เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
ท่านอาจารย์บรรยายในพระอภิธรรมพื้นฐานตอนที่ 337 ว่า "ปัญญาจริงๆ ที่รู้จักธรรมจริงๆ ที่เข้าใจธรรมจริงๆ คือขณะที่ธรรมนั้น กำลังปรากฏ กำลังเผชิญหน้าแล้วก็เข้าใจในความไม่มีตัวตน" ขอความอนุเคราะห์ อาจารย์กรุณาแปลพจนา (ถ้อยคำ) นี้ด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่รู้ด้วยปัญญา พร้อมสติที่เกิดขึ้น ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน จุดประสงค์ เพื่อรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่ง โดยทั่วไป ก็ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล เป็นสิ่งต่างๆ ที่เป้นสมมติบัญญํติ แต่ ยึดถือว่ามีเราจริงๆ แท้ที่จริง มีแต่ ธรรมที่กำลังปรากฎ แต่คิดนึกต่อเป็นเรื่องราว เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง คือ ธรรม ที่กำลังปรากฎที่เป็นแต่เพียงนามธรรม และ รูปธรรม ดังนั้น การรู้ความจริง ก็ต้องรู้ในสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม เช่น เห็น ได้ยิน สี เสียง กลิ่น รส และ จิต เป็นต้น เหล่านี้เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมี กำลังปรากฎ แต่การจะรู้ความจริง ก็ด้วยกาเรจริญสติปัฏฐานสติและปัญญาเกิด ระลึกรู้ในขณะที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฎซึ่ง จากข้อความที่ผู้ถาม ที่ว่าปัญญาจริงๆ ที่รู้จักธรรมจริงๆ ที่เข้าใจธรรมจริงๆ คือขณะที่ธรรมนั้น กำลังปรากฏกำลังเผชิญหน้าแล้วก็เข้าใจในความไม่มีตัวตน
การจะรู้ความจริง ตามที่กล่าวแล้ว ก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม รูปธรรมเพื่อที่จะไถ่ถอน ความยึดถือที่ผิด ที่สำคัญว่ามีเรา มีสัตว์บุคคล หรือ สำคัญว่าเรื่องราว ที่เป็นบัญญัตินั้นมีจริง ซึ่ง การจะรู้ความจริง ก็ต้องในขณะที่ธรรมนั้นกำลังเกิด เพราะเหตุว่า หากสภาพธรรมนั้นดับไปแล้ว ก็คิดนึก เรื่องราวต่อ การคิดนึก รู้ในสิ่งที่เป็นเรื่องราว ก็เท่ากับว่า ไม่ได้รู้ความจริง ที่เป็นตัวธรรมที่กำลังปรากฎเพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ในขณะที่เป็นปัจจุบันขณะ คือ ในขณะที่สภาพ ธรรมนั้นกำลังปรากฎ ที่มีเพียงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงให้รู้ เพราะ เมื่อรู้ในขณะที่เป็นปัจจุบันขณะย่อมรู้ที่ตัวธรรม ทีก่ำลังปรากฎ และ ย่อม รู้ถึงความไม่มีตัวตน เพราะ รู้ตัวธรรมจริงๆ ในขณะนี้ ครับ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้ กำลังเห็น ปัญญาและสติ ก็สามารถเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดั่งข้อความในพระสูตร ที่แสดง ถึง การรู้ สภาพธรรมที่เป็นปัจจุบันขณะ จึงจะทำให้รู้ความจริงได้ ดังนี้ ครับ
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และ สิ่งที่ยังไม่มาถึงก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้บุคคลนั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด….
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ และมีจริงในทุกขณะของชีวิต มีจริงๆ ในขณะนี้มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก ความดี ความชั่ว เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคังบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน, ปัญญา ก็รู้ถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ตามความเป็นจริง การรู้ธรรม ก็ต้องในขณะนี้จริงๆ ซึ่งจะต้องมีความจริงใจ อดทนและมีความเพียรที่จะฟังที่จะศึกษาพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย เพราะเหตุว่าพระธรรม ไม่ง่าย และที่สำคัญ ตลอดพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงถึงความเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมด ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็ต้องเป็นไปตามลำดับจริงๆ ด้วยการตั้งต้นที่ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
รู้ปัจจุบัน คือ รู้ตอนนี้ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ที่ธรรมกำลังปรากฎ ที่ปัญญารู้ ค่ะ
เรียน อาจารย์ทั้งสองท่าน
ทุกประโยคที่ท่านอาจารย์บรรยายเป็นถ้อยคำที่มีค่ามากเหลือเกิน ขอน้อมใส่เกล้าด้วยความเคารพยิ่ง
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
กราบอนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ