สนทนาปัญหาธรรม วันอังคารที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๗
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ 136
ธรรมใดย่อมจัด (ทำทุกข์ให้เกิดขึ้น) เหตุนี้ ธรรมนั้นจึงชื่อว่า ธาตุ (แปลว่าธรรมผู้จัดขึ้น
๑) หรือว่า ธรรมทั้งหลายใด อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือถือไว้) เหตุนี้ ธรรมทั้งหลายนั้น จึงชื่อว่า ธาตุ (แปลว่า ธรรมที่สัตว์ทรงไว้) หรือว่า วิธาน การตั้งไว้ (คือกฎเกณฑ์) ชื่อว่าธาตุ หรือว่า ทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือถือไว้) ด้วยธรรมชาตินั้น (เป็นเหตุ) เหตุนี้ ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าธาตุ (แปลว่า ธรรมชาติเป็นเหตุทรง (ทุกข์) ไว้ แห่งสัตว์ทั้งหลาย) หรือว่า ทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ (คือตั้งไว้) ในธรรมชาตินั่น เหตุนี้ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าธาตุ แปลว่า ธรรมชาติเป็นที่อันสัตว์ทรง (ทุกข์) ไว้ จริงอยู่ ธาตุทั้งหลายที่เป็นโลกิยะ เป็นสิ่งที่ธรรมดากำหนดไว้โดยความเป็นตัวมูลเหตุ ย่อมจัดแจงสังสารทุกข์ขึ้นเป็นอเนกประการดุจธาตุ (แร่) ทั้งหลาย มีธาตุทองธาตุเงินเป็นอาทิ จัดสรรโลหะ มีทองและเงินเป็นต้นขึ้น ฉะนั้น
อนึ่ง โลกิยธาตุทั้งหลายนั้นอันสัตว์ทั้งหลายทรงไว้ หมายความว่า (ยึด) ถือไว้ ดุจภาระ (ของหนัก) อันคนทั้งหลายผู้ขนภาระ ถือ (แบกหาม) ไป ฉะนั้น อนึ่ง โลกิยธาตุนั้น เป็นแต่ทุกขวิธาน (กฎเกณฑ์แห่งทุกข์) เท่านั้น เพราะไม่เป็นไปในอำนาจ (ของใคร) อนึ่ง สังสารทุกข์ อันสัตว์ทั้งหลายตาม (ยึด) ถือไว้ ก็ด้วยธาตุทั้งหลายนั่นเป็นเหตุ อนึ่ง สังสารทุกข์นั้นที่ถูกจัดไว้แล้วอย่างนั้น สัตว์ทั้งหลายก็ทรงไว้หมายความว่า ตั้งไว้ในธาตุทั้งหลายนั่นแล ในธรรมทั้งหลายมีจักขุเป็นต้น ธรรมแต่ละข้อทรงเรียกว่าธาตุก็ด้วยอำนาจแห่งความหมาย มีความหมายว่า 'วิทหติ จัดขึ้น วิธียเต อันสัตว์ทรงไว้' เป็นต้น ตามความที่เป็นได้ ดังกล่าวมาฉะนี้
อีกนัยหนึ่ง ธาตุนี่หาเหมือนอัตตาของพวกเดียรถีย์ซึ่งมิได้มีอยู่โดยสภาวะไม่ แต่ธาตุนี่ ได้ชื่อว่าธาตุ เพราะทรงไว้ซึ่งสภาวะของตน อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ธาตุ นั่นเป็นคำเรียกสภาวะที่เป็นนิรชีพ (ไม่มีชีพ) เท่านั้นเอง จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงทำธาตุเทศนาเพื่อถอนชีวสัญญา (ความสำคัญว่าชีพ) ไว้ในพระบาลีว่า "ดูกรภิกษุ บุรุษนี้มีธาตุ ๖" ดังนี้เป็นอาทิแล ฯลฯ
ท่านอาจารย์: ทุก คำ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มเข้าใจถูกต้อง ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีทุกขณะให้เข้าใจความจริงว่า ความจริง เคยรู้เคยเข้าใจอย่างนี้ไหม หรือไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อน
เพราะฉะนั้น วิญญาณ จริยาแรกใช่ไหม คือวิญญาณจริยา ถูกต้องไหม ขณะนี้ทุกคนรู้ มีจิต มีใจ แน่นอน ตลอดเวลา ธาตุรู้ ไม่ใช่เรา แต่ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ทุกขณะ ไม่มีขณะไหนเลยที่ธาตุรู้ไม่รู้ แต่วันนี้ลืมตามาเห็น รู้ไหมว่าเป็นธาตุรู้ เป็นวิญญาณจริยา ที่ต้องเกิดขึ้นเป็นไป กว่าจะรู้ว่า ไม่ใช่เราใช่ไหม?
ก็มีแต่ อัญญาณ ไม่รู้เลย ขณะนี้ก็ไม่รู้ กำลังเห็น เห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็นเฉพาะสิ่งที่ปรากฏที่กระทบตาได้ ที่กำลังกระทบตาอยู่เท่านั้น เริ่มรู้ไหมว่า นี่คืออัญญาณ ไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้น ที่ว่า ไม่รู้ก็ตาม หรือว่าสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเป็นไปก็ตาม มีอยู่ทุกขณะ แต่ว่าไม่มีความรู้ในความจริงของแต่ละหนึ่งขณะเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงให้รู้ว่า ไม่เคยขาดธาตุรู้ที่กำลังเห็นเป็นธาตุรู้ที่เห็น ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย มีตลอดเวลาวันหนึ่งๆ มีขณะไหนบ้างที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีจริงแต่ไม่เคยรู้ ไม่เคยคิด เพราะอะไร แม้แต่สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ คือเห็น ก็ยังไม่รู้เลย ยังไม่คิดถึงเลยด้วยซ้ำใช่ไหม? เพราะฉะนั้น จึงเป็นอัญญาณ การไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเป็นธาตุรู้ซึ่งปรากฏในขณะนี้เดี๋ยวนี้ หรือขณะไหนก็ไม่พ้นจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง ก่อนที่จะคิดนึกใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่เคยขาด เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้ ไม่รู้ อะไร? ไม่รู้เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น ทุกขณะที่เห็นไม่รู้ ทุกขณะที่ได้ยินไม่รู้ ทุกขณะที่ได้กลิ่นไม่รู้ ทุกขณะที่ลิ้มรสไม่รู้ ทุกขณะที่กระทบสัมผัสไม่รู้ ความไม่รู้มีอยู่ตลอดเวลาทั้งวัน ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เริ่มเข้าใจไหม?.
ขอเชิญอ่านได้ที่ ...
ความลึกซึ้งของธาตุรู้ : เกิดมามีธาตุรู้ แล้วจะรู้ไหม ถ้าไม่ฟัง
ความไม่รู้ทำลายประโยชน์
ขอเชิญฟังได้ที่ ...
นามกายเป็นธาตุรู้
เมื่อเป็นธาตุรู้น่าอัศจรรย์ไหม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ