[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 87
๑. อิตถิวิมานวัตถุ
ปีฐวรรคที่ ๑
๑๐. ติลทักขิณวิมาน
ว่าด้วยติลทักขิณวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 87
๑๐. ติลทักขิณวิมาน
ว่าด้วยติลทักขิณวิมาน
[๑๐] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทวดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ เหมือนกับดาวประกายพรึกฉะนั้น เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 88
บุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะบุญอะไร ท่านมีรัศมีสุกรสรุ่งโรจน์ล้ำ เทวดาทั้งหลาย เพราะบุญอะไร ทุกทิศจึงสว่างไสวจากทุกส่วนร่างกายของท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาของถามท่าน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ท่านได้ทำบุญอะไร จึงมีอานุภาพรุ่งเรืองถึงเช่นนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไป ทุกทิศ.
เทวดานั้นถูกพระโมคคัลลานะซักถามแล้วดีใจ ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมทั้งมีผลอย่างนี้ว่า
ในชาติก่อน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสดุจธุลี ผ่องใสไม่มัวหมอง ก็เลื่อมใสทั้งที่มิได้ตั้งใจจะถวาย ก็ได้ถวายเมล็ดงาเป็นทานอย่างกะทันหันแด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระทักขิไณยบุคคล ด้วยมือตนเอง เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 89
เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบติลทักขิณวิมาน
อรรถกถาติลทักขิณวิมาน
ติลทักขิณวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. ติลทักขิณวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ หญิงผู้หนึ่งมีครรภ์ อยากจะดื่มน้ำมันงา จึงล้างเมล็ดงาแล้วให้ตากแดดไว้ แต่หญิงผู้นั้นหมดอายุแล้ว ธรรมดาจะต้องจุติในวันนั้น เพราะกรรมของนางที่จะให้ไปนรกคอยโอกาสอยู่แล้ว. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นนางด้วยทิพยจักษุ ทรงพระดำริว่า วันนี้ หญิงผู้นี้จักตายไปบังเกิดในนรก ถ้ากระไร เราพึงทำนางให้ไปสวรรค์ด้วยการรับอาหารคืองา. พระองค์ก็เสด็จจากกรุงสาวัตถี ถึงกรุงราชคฤห์ ขณะนั้นนั่นเอง เวลาเช้าทรงนุ่งแล้ว ก็ทรงถือบาตรและจีวรเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงประตูเรือนของนางโดยลำดับ. หญิงผู้นั้นเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดปีติโสมนัส รีบลุกขึ้นประคองอัญชลีประนม ไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย ล้างมือเท้าแล้ว ตะล่อมงาเป็นกอง กอบด้วยมือทั้ง ๒ เกลี่ยงาเต็มอัญชลีลงในบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคม. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงอนุเคราะห์นางจึงตรัสว่า จงเป็นสุขเถิด แล้วเสด็จกลับไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 90
เวลาใกล้รุ่งของคืนนั้น นางก็ตายไปบังเกิดในวิมานทองสิบสองโยชน์ ภพดาวดึงส์เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น. ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระเที่ยวเทวจาริกเข้าไปหาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง ถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ ประหนึ่งดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถาม แล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้. จึงกล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน ในมนุษยโลก ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสดุจธุลีผ่องใสไม่มัวหมอง เลื่อมใสแล้ว ไม่ต้องการงาอีกละ จึงรวบรวมทักษิณาไทยธรรมคืองา ถวายเป็นทานแด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ด้วยมือตนเอง.
เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนั้น เพราะบุญนั้นผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน และโภคะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 91
ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
อาสัชช ศัพท์นี้ว่า อาสชฺช ในคาถากล่าวตอบนั้นมาในอรรถว่า กระทบ, เสียดสี ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อาสชฺช นํ ตถาคตํ เสียดสี พระตถาคตนั้น. มาในอรรถว่าประชุม, รวบรวม ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อาสชฺช ทานํ เทติ รวบรวมถวายทาน. แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่ามาในอรรถว่ารวบรวมเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า รวบรวมแล้ว มาถึงแล้วโดยความพร้อมเพรียง. ด้วยเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า อกามา. จริงอยู่ เทวดาองค์นั้นไม่ได้คิดจะถวายทานมาก่อน ก่อนที่จะจัดหาไทยธรรมหมายเอาติลทาน ไทยธรรมคืองาที่เป็นไปอย่างฉุกละหุก ในพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จมาถึงอย่างกะทันหัน จึงกล่าวว่า อาสชฺช ทานํ อทาสึ อกามา ติลทกฺขิณํ ไม่ต้องการงาอีกละ จึงรวบรวมทักขิณา [คือไทยธรรม] ถวายเป็นทาน. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาติลทักขิณวิมาน