ได้ยินมาว่าการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง จะต้องเป็นการละ ไม่ใช่โลภ โกรธ หลง
๑. แล้วที่การทำทาน และอานิสงส์ของทาน ถือเป็นผลพลอยได้ใช่หรือไม่
๒. แล้วทำไม ท้าวสักกะ จึงต้องลงมาทำทานกับพระกัสสะปะ (พระปัจเจกพุทธเจ้า) ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ อย่างนี้ถือว่าท้าวสักกะยังต้องการอานิสงส์ของทาน? ไม่ใช่เพื่อการละ? ทั้งๆ ที่ท่านท้าวสักกะก็รู้ธรรมมะและบรรลุถึงโสดาบัน ไม่เข้าใจเหมือนกัน?
๓. สรุปเราปฏิบัติธรรมแบบไหนจึงจะถูกต้องกันแน่ครับ แล้วต้องหวังผล อานิสงส์ของการปฏิบัติหรือเปล่า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งมาก แม้แต่ คำว่า การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง เป็นไปเพื่อการละกิเลส ประการต่างๆ แต่ควรเข้าใจความจริงครับว่า กิเลสสะสมมามาก มากมายนับไม่ถ้วน
ดังนั้น กิเลสจะต้องละไปตามลำดับ ผู้ที่จะละโลภะไม่เกิดอีกเลย คือ พระอรหันต์ นอกนั้น แม้พระอริยบุคคลขั้นอื่นก็ยังมีโลภะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่ต้องกล่าวถึงปุถุชน ที่ก็ต้องมีกิเลสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมื่อเพิ่งเริ่มฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ปัญญามีน้อยมาก ดังนั้น ขณะที่เข้าใจขั้นการฟัง ขณะนั้นเพียงขณะเดียวที่ละความไม่รู้ ขั้นการฟัง และโลภะเกิดในขณะนั้น ละ ความต้องการในขณะนั้น แต่ยังมีโลภะอยู่ เพราะโลภะ ไม่สามารถดับได้ เพียงขั้นการฟัง ครับ เพราะฉะนั้น จึงยังมีกิเลสเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของผู้ที่ศึกษาพระธรรม ปฏิบัติธรรม เพราะ ปัญญายังน้อย จึงกลับมาสู่คำถามที่ ๑ ว่า
๑. แล้วที่การทำทาน และอานิสงส์ของทาน ถือเป็นผลพลอยได้ใช่หรือไม่
- คงไม่ใช่ผลพลอยได้ แต่สัจจะความจริงเป็นอย่างนั้น เมื่อเหตุมี ผลย่อมมีเป็นธรรมดา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม
๒. แล้วทำไม ท้าวสักกะ จึงต้องลงมาทำทานกับพระกัสสะปะ (พระปัจเจกพุทธเจ้า) ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ อย่างนี้ถือว่าท้าวสักกะยังต้องการอานิสงส์ของทาน? ไม่ใช่เพื่อการละ?ทั้งๆ ที่ท่านท้าวสักกะก็รู้ธรรมมะและบรรลุถึงโสดาบัน ไม่เข้าใจเหมือนกัน?
- จากที่กล่าวแล้วข้างต้นครับว่า ผู้ที่จะดับโลภะจนหมดสิ้น คือ พระอรหันต์ นอกนั้นยังมีโลภะอยู่ แม้ท้าวสักกะ ผู้เป็นพระโสดาบัน ก็ยังมีโลภะ ความติดข้องอยู่เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ความติดข้องก็ติดได้เกือบทุกอย่าง แม้แต่ความต้องการบุญ ยังต้องการผลของบุญ ขณะนั้นก็ต้องแยกครับว่า ขณะที่เป็นอกุศลก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาของพระโสดาบัน ขณะที่อกุศลเกิด มีความต้องการบุญ ขณะนั้นไม่ได้ละ แต่ ขณะใดที่ท่านเข้าใจว่า โลภะ ความต้องการที่เกิดขึ้นเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ขณะนั้น ละ อกุศล เพราะรู้จักอกุศลตามความเป็นจริง ครับ
ดังนั้น จึงไม่ใช่จะปฏิบัติธรรม คือเกิดสติและปัญญาตลอดเวลา สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ยังมีกิเลสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ดังนั้น ก็อบรมปัญญาในบางขณะ ขณะนั้นก็เป็นหนทางละกิเลส และ ขณะที่อกุศลเกิด ก็เป็นธรรมดา ไม่ใช่ การละกิเลสในขณะนั้น ครับ
๓. สรุปเราปฏิบัติธรรมแบบไหนจึงจะถูกต้องกันแน่ครับ แล้วต้องหวังผล อานิสงส์ของ การ
ปฏิบัติหรือเปล่า
- ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา กิเลสที่สะสมมามาก ก็มีเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นธรรมดา แม้ โลภะ ความต้องการ ติดข้องก็เกิดเป็นปกติในชีวิตประจำวัน แม้แต่ความหวังอานิสงส์ผลบุญก็เกิดเป็นปกติธรรมดา
เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูก คือ ไม่ใช่การโลภะทันที แต่กิเลสจะต้องละเป็นระดับ คือ เริ่มจากการละความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ว่าเป็นเราก่อน นั่นคือ ละความเห็นผิดก่อน ครับ
ดังนั้น หนทางที่ถูกคือการเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แม้ ความหวังอานิสงส์ที่เกิดขึ้น ห้ามไม่ได้ เกิดแล้ว หนทาง คือ เข้าใจความหวังผลบุญก็เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราที่หวังผลบุญ นี่คือหนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง ครับ ซึ่งจะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไปเรื่อยๆ ในเรื่องสภาพธรรมก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรม โลภะห้ามเกิดไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจโลภะ และสภาพธรรมอื่นๆ ได้ ตามความเป็นจริง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- การให้ทาน เป็นการสละวัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น การให้ทาน ที่เป็นวัตถุทานจะสำเร็จได้ นั้น ก็ต้องมีวัตถุสิ่งของที่จะให้ พร้อมทั้งมีจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้น มีเจตนาที่จะสละวัตถุสิ่งของดังกล่าวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ขณะนั้นเป็นการสะสมเหตุที่ดีเป็นกุศล เมื่อถึงคราวที่กุศลให้ผล ก็ย่อมให้ผลเป็นผลที่ดี น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ทานที่ให้แล้วมีผลจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่เพื่อให้หวังผลหรือหวังอานิสงส์ของทาน ทั้งหมดนั้น จะต้องเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกุศลประเภทใดก็ตาม และเมื่อเหตุสมควรแก่ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามสมควรแก่เหตุ
- พระโสดาบัน ไม่ใช่พระอรหันต์ พระโสดาบันยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ แต่กิเลสใดก็ตามที่ท่านละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้น พระโสดาบัน ยังมีโลภะ จึงมีความติดข้องต้องการเป็นธรรมดา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นไป จนกว่าจะสามารถดับโลภะได้อย่างหมดสิ้น ถึงความเป็นพระอรหันต์ สำหรับพระโสดาบันแล้ว ไม่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดขึ้นปรากฏ ท่านไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนเลย
- สำคัญอยู่ที่ความเข้าใจถูกเห็นถูก ถึงแม้ว่าจะมีคำว่า “ปฏิบัติธรรม” ปรากฏในคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการปฏิบัติผิด ไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจขึ้นของปัญญา ในขณะที่ปฏิบัติผิดนั้น ก็เพิ่มพูนโลภะความติดข้องต้องการ และความเห็นผิด ให้เพิ่มขึ้น
แท้ที่จริงแล้ว การปฏิบัติธรรม เป็นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ คือ รู้นามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเริ่มต้นด้วยการศึกษาให้เข้าใจในสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมโดยประเภทต่างๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้สติและปัญญา เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ตามความเป็นจริง โดยที่ไม่เลือกสถานที่ กาลเวลา และไม่มีการเจาะจงที่จะรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือ การฟังพระธรรม กาลสมัยนี้ ยังเป็นยุคที่พระธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตร เผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมากได้ จะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้น ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
โลภะห้ามเกิดไม่ได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจโลภะ และสภาพธรรมอื่นๆ ได้ ตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนาค่ะ