามความเป็นจริงก็ เป็น "เรา" เป็นเรา ที่พยายามจะไปทำอย่างหนึ่ง อย่างใดโดยที่ไม่รู้ ความเป็นจริง ของสภาพธรรม เพราะฉะนั้น จึงไม่สามารถดับกิเลสได้ ด้วยเหตุนี้ ชวนปฏิปาทกะจึงเป็นปัจจัยให้ สิ่งที่ได้สะสมมา เกิดขึ้นได้คือ เป็นแดนเกิด ของ กุศล และ อกุศลซึ่งก่อนหน้านั้นเกิดไม่ได้เลยในขณะที่ จิต เป็น ภวังค์
ขณะที่ จิต เป็น ภวังค์ กุศล หรือ อกุศล ก็เกิดไม่ได้ขณะที่ จิต เป็น กิริยา คือ ขณะที่เป็น ปัญจทวาราวัชชนจิตกุศล หรือ อกุศล ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่า จิต ทั้งสองประเภท ไม่ประกอบด้วย "เหตุ"ขณะที่เป็น สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิตก็ยังไม่ใช่ "กาล"ที่ กุศลจิต และ อกุศลจิต ที่ได้สะสมมาแล้วจะเกิดขึ้นได้ แต่ โวฏฐพพนจิต ทางปัญจทวาร และ มโนทวาราวัชชนจิต ทางมโนทวาร ดับไปแล้ว เท่านั้น จึงจะถึง "กาล" ที่อกุศลจิต และ กุศลจิต จะเกิดขึ้นได้ขณะที่เป็น ชวนวถีจิตซึ่งเกิดทันที รวดเร็วมาก ยับยั้งไม่ได้แล้วแต่ เหตุปัจจัย
พื้นฐานอภิธรรมวันอาทิตย์ ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทป โดยคุณย่าสงวน สุจริตกุล
ขออนุโมทนา
เหมือนเลือกได้
แต่เหตุมีแล้ว
การให้ผลจึงมี
กราบขอบพระคุณและกราบขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
สาธุ
ขอเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรค่ะ ว่า โวฏฐัพพนจิต ทางปัญจทวาร และ มโน-ทวาราวัชชนจิต ทางมโนทวารนั้น เป็นชวนปฏิปาทกะเป็นปัจจัยให้กุศล และอกุศลจิต เกิดตามที่ได้สะสมมา จึงชื่อว่าเป็นแดนเกิดของกุศล และอกุศลจิตหรือค่ะ ขอความ
กรุณาช่วยอธิบายเพิ่มเติมค่ะ ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
โดยนัยของพระสูตรคือมูลสูตร มนสิการเป็นแดนเกิดของธรรมทั้งปวง ซึ่ง รวมถึงกุศลธรรมและอกุศลธรรมด้วยครับ
เรียนถามท่านอาจารย์ prachern.s ค่ะว่า มนสิการเป็นแดนเกิดของธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวง หมายถึงธรรมที่เป็นชวนจิต เท่านั้นถูกหรือไม่ค่ะ
ขอขอบพระคุณมากค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
โดยนัยของพระสูตรคือมูลสูตร มนสิการเป็นแดนเกิดของธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวง คือ ขันธ์ห้า แต่ถ้าโดยนัยของวิถีจิต ควรจะหมายถึงชวนจิตครับ
ขอขอบพระคุณค่ะ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
อ่านหลายรอบมาก กว่าจะเข้าใจ ขอบพระคุณค่ะ และอนุโมทนากับทุกท่านด้วยค่ะ
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)