[เล่มที่ 72] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 529
เถรีอปทาน
เอกกุโปสถวรรคที่ ๒
เอกาสนทายิกาเถรีอปทานที่ ๔ (๑๔)
ผลของการถวายอาสนะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 72]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 529
เอกาสนทายิกาเถรีอปทานที่ ๔ (๑๔)
ผลของการถวายอาสนะ
[๑๕๔] ครั้งนั้น ดิฉันเป็นหญิงช่าง กรองดอกไม้ชาวพระนครหังสวดี มารดาบิดา ของดิฉันท่านไปทำงาน ดิฉันได้พบพระสมณะ กำลังเดินไปตามถนนในเวลาเที่ยงวัน ดิฉันได้ ปูลาดอาสนะไว้ ครั้นปูลาดอาสนะด้วยผ้าโกเชาว์ อันวิจิตรเป็นต้นแล้ว เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสโสมนัส กล่าวดังนี้ว่า ภูมิภาคแรงร้อนแดดกล้าเวลาเที่ยง แดดจัดลมไม่รำเพยพัด และเวลานี้ก็จวนจะเลย เวลาแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 530
ข้าแต่พระมหามุนี อาสนะนี้ดิฉันปูลาด ไว้ถวายท่าน ขอท่านได้โปรดอนุเคราะห์นั่งบน อาสนะของดิฉันเถิด
พระสมณะผู้ฝึกตนดีแล้วมีใจบริสุทธิ์ ได้นั่งลงบนอาสนะนั้น ดิฉันรับบาตรของท่าน แล้ว ได้ถวายบิณฑบาตตามที่ตนหุงต้มไว้
เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และเพราะ การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันสละร่างมนุษย์แล้วได้ไป สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
วิมานที่บุญกรรมสร้างให้ดิฉันอย่างสวยงามในดาวดึงส์นั้น สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์ ได้ถูกสร้างขึ้นแล้วเพราะอาสนะ
บัลลังก์ของดิฉันมีหลายอย่างต่างๆ ชนิด สำเร็จด้วยทองก็มี ด้วยแก้วมณีก็มี ด้วยแก้ว ผลึกก็มี ด้วยแก้วปทุมราชก็มี บัลลังก์ของดิฉัน ปูลาดด้วยนวมก็มี ด้วยผ้าลาดอันวิจิตรด้วยรูป ราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้นก็มี ด้วยผ้าลาดทอ ด้วยไหมประดับแก้วอันวิจิตรก็มี ด้วยเครื่องลาด มีขนยาวชายด้านเดียวก็มี
เมื่อใด ดิฉันต้องการจะเดินทาง เมื่อนั้น ดิฉันย่อมเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยการรื่นเริงสนุกสนาน ไปสู่ที่ที่ดิฉันปรารถนา พร้อมกับบัลลังก์ อันประเสริฐ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 531
ดิฉันได้เป็นพระอัครมเหสีของท้าวสักรินทเทวราช ๘๐ พระองค์ ได้เป็นพระอัครมเหสี ของพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๐ พระองค์
เมื่อดิฉันยังท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ย่อมได้โภคทรัพย์มากมาย ดิฉันไม่บกพร่อง โภคทรัพย์เลย นี้เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
ดิฉันท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพ คือ ใน สวรรค์และมนุษย์ ภพอื่นๆ ดิฉันไม่รู้จัก นี้ เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
ดิฉันเกิดแต่ในสองสกุล คือ สกุลกษัตริย์ และสกุลพราหมณ์ ดิฉันเกิดในสกุลสูงทุกๆ ภพ นี้เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
ความโทมนัสที่ทำจิตของดิฉันให้เร่าร้อน ดิฉันไม่รู้จัก ความเป็นผู้มีผิวพรรณแปลกดิฉันก็ ไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
พี่เลี้ยงนางนมต่างก็บำรุงดิฉัน หญิงค่อม และเด็กรับใช้มีมาก ดิฉันไปสู่อวัยวะหนึ่งจากอีก อวัยวะหนึ่ง นี้เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
พวกพี่เลี้ยงนางนมอื่นให้ดิฉันอาบน้ำ พวกอื่นให้รับประทานข้าว พวกอื่นประดับประดา ดิฉัน พวกอื่นเห่กล่อมดิฉันให้รินเริงทุกเมื่อ พวกอื่นเอาของหอมไล้ทาดิฉัน นี้เป็นผลแห่ง อาสนะอันเดียว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้า 532
บัลลังก์ดังจะรู้ความดำริของดิฉันผู้อยู่ที่ มณฑป ที่โคนไม้ หรือในเรือนว่างเปล่า ย่อม ปรากฏขึ้น นี้เป็นอัตภาพสุดท้ายของดิฉัน ภพ หลังกำลังเป็นไป
แม้วันนี้ดิฉันก็ได้สละราชสมบัติออกบวช เป็นบรรพชิต ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ ดิฉันได้ให้ ทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น ดิฉันไม่รู้จัก ทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งอาสนะอันเดียว
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอน ของพระพุทธเจ้า ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว
ทราบว่า ท่านพระเอกาสนทายิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วย ประการฉะนี้แล.
จบเอกาสนทายิกาเถรีอปทาน