สภิยสูตรที่ ๖ ว่าด้วยทรงตอบปัญหาสภิยปริพาชก
โดย บ้านธัมมะ  14 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40197

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 471

สุตตนิบาต

มหาวรรคที่ ๓

สภิยสูตรที่ ๖

ว่าด้วยทรงตอบปัญหาสภิยปริพาชก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 471

สภิยสูตรที่ ๖

ว่าด้วยทรงตอบปัญหาสภิยปริพาชก

[๓๖๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล เทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่าของสภิยปริพาชก ได้แสดงปัญหาขึ้นว่า ดูก่อนสภิยะ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใด ท่านถามปัญหาเหล่านี้แล้วย่อมพยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้นเถิด. ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกเรียนปัญหาในสำนักของเทวดานั้นแล เข้าไปหาสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีซึ่งเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือปูรณกัสสป มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครนถ์นาฏบุตร แล้วจึงถามปัญหาเหล่านั้น สมณพราหมณ์ เหล่านั้นอันสภิยปริพาชกถามปัญหาแล้ว แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถามสภิยปริพาชกอีก.

ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ นิครนถ์นาฏบุตร ถูกเราถามปัญหาแล้ว แก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ ย่อมแสดงความโกรธ ความขัดเคือง


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 472

และความไม่พอใจให้ปรากฏ ทั้งยังกลับถามเราในปัญหาเหล่านี้อีก ถ้ากระไร เราพึงละเพศกลับมาบริโภคกามอีกเถิด ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้แล เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม แล้วทูลถามปัญหาเหล่านี้เถิด.

ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชกมีความดำริว่า ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้เก่าแก่ เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ เป็นผู้เฒ่า รู้ราตรีนาน บวชมานาน เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ปูรณกัสสป ฯลฯ นิครนถ์นาฎบุตร ท่านสมณพราหมณ์แม้เหล่านั้น ถูกเราถามปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ เมื่อแก้ไม่ได้ย่อมแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฎ ทั้งยังกลับถามเราในปัญหาเหล่านี้อีก ส่วนพระสมณโคดม ถูกเราถามเแล้วจักพยากรณ์ในปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะพระสมณโคดมยังเป็นหนุ่มโดยพระชาติ ทั้งยังเป็นผู้ใหม่โดยบรรพชา.

ลำดับนั้น สภิยปริพาชกมีความดำริว่า พระสมณโคดมเราไม่ควรดูหมิ่นดูแคลนว่า ยังเป็นหนุ่ม ถึงหากว่าพระสมณโคดมจะยังเป็นหนุ่ม แต่ท่านก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดม แล้วทูลถามปัญหาเหล่านี้เถิด ลำดับนั้น สภิยปริพาชกได้หลีกจาริกไปทางพระนครราชคฤห์ เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังพระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ครั้นแล้วปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 473

[๓๖๕] ข้าพระองค์ผู้มีความสงสัย มีความเคลือบแคลง มาหวังจะทูลถามปัญหา พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหาแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ตามลำดับ ปัญหาให้สมควรแก่ธรรมเถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนสภิยะ ท่านมาแต่ไกล หวังจะถามปัญหา เราอันท่านถามปัญหาแล้ว จะกระทำที่สุดแห่งปัญหาเหล่านั้น จะพยากรณ์แก่ท่านตามลำดับปัญหา ให้สมควรแก่ธรรม ดูก่อนสภิยะ ท่านปรารถนาปัญหาข้อใดข้อหนึ่งในใจ ก็เชิญถามเราเถิด เราจะกระทำที่สุดเฉพาะปัญหานั้นๆ แก่ท่าน.

[๓๖๖] ลำดับนั้น สภิยปริพาชกดำริว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาเลยหนอ เราไม่ได้แม้เพียงการให้โอกาสในสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเลย พระสมณโคดมได้ทรงให้โอกาสนี้แก่เราแล้ว สภิยปริพาชกมีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟูเกิดปีติโสมนัส ได้กราบทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นภิกษุ กล่าวบุคคลว่าผู้สงบเสงี่ยมด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่าผู้ฝึกตนแล้ว


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 474

อย่างไร และอย่างไรบัณฑิตจึงกล่าวบุคคลว่าผู้รู้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์ แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนสภิยะ

ผู้ใดถึงความดับกิเลสด้วยมรรคที่ตนอบรมแล้ว ข้ามความสงสัยเสียได้ ละความไม่เป็นและความเป็นได้เด็ดขาด อยู่จบพรหมจรรย์ มีภพใหม่สิ้นแล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า เป็นภิกษุ.

ผู้ใดวางเฉยในอารมณ์มีรูปเป็นต้นทั้งหมด มีสติ ไม่เบียดเบียนสัตว์ในโลกทั้งปวง ข้ามโอฆะได้แล้ว เป็นผู้สงบ ไม่ขุ่นมัว ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้สงบเสงี่ยม.

ผู้ใดอบรมอินทรีย์แล้ว แทงตลอดโลกนี้และโลกอื่น ทั้งภายในทั้งภายนอกในโลกทั้งปวง รอเวลาสิ้นชีวิตอยู่ อบรมตนแล้ว ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้ฝึกตนแล้ว.

ผู้พิจารณาทั้งสองอย่าง คือ จุติและอุบัติ ตลอดกัปทั้งสิ้นแล้ว ปราศจากธุลี


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 475

ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ผู้หมดจด ถึงความสิ้นไปแห่งชาติ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้รู้.

[๓๖๗] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีใจชื่นชม เบิกบาน เฟื่องฟู เกิดปีติโสมนัส ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นพราหมณ์ กล่าวบุคคลว่า เป็นสมณะด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลผู้ล้างบาปอย่างไร และอย่างไรบัณฑิตจึงกล่าวบุคคลว่า เป็นนาค (ผู้ประเสริฐ) ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า

ผู้ใดลอยบาปทั้งหมดแล้ว เป็นผู้ปราศจากมลทิน มีจิตตั้งมั่นดี ดำรงตนมั่น ก้าวล่วงสงสารได้แล้ว เป็นผู้สำเร็จกิจ (เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็นต้น) ผู้นั้นอันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่า เป็นพราหมณ์.

ผู้ใดมีกิเลสสงบแล้ว ละบุญและบาปได้แล้ว ปราศจากกิเลสธุลี รู้โลกนี้และ


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 476

โลกหน้าแล้ว ล่วงชาติและมรณะได้ ผู้คงที่เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นสมณะ.

ผู้ใดล้างบาปได้หมดในโลกทั้งปวง คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว ย่อมไม่มาสู่กัป ในเทวดาและมนุษย์ผู้สมควรผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้ล้างบาป.

ผู้ใดไม่กระทำบาปอะไรๆ ในโลก สลัดออกซึ่งธรรมเป็นเครื่องประกอบและเครื่องผูกได้หมด ไม่ข้องอยู่ในธรรมเป็นเครื่องข้องมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง หลุดพ้น เด็ดขาด ผู้คงที่เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นนาค.

[๓๖๘] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวใครว่าผู้ชนะเขต กล่าวบุคคลว่า เป็นผู้ฉลาด ด้วยอาการอย่างไร อย่างไรจึงกล่าวบุคคลว่า เป็นบัณฑิต และกล่าวบุคคลว่า เป็นมุนี ด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ่า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้วขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนสภิยะ


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 477

ผู้ใดพิจารณา (อายตนะหรือกรรม) เขตทั้งสิ้น คือ เขตที่เป็นของทิพย์ เขตของมนุษย์และเขตของพรหมแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งเขตทั้งหมด ผู้คงที่เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ชนะเขต.

ผู้ใดพิจารณากะเปาะฟอง (กรรม) ทั้งสิ้น คือ กะเปาะฟองที่เป็นของทิพย์ กะเปาะฟองของมนุษย์ และกะเปาะฟองของพรหมแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูก อันเป็นรากเหง้าแห่งกะเปาะฟองทั้งหมด ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ฉลาด.

ผู้ใดพิจารณาอายตยะทั้งสอง คือ อายตนะภายในและภายนอกแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอันบริสุทธิ์ ก้าวล่วงธรรมดำและธรรมขาวได้แล้ว ผู้คงที่เห็นปานนั้น ผู้นั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นบัณฑิต.

ผู้ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษในโลกทั้งปวง คือ ในภายในและ


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 478

ภายนอก แล้วดำรงอยู่ ผู้นั้นอันเทวดาและมนุษย์บูชา ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและข่าย คือตัณหาและทิฏฐิแล้ว ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นมุนี.

[๓๖๙] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไร ว่าผู้ถึงเวท กล่าวบุคคลว่า ผู้รู้ตาม ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่า ผู้มีความเพียร ด้วยอาการอย่างไร และบุคคลผู้อันบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ชื่อว่า อาชาไนย ด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนสภิยะ

ผู้ใดพิจารณาเวททั้งสิ้น อันเป็นของมีอยู่แห่งสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ปราศจากความกำหนัดในเวทนาทั้งปวง ผู้นั้นล่วงเวททั้งหมดแล้ว บัณฑิตกล่าวว่า ผู้ถึงเวท.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 479

ผู้ใดใคร่ครวญธรรมอันเป็นเครื่องทำให้เนิ่นช้า และนามรูปอันเป็นรากเหง้าแห่งโรค ทั้งภายในทั้งภายนอกแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งโรคทั้งปวง ผู้คงที่เห็นปานนั้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้รู้ตาม.

ผู้ใดงดเว้นจากบาปทั้งหมด ล่วงความทุกข์ในนรกได้แล้ว ดำรงอยู่ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า ผู้มีความเพียร ผู้นั้นมีความแกล้วกล้า มีความเพียร ผู้คงที่เห็นปานนั้น บัณฑิตกล่าวว่า เป็นนักปราชญ์.

ผู้ใดตัดเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งภายในทั้งภายนอกได้แล้ว หลุดพ้นแล้วจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งปวง ผู้คงที่ เห็นปานนั้น ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ชื่อว่า อาชาไนย.

[๓๗๐] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ฯลฯ ได้ทูลถามปัญหาข้อต่อไปกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยสุตะ กล่าวบุคคลว่า เป็นอริยะ


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 480

ด้วยอาการอย่างไร กล่าวบุคคลว่า ผู้มีจรณะด้วยอาการอย่างไร และบุคคลผู้อันบัณฑิตกล่าวว่าเป็นผู้ชื่อว่าปริพาชก ด้วยอาการอย่างไร ข้าแต่พระผู้พระภาคเจ้า พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า ดูก่อนสภิยะ

บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้ฟังแล้ว รู้ยิ่งธรรมทั้งมวล ครอบงำธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษอะไรๆ อันมีอยู่ในโลกเสียได้ ไม่มีความสงสัย หลุดพ้นแล้ว ไม่มีทุกข์ในธรรม มีขันธ์และอายตนะเป็นต้นทั้งปวง ว่า ผู้สมบูรณ์ด้วยสุตะ.

บุคคลนั้นรู้แล้ว ตัดอาลัย (และ) อาสวะได้แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์ บรรเทาสัญญา ๓ อย่าง และเปือกตม คือ กามคุณแล้ว ย่อมไม่มาสู่กัป บัณฑิตกล่าวว่า เป็นอริยะ.

ผู้ใดในศาสนานี้ เป็นผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุเพราะจรณะ เป็นผู้ฉลาด รู้ธรรม


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 481

ได้ในกาลทุกเมื่อ ไม่ข้องอยู่ในธรรมมีขันธ์ เป็นต้นทั้งปวง มีจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีปฏิฆะผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่า ผู้มีจรณะ.

ผู้ใดขับไล่กรรมอันมีทุกข์เป็นผล ซึ่งมีอยู่ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และเป็นปัจจุบันได้แล้ว มีปกติกำหนดด้วยปัญญาเที่ยวไป กระทำมายากับทั้งมานะ ความโลภ ความโกรธ และนามรูป ให้มีที่สุดได้แล้วผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่า ปริพาชก ผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุ.

[๓๗๑] ลำดับนั้น สภิยปริพาชก ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีใจชื่นชม เพื่องฟู เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส ลุกจากอาสนะ กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าช้างหนึ่งแล้วประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาอันสมควร ในที่เฉพาะพระพักตร์ว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน พระองค์ทรงกำจัดทิฏฐิ ๓ และ ๖๐ ที่อาศัยคัมภีร์อันเป็นวาทะ เป็นประธานของสมณะผู้ลัทธิอื่น ที่อาศัยอักขระคือความหมายรู้กัน (ว่าหญิงว่าชาย)


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 482

และสัญญาอันวิปริต (ซึ่งเป็นที่ยึดถือ) ทรงก้าวล่วงความมืด คือ โอฆะได้แล้ว.

พระองค์เป็นผู้ถึงที่สุด ถึงฝั่งแห่งทุกข์ เป็นพระอรหันต์ (ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ) ทรงสำคัญพระองค์ว่า ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว มีความรุ่งเรือง มีความรู้ พระปัญญามาก ทรงช่วยข้าพระองค์ ผู้กระทำที่สุดทุกข์ให้ข้ามได้แล้ว.

เพราะพระองค์ได้ทรงทราบข้อที่ข้าพระองค์สงสัยแล้ว ทรงช่วยให้ข้าพระองค์ข้ามพ้นความสงสัย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ผู้ทรงบรรลุธรรมที่ควรบรรลุในทางแห่งมุนี ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์.

พระองค์เป็นผู้สงบดีแล้ว พระองค์ผู้มีพระจักษุ ทรงพยากรณ์ความสงสัยของข้าพระองค์ที่ได้มีแล้วในกาลก่อนแก่ข้าพระองค์ พระองค์เป็นมุนีผู้ตรัสรู้เองแน่แท้ พระองค์ไม่มีนิวรณ์ อนึ่ง อุปายาสทั้งหมด


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 483

พระองค์ทรงกำจัดเสียแล้ว ถอนขึ้นได้แล้ว พระองค์เป็นผู้เยือกเย็น เป็นผู้ถึงการฝึกตน มีพระปัญญาเครื่องจำทรง มีความบากบั่นเป็นนิตย์ในสัจจะ.

เทวดาทั้งปวง ทั้งสองพวก (คือ อากาสัฏฐเทวดา และภุมมัฏฐเทวดา) ที่อาศัยอยู่ในนารทบรรพตย่อมชื่นชม ต่อพระองค์ผู้ประเสริฐยิ่ง ผู้มีความเพียรใหญ่ ผู้แสดงธรรมเทศนา.

ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอันสูงสุด ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ บุคคลผู้เปรียบเสมอพระองค์ไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.

พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดา เป็นมุนีผู้ครอบงำมาร พระองค์ทรงตัดอนุสัย ข้ามโอฆะได้เองแล้ว ทรงช่วยให้หมู่สัตว์นี้ข้ามได้แล้ว.

พระองค์ทรงก้าวล่วงอุปธิ ทำลายอาสวะได้แล้ว พระองค์เป็นดังสีหะ ไม่มี


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 484

อุปาทาน ทรงละความกลัวและความขลาดได้แล้ว ไม่ทรงติดอยู่ในบุญและบาปทั้งสองอย่าง เปรียบเหมือนดอกบัวขาบที่งามไม่ติดอยู่ในน้ำฉะนั้น.

ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ขอเชิญพระองค์โปรดเหยียดพระบาทออกมาเถิด สภิยะ ขอถวายบังคมพระบาทของพระศาสดา.

[๓๗๒] ลำดับนั้นแล สภิยปริพาชก หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอให้ข้าพระองค์พึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด.

พ. ดูก่อนสภิยะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวังบรรพชาหวังอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือนไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายพอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้ว ให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็นภิกษุ ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้.


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 485

ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าผู้ที่เคยเป็นอัญญเดียรถีย์มาก่อน หวังบรรพชา หวังอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เมื่อล่วง ๔ เดือน ภิกษุทั้งหลายพอใจ จึงยังผู้นั้นผู้อยู่ปริวาสแล้วให้บรรพชาอุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุไซร้ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาส ๔ ปี เมื่อล่วง ๔ ปีแล้ว ภิกษุทั้งหลายพอใจ ขอจงยังข้าพระองค์ผู้อยู่ปริวาสแล้วให้บรรพชาอุปสมบท เพื่อความเป็นภิกษุเถิด.

สภิยปริพาชก ได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้นท่านพระสภิยะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก ก็ท่านพระสภิยะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลายฉะนี้แล.

จบสภิยสูตรที่ ๖


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 486

อรรถกถาสภิยสูตรที่ ๖

สภิยสูตรมีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.

พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร?

การเกิดขึ้นนี้กล่าวไว้แล้วในนิทานของสูตรนั้น. อนึ่ง สูตรนี้แม้ในลำดับแห่งการพรรณนาความก็พึงทราบว่าเช่นกับสูตรก่อน มีนัยดังได้กล่าวไว้แล้วในสูตรก่อนนั่นแล. แต่บทใดยังไม่ได้กล่าวไว้ เราจักเรียบเรียงบทที่กล่าวไว้ไม่ชัดเจน พรรณนาบทนั้น.

บทว่า เวฬุวนํ ในบทว่า เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป เป็นชื่อของสวนนั้น. ได้ยินว่า สวนนั้นได้ล้อมไว้ด้วยไม้ไผ่ ทั้งมีสีเขียวน่ารื่นรมย์ ประกอบด้วยซุ้มประตูและป้อมตามกำแพง ๑๘ ศอก. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า เวฬุวัน. ที่สวนนั้น ชนทั้งหลายได้ให้เหยื่อแก่กระแต ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า กลันทกนิวาปะ. กระแตทั้งหลายท่านเรียกว่า กลันทกะ.

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งก่อนพระราชาองค์หนึ่งเสด็จมาประพาสพระอุทยาน ณ ที่นั้น ทรงเมาด้วยฤทธิ์สุราบรรทมหลับในตอนกลางวัน. พวกบริวารของพระองค์รู้ว่าพระราชาบรรทมหลับ จึงเลี่ยงไปเก็บดอกไม้และผลไม้จากข้างโน้นข้างนี้. ลำดับนั้นงูเห่าได้กลิ่นสุราจึงเลื้อยออกจากโพรงไม้ต้นหนึ่ง เลื้อยไปทางพระราชา. รุกขเทวดาเห็นดังนั้นจึงคิดว่าเราจักให้ชีวิตพระราชา จึงแปลง เป็นกระแตกระซิบที่พระกรรณ. พระราชาทรงตื่นบรรทม. งูเห่าเลื้อยกลับ พระราชาทอดพระเนตรเห็นกระแตนั้น ทรงดำริว่ากระแตนี้ให้ชีวิตเรา จึงทรงให้จัดหาเหยื่อไว้ให้กระแตที่พระราชอุทยานนั้น และให้ประกาศพระราชอุทยาน


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 487

นั้นเป็นเขตให้อภัยแก่กระแต. เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมาพระราชอุทยานนั้น จึงชื่อว่า กลันทกนิวาปสถาน สถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต.

คำว่า สภิยะ ในบทว่า สภิยสฺส ปริพฺพาชกสฺส เป็นชื่อของปริพาชกนั้น. บทว่า ปริพฺพาชโก ท่านกล่าวหมายถึงนักบวชภายนอก. บทว่า โปราณสาโลหิตาย เทวตาย เทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่า คือ ไม่ใช่มารดา ไม่ใช่บิดา แต่เป็นดุจมารดาและบิดา เทพบุตรนั้นท่านกล่าวว่าเป็นเทวดาผู้เป็นสายโลหิตเก่า เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยเกื้อกูล.

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะปรินิพพานแล้ว ได้ประดิษฐานสุวรรณเจดีย์ขึ้นแล้ว. กุลบุตร ๓ คนบวชในสำนักของสาวก ซึ่งยังอยู่กันพร้อมหน้า เรียนกรรมฐานอันสมควรแก่ความประพฤติไปสู่ชนบทชายแดน บำเพ็ญสมณธรรมในราวป่า เข้าเมืองเป็นครั้งคราวเพื่อไหว้พระเจดีย์และเพื่อฟังธรรม. ครั้นต่อมาภิกษุเหล่านั้นไม่ชอบออกไปจากป่า จึงไม่ประมาท อยู่ในป่านั้นเอง. แม้อยู่อย่างนี้ก็ไม่สามารถบรรลุคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ลำดับนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงคิดกันว่า เราออกไปบิณฑบาตแล้วๆ เล่าๆ ชื่อว่า เป็นผู้มุ่งหวังในชีวิต อันผู้มุ่งหวังในชีวิตไม่สามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมได้ การตายเมื่อยังเป็นปุถุชนเป็นทุกข์ เอาเถิด เราจะพาดบันไดขึ้นสู่ภูเขาไม่มุ่งหวังในร่างกายและชีวิต บำเพ็ญสมณธรรณดังนี้. ภิกษุเหล่านั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว.

ครั้งนั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระมหาเถระเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยอภิญญา ๖ ในทันทีนั้นเอง พระมหาเถระจึงไปสู่หิมวันตประเทศด้วยฤทธิ์ ล้างหน้าที่สระอโนดาต เที่ยวไปบิณฑบาตในอุตรกุรุ


ความคิดเห็น 18    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 488

ฉันอาหารเสร็จแล้วได้ไปยังที่อื่นต่อไป ได้ภัตตาหารเต็มบาตรแล้ว เอาน้ำที่สระอโนดาต และแปรงสีฟันชื่ออนาคลดามาหาภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย ท่านจงดูอานุภาพยิ่งใหญ่ บิณฑบาตนี้นำมาจากแคว้นอุตรกุรุ น้ำและแปรงสีฟันนี้นำมาจากหิมวันตประเทศ ท่านทั้งหลายจงฉันภัตตาหารนี้บำเพ็ญสมณธรรมเถิด ผมจะอุปัฏฐากพวกท่านอย่างนี้ตลอดไป. ภิกษุเหล่านั้นได้ฟัง แล้วจึงกล่าวว่า พระคุณเจ้าขอรับ พระคุณเจ้าทำกิจเสร็จแล้ว พวกกระผมแม้เพียงสนทนากับพระคุณเจ้าก็เสียเวลาอยู่แล้ว บัดนี้ ขอพระคุณเจ้าอย่ามาหาพวกกระผมอีกเลย. พระมหาเถระนั้นเมื่อไม่สามารถจะให้ภิกษุเหล่านั้นยินยอม ได้โดยวิธีไรๆ หลีกไป.

แต่นั้นบรรดาภิกษุเหล่านั้นรูปหนึ่ง โดยล่วงไป ๒ - ๓ วันได้เป็นพระอนาคามีได้อภิญญา ๕. ภิกษุนั้นก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ครั้นถูกภิกษุ อีกรูปหนึ่งห้ามก็กลับไปเช่นเดียวกัน. ภิกษุนั้นพยายามห้ามอยู่อย่างนั้น ครั้นถึงวันที่ ๗ จากวันที่ขึ้นไปสู่ภูเขาก็ยังไม่บรรลุคุณวิเศษไรๆ ครั้นมรณภาพแล้ว ก็ไปเกิดในเทวโลก. ฝ่ายพระเถระผู้เป็นขีณาสพก็ปรินิพพานในวันนั้นนั่นเอง. ท่านที่เป็นพระอนาคามีได้บังเกิดในสุทธาวาส. เทพบุตรเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นกามาวจร ๖ ชั้นกลับไปกลับมา ครั้นถึงศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราได้จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในครรภ์ของปริพาชิกาผู้หนึ่ง. นัยว่าปริพาชิกาผู้นั้นเป็นราชธิดาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง. พระชนกชนนีได้ทรงมอบราชธิดานั้นแก่ปริพาชกผู้หนึ่ง ด้วยตั้งพระทัยว่าธิดาของเราจงรู้เรื่องลัทธิเถิด. ปริพาชกผู้เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของปริพาชกนั้น ประพฤติเมถุนกรรมกับ


ความคิดเห็น 19    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 489

ราชธิดานั้น. พระนางได้ตั้งครรภ์ ปริพาชิกาทั้งหลายเห็นราชธิดานั้นมีครรภ์ จึงพากันไล่ออกไป. พระนางเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง ทรงคลอดที่หอประชุมในระหว่างทาง ด้วยเหตุนั้นกุมารนั้นจึงมีชื่อว่า สภิยะ เกิดที่หอประชุม. สภิยะ นั้นครั้นเติบโตแล้วก็บวชเป็นปริพาชก เล่าเรียนศาสตร์ต่างๆ เป็นผู้มีวาทะมาก เที่ยวไปตลอดชมพูทวีป เพื่อโต้วาทะ ไม่เห็นนักพูดเช่นกับตนจึงให้สร้างอาศรมไว้ที่ประตูพระนคร สั่งสอนศิลปะแก่ขัตติยกุมารเป็นต้น อาศัยอยู่ ณ ที่นั้น.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเผยแผ่พระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จมาถึงกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ประทับอยู่ ณ เวพุวัน มหาวิหารกลันทกนิวาปสถาน. แต่สภิยปริพาชกไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว. ลำดับนั้น สุทธาวาสพรหม ครั้นออกจากสมาบัติแล้วรำพึงว่า เราได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ด้วยอานุภาพของใครรำลึกถึงผู้ร่วมบำเพ็ญสมณธรรมและสหายเหล่านั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ บรรดาสหายเหล่านั้นรูปหนึ่งปรินิพพาน แล้วรำพึงต่อไปว่า บัดนี้อีกรูปหนึ่งอยู่ที่ไหน ครั้นรู้แล้วว่า ภิกษุรูปนั้นจุติจากเทวโลกแล้วไปเกิดในชมพูทวีป และไม่รู้ว่า แม้พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วจึงคิดว่า เอาเถิดเราจะชักชวนเขาเพื่อเข้าถึงพระพุทธเจ้า จึงแต่งปัญหา ๒๐ ข้อ ตอนกลางคืน ได้มายังอาศรมของสภิยปริพาชกนั้นยืนอยู่บนอากาศ ร้องเรียกว่า สภิยะ ดังนี้. สภิยปริพาชกกำลังหลับได้ยินเสียงร้องเรียกอยู่ ๓ ครั้งจึงออกไป เห็นแสงสว่างจึงยืนประณมมือ. ลำดับนั้น พรหมได้กล่าวกะสภิยปริพาชกนั้นว่า ดูก่อนสภิยะ เรานำปัญหา ๒๐ ข้อมาเพื่อท่าน ท่านจงเรียนปัญหาเหล่านั้น


ความคิดเห็น 20    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 490

สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดถูกท่านถามปัญหานี้แล้วพยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของผู้นั้นเถิด.

บทว่า ปุราณสาโลหิตาย เทวตาย ปญฺหา อุทฺทิฏฺา โหนฺติ เทวดาผู้เป็นสาโลหิตเก่าได้แสดงปัญหานี้ ท่านกล่าวหมายถึงเทพบุตรนี้.

บทว่า อุทฺทิฏฺา ท่านกล่าวเพียงหัวข้อแสดงเท่านั้นมิได้กล่าวโดยจำแนก

เมื่อพรหมกล่าวอย่างนี้แล้ว สภิยะได้เรียนปัญหาเหล่านั้นตามลำดับบท ด้วยการกล่าวครั้งเดียวเท่านั้น. ครั้งนั้นพรหมแม้รู้อยู่ก็ยังไม่บอกว่า พระพุทธเจ้าเกิดแล้วแก่สภิยะนั้น. พรหมกล่าวอย่างนี้ว่า โย เต สภิย ฯเปฯ จเรยฺยาสิ ดูก่อนสภิยะ สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดถูกท่านถามปัญหาเหล่านี้แล้วพยากรณ์ได้ ท่านพึงประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของผู้นั้นเถิด ด้วยความประสงค์นี้ว่า สภิยปริพาชกเมื่อแสวงหาประโยชน์ จักรู้จักพระศาสดาด้วยตนเอง และความที่ภายนอกศาสนานี้ว่างจากสมณพราหมณ์ ดังนี้. แต่เกจิอาจารย์กล่าวพรรณนา เรื่องราวของพระสภิยเถระไว้ในเถรคาถาในจตุกกนิบาตว่า มารดาของท่านสภิยเถระนั้นคิดถึงการปฏิบัติผิดของตน จึงรังเกียจการปฏิบัติผิดนั้น ยังฌานให้เกิดแล้วไปบังเกิดในพรหมโลก มารดาผู้เป็นเทพชั้นพรหมได้แสดงปัญหาเหล่านั้น ดังนี้.

บทว่า เย เต เป็นบทยกขึ้นแสดงถึงบุคคลที่ควรกล่าวถึงในบัดนี้. บทว่า สมณพฺราหฺมณา ได้แก่ ผู้เป็นสมณะและพราหมณ์ด้วยการเข้าไปบรรพชาและด้วยโลกสมมติ. บทว่า สงฺฆิโน. คือเป็นเจ้าหมู่. บทว่า คณิโน เป็นเจ้าคณะ คือผู้ปฏิญญาอย่างนี้ว่า เราเป็นศาสดา เป็นสัพพัญญู. บทว่า


ความคิดเห็น 21    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 491

คณาจริยา เป็นคณาจารย์ คือเป็นอาจารย์ของคณะบรรพชิตและคฤหัสถ์ด้วยการเรียนการถามเป็นต้น. บทว่า าตา มีชื่อเสียง คือรู้จักกันมาก ท่านอธิบายว่า เป็นผู้ปรากฏ. บทว่า ยสสฺสิโน มีเกียรติยศ คือสมบูรณ์ด้วยลาภ และบริวาร. บทว่า ติตฺถกรา เป็นเจ้าลัทธิ คือเป็นเจ้าทิฏฐิอันผู้ถึงทิฏฐานุคติคล้อยตาม. บทว่า สาธุสมฺมตา พหุชนสฺส ชนส่วนมากยกย่องว่าดี คือ ชนส่วนมากยกย่องว่าท่านเหล่านี้เป็นคนดี คือเป็นสัตบุรุษ. บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาตลงในความนี้ว่า หากมีคำว่า ท่านเหล่านั้น คือใคร.

คำว่า ปูรโณ เป็นชื่อ. คำว่า กสฺสโป เป็นโคตร. นัยว่าปูรณกัสสปนั้น โดยชาติเป็นทาสคือเป็นทาสมา ๙๙ ชาติ เกิดแล้วยังความเป็นทาส ๙๙ ชาติ ให้เต็ม (๑๐๐) เพราะเหตุนั้นเขาจึงได้ชื่อว่า ปูรณะ แต่หนีไปบวชในสำนักชีเปลือย แสดงโคตรว่า เราเป็นกัสสปโคตรและได้ประกาศความเป็นสัพพัญญู. บทว่า มกฺขลิ เป็นชื่อ. เรียกว่าโคสาละบ้างเพราะเกิดในโรงโค. นัยว่า มักขลิโคศาลนั้นโดยชาติเป็นทาสเหมือนกัน หนีไปบวชและได้ประกาศความเป็นสัพพัญญู.

บทว่า อชิโต เป็นชื่อ. เพราะเป็นผู้มีความมักน้อยจึงนุ่งห่มผ้าเกสกัมพล (ผ้าทำด้วยผมคน) เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกกันว่า เกสกัมพล. อชิตะนั้น ก็ประกาศความเป็นสัพพัญญู.

บทว่า ปกุโธ เป็นชื่อ. บทว่า กจฺจายโน เป็นโคตร. ด้วยความเป็นผู้มักน้อย และด้วยสำคัญว่าในน้ำมีสัตว์มีชีวิต จึงไม่อาบน้ำไม่ล้างหน้าเป็นต้น. ปกุธะนั้นก็ประกาศความเป็นสัพพัญญู.


ความคิดเห็น 22    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 492

บทว่า สญฺชโย เป็นชื่อ. บิดาของเขาชื่อเวลัฏฐะ. เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า เวลัฏฐบุตร. สัญชัยนั้นก็ประกาศความเป็นสัพพัญญู.

บทว่า นิคฺคณฺโ ได้แก่ เรียกชื่อเมื่อบวช. บทว่า นาฏปุตฺโต เรียก ชื่อบิดา. นัยว่าบิดาของเขาชื่อนาฏะ. ชื่อว่า นาฏบุตร เพราะเป็นบุตรของนาฏะ. นาฏบุตรนั้นก็ประกาศความเป็นสัพพัญญู. ทั้งหมดนั้นมีศิษย์เป็นบริวารคนละ ๕๐๐.

บทว่า เต ได้แก่ ศาสดาทั้ง ๖. บทว่า เต ปญฺเห ได้แก่ปัญหา ๒๐ ข้อเหล่านั้น. บทว่า เนว สมฺปายนฺติ คือแก้ไม่ได้. บทว่า โกปํ โกรธ คือ ความที่จิตและเจตสิกขุ่นมัว.

บทว่า โทสํ ความเคือง คือความเป็นผู้มีจิตประทุษร้าย. แม้ทั้งสองบทนั้นก็เป็นชื่อของความโกรธทั้งอย่างอ่อนและรุนแรง. บทว่า อปฺปจฺจยํ ได้แก่ ความไม่พอใจ ท่านกล่าวว่าได้แก่ความเสียใจ. บทว่า ปาตุกโรนฺติ คือแสดงกายวิการและวจีวิการ ให้ปรากฏ. บทว่า หีนาย เพื่อความเป็นคนเลว คือความเป็นคฤหัสถ์. จริงอยู่ คฤหัสถ์ท่านกล่าวว่าเลว เพราะเทียบกับบรรพชาแล้วเลวจากคุณมีศีลเป็นต้นหรือเพราะเสพกามสุขอันเลว. บรรพชาเป็นของสูง. บทว่า อาวตฺติตฺวา เวียนมา คือถอยหลัง. บทว่า กาเม ปริภุญฺเชยฺยํ ได้แก่ เสพกาม. ได้ยินว่าสภิยะนั้นได้เห็นพวกนักบวชแม้ปฏิญญา ความเป็นสัพพัญญูก็เหลวเปล่าทั้งนั้น. ครั้งนั้นแล สภิยปริพาชกผู้มาด้วยความปริวิตกที่เกิดขึ้นแล้วพิจารณาอยู่บ่อยๆ ได้มีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้แลว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น และไม่ควรดูหมิ่นสมณะว่ายังเป็นหนุ่ม ดังนี้เป็นต้น.


ความคิดเห็น 23    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 493

ในบทเหล่านั้นบทว่า ชิณฺณา เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. บทว่า เถรา ได้แก่ ผู้ถึงความมั่นคงในสมณธรรมของตน. บทว่า รตฺตญฺญู รู้ราตรีนาน คือรู้รัตนะ หรือรู้ราตรีมากที่โลกสมมติด้วยปฏิญญาณของตนอย่างนี้ว่า เรารู้รัตนะคือนิพพาน. ชื่อว่า จิรปพฺพชิตา เพราะบวชมานาน.

บทว่า น อุญฺาตพฺโพ คือไม่ควรดูหมิ่น. ท่านอธิบายว่าไม่ควรดูหมิ่นว่าเป็นคนชั้นต่ำ. บทว่า น ปริโภตพฺโพ คือไม่ควรดูแคลน. ท่านอธิบายว่า ไม่ควรถืออย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้จักรู้อะไร.

บทว่า กงฺขี เวจิกิจฺฉี มีความสงสัย มีความเคลือบแคลง ความว่าสภิยปริพาชกชื่นชมอยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้า สรรเสริญความเป็นสัพพัญญู อันสมบูรณ์ด้วยพระรูป มีความสงบและสะอาดของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ เป็นผู้ปราศจากความฟุ้งซ่าน จึงกล่าวว่า กงฺขี เวจิกิจฺฉี ดังนี้.

ในสองบทนั้น ชื่อว่า กงฺขี เพราะสงสัยในการพยากรณ์ปัญหาทั้งหลายอย่างนี้ว่า เราจะพึงได้การพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้หรือหนอ. ชื่อว่า เวจิกิจฺฉี เพราะเคลือบแคลงอย่างนี้ว่า ความของปัญหานี้ๆ จะเป็นอย่างไรหนอ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า กงฺขี เพราะสงสัยความของปัญหาเหล่านั้นด้วยความสงสัยอย่างอ่อน, ชื่อว่า เวจิกิจฺฉี เพราะค้นคว้าด้วยความสงสัยอย่างแรงกล้าก็ยังลำบากอยู่นั่นเอง คือ ไม่สามารถจะตกลงใจได้. บทว่า อภิกงฺขมาโน คือ ปรารถนาอย่างยิ่ง. บทว่า เตสนฺตกโร ได้แก่ กระทำปัญหาเหล่านั้นให้ถึงที่สุด. สภิยปริพาชกเมื่อจะแสดงว่า ภวนฺโตว เอวํ ภวาหิ พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหาแล้ว จึงทูลว่า ปญฺเห เม ปุฏฺโ ฯเปฯ พฺยากโรหิ เม


ความคิดเห็น 24    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 494

ข้าพระองค์ทูลถามปัญหาแล้ว ขอจงตรัสพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ตามลำดับให้สมควรแก่ธรรมเถิด. บทว่า อนุปุพฺพํ คือตามลำดับแห่งปัญหา. บทว่า อนุธมฺมํ ได้แก่ อ้างบาลีให้เหมาะแก่ความ. บทว่า พฺยากโรหิ เม คือ ขอทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์เถิด.

บทว่า ทูรโต แต่ไกล นัยว่า สภิยปริพาชกนั้นท่องเที่ยวไปเมืองโน้นเมืองนี้มาแต่ทาง ๗๗ โยชน์. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ท่านมาแต่ไกล. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะสภิยปริพาชกว่า ท่านมาแต่ไกลเพราะมาแต่ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ. บทว่า ปจฺฉ มํ จงถามเราเถิด คือพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปวารณาซึ่งสัพพัญญูปวารณาแก่สภิยะด้วย คาถานี้. บทว่า มนสิจฺฉสิ ได้แก่ ปรารถนาด้วยใจ.

บทว่า ยํ วตาหํ ตัดบทเป็น ยํ วต อหํ. บทว่า อตฺตมโน มีใจชื่นชม คือมีจิตอันปีติปราโมทย์และโสมนัสถูกต้องแล้ว. บทว่า อุทคฺโค ฟูขึ้น คือฟูขึ้นทางกายและทางจิต. แต่บทนี้ ใช่มีในปาฐะทั้งหมด. บัดนี้สภิยปริพาชก เมื่อจะแสดงธรรมที่ตนชื่นชม จึงกล่าวว่า ปมุทิโต ปีติโสมนสฺสชาโต เบิกนาน เกิดปีติโสมนัส.

บทว่า กึ ปตฺตินํ คือภิกษุถึงอะไร บรรลุอะไร. คำว่า โสรตํ คือ ผู้สงบระงับด้วยดี. ปาฐะว่า สุรตํ บ้าง. อธิบายว่าเข้าไปยินดีด้วยดี. บทว่า ทนฺตํ ผู้ฝึกตนแล้ว คือทรมานตน. บทว่า พุทฺโธ คือผู้รู้แจ้ง หรือผู้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า.

สภิยปริพาชกกระทำคาถาหนึ่งๆ ให้เป็นอย่างละ ๔ๆ แล้วทูลถามปัญหา ๒๐ ข้อ ด้วย ๕ คาถา. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำปัญหาหนึ่งๆ


ความคิดเห็น 25    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 495

ของสภิยปริพาชก ด้วยคาถาหนึ่งๆ แล้วทรงพยากรณ์ด้วยคาถา ๒๐ คาถา ด้วยยอดธรรมคือพระอรหัต.

วินิจฉัยในคาถานั้นว่า เพราะภิกษุผู้ทำลายกิเลสได้แล้วเป็นภิกษุชั้นยอดและภิกษุนั้นเป็นผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงพยากรณ์ปัญหานี้ของสภิยปริพาชกว่า กึ ปตฺตินมาหุ ภิกฺขูนํ บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้บรรลุอะไรว่าเป็นภิกษุ ดังนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ปชฺเชน ด้วยมรรค

บทนั้นมีความว่า บุคคลใดถึงปรินิพพานด้วยมรรคที่ตนอบรมแล้ว คือบรรลุถึงการดับกิเลส เพราะถึงปรินิพพาน จึงชื่อว่าเป็นผู้ข้ามพ้นความสงสัย ละความไม่เป็น และความเป็น อันมีประเภทเป็นวิบัติ สมบัติ ความเสื่อม ความเจริญ ความสูญ ความเที่ยง บาปและบุญอยู่ด้วยมรรค เป็นผู้ควรแก่คำชมว่า ขีณปุนพฺภโว มีภพใหม่สิ้นแล้ว ดังนี้ บุคคลนั้นชื่อว่า เป็นภิกษุ. ก็ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สงบเสงี่ยม เพราะความเป็นผู้สงบเสงี่ยมด้วยดีจากการปฏิบัติผิด และเพราะสงบจากกิเลสมีประการต่างๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงตรัสพยากรณ์ปัญหาที่สอง โดยนัยมีอาทิว่า สพฺพตฺถ อุเปกฺขโก วางเฉยในอารมณ์มีรูปเป็นต้นทั้งหมด.

บทนั้นมีความว่า ผู้ใดวางเฉยในอารมณ์มีรูปเป็นต้นทั้งหมด ด้วยอุเบกขามีองค์ ๖ อันเป็นไปแล้วอย่างนี้ว่า เห็นรูปด้วยจักษุ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ชื่อว่า มีสติ เพราะสติถึงความไพบูลย์ ไม่เบียดเบียนสัตว์อันมีประเภทที่มีความสะดุ้งกลัวและมั่นคงเป็นต้น ไรๆ เป็นผู้ข้ามได้แล้วเพราะข้ามโอฆะในโลกทั้งปวง ชื่อว่า เป็นผู้สงบ เพราะสงบจากบาป ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ขุ่นมัว เพราะละ


ความคิดเห็น 26    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 496

ความดำริในความขุ่นมัวเสียได้ ชื่อว่า ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลสทุกชนิด ทั้งอย่างหยาบหรืออย่างละเอียด ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้สงบเสงี่ยมด้วยความสงบด้วยดีจากการปฏิบัติผิด เพราะมีธรรมเป็นเครื่องอยู่คืออุเบกขา เพราะมีสติไพบูลย์และเพราะไม่เบียดเบียน และด้วยการสงบกิเลสมีประการต่างๆ มีโอฆะเป็นต้นนี้.

ก็เพราะผู้มีอินทรีย์อบรมแล้ว ไม่มีภัย ไม่วิการ เป็นผู้ฝึกตนแล้ว ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงทรงพยากรณ์ด้วยคาถาว่า ยสฺสินทฺริยานิ ผู้ใดอบรมอินทรีย์แล้วดังนี้.

บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ผู้ใดยกอินทรีย์ทั้ง ๖ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์มีอนิจจลักษณะเป็นต้น ด้วยโคจรภาวนาแล้วถือเอากลิ่นคือ สติสัมปชัญญะด้วยวาสนาภาวนา เจริญแล้วแทงตลอด คือรู้ ตรัสรู้โลกนี้และโลกอื่น อันได้แก่โลกคือขันธ์อันเป็นไปในสันดานของตนและโลกคือขันธ์อันเป็นไปในสันดานของผู้อื่นด้วยโคจรภาวนาทั้งภายในและภายนอกในโลกทั้งปวง ว่า ความบกพร่องของอินทรีย์ทั้งหลาย ก็ดี ความเกิดจากความบกพร่องก็ดีในอารมณ์ใดๆ อบรมอินทรีย์แล้วด้วยการไม่เพ่งเป็นต้นในอารมณ์นั้นๆ ดังนี้ แล้วประสงค์จะตายช้าๆ หวังถึงกาลคือรอคอยเวลาสิ้นชีวิต ไม่กลัวต่อความตาย. ดังที่พระเถระกล่าวไว้ว่า

มรณํ เม ภยํ นตฺถิ นิกฺกนฺติ นตฺถิ ชีวิเต นาภิกงฺขามิ มรณํ นาภิกงฺขามิ ชีวิตํ กาลํ จ ปฏิกงฺขามิ นิพฺพิสํ ภตโก ยถา.


ความคิดเห็น 27    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 497

เราไม่กลัวความตาย ความใคร่ในชีวิตไม่มี เราไม่ปรารถนาความตาย เราไม่ปรารถนาชีวิต แต่เรารอความตาย เหมือนคนรับจ้างรอคอยค่าจ้าง ฉะนั้น.

บทว่า ภาวิโต ส ทนฺโต คือผู้ที่อบรมอินทรีย์แล้ว ผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่า ผู้ฝึกตนแล้ว.

เพราะธรรมดาพระพุทธเจ้า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา มีกิเลสหลับและทรงรู้แจ้ง ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงทรงพยากรณ์ปัญหาข้อที่ ๔ ด้วยคาถาว่า กปฺปานิ ตลอดกัป ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กปฺปานิ ได้แก่ กัปคือตัณหาและทิฏฐิ. จริงอยู่ ตัณหาและทิฏฐิท่านเรียกว่า กัป เพราะกำหนดเอาอย่างนั้นๆ. บทว่า วิเจยฺย คือพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า เกวลานิ คือทั้งสิ้น. บทว่า สํสารํ ได้แก่ พิจารณาสงสารทั้งสิ้นอันได้แก่ลำดับขันธ์เป็นต้น อย่างนี้ว่า

ขนธานฺจ ปฏิปาฏิ ธาตุอายตนาน จ อพฺโพจฺฉินฺนํ วตฺตมานา สํสาโรติ ปวุจฺจติ.

ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุและอายตนะทั้งหลายยังเป็นไปอยู่ ไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่า สงสาร.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาในวัฏฏะแม้ ๓ อย่างนี้ คือในกรรมวัฏฏ์และกิเลสวัฏฏ์อันเป็นมูลเหตุแห่งขันธ์ทั้งหลาย และในขันธ์ทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 28    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 498

บทว่า ตทุภยํ จุตูปปาตํ ได้แก่พิจารณาคือรู้ทั้งจุติและอุปบัติทั้งสองนี้ของสัตว์ทั้งหลาย. ท่านกล่าวถึง จุตูปปาตญาณ ด้วยบทว่า จุตูปปาตํ นี้. บทว่า วิคตรชมนงฺคณํ วิสุทฺธํ ปราศจากธุลีไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ผู้หมดจด ความว่า ชื่อว่าปราศจากธุลีไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ผู้หมดจด เพราะปราศจากธุลีมีราคะ เป็นต้น เพราะไม่มีกิเลสเครื่องยียวน เพราะปราศจากมลทิน. บทว่า ปตฺตํ ชาติกฺขยํ ถึงความสิ้นไปแห่งชาติความเกิด ได้แก่ บรรลุถึงพระนิพพาน. บทว่า ตมาหุ พุทฺธํ ผู้นั้น บัณฑิตกล่าวว่า ผู้รู้ ความว่า ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้รู้ถึงความสิ้นชาติ เพราะถึงพร้อมด้วยความรู้ คือส่วนแห่งจุตูปปาตญาณ ด้วยโลกุตรวิปัสสนานี้ และเพราะเป็นผู้บริสุทธิ์จากความหลับคือกิเลส เพราะปราศจากกิเลสมีธุลีเป็นต้นนี้ด้วยปฏิปทานั้น.

อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กปฺปานิ วิเจยฺย เกวลานิ พิจารณาตลอดกัปทั้งสิ้น ความว่า พิจารณาโดยนัยเป็นต้นว่า อเนเกปิ สํวฏฺฏวิวฏฺฏกปฺเป อมุตฺราสึ ความว่า ไม่พ้นสังวัฏกัปและวิวัฏกัปไม่น้อย. ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงวิชชาต้น (คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ). บทว่า สํสารํ ตทุภขํ จุตูปาตํ พิจารณาสงสารทั้งสองอย่าง ความว่า พิจารณาสงสารทั้งสองอย่างนี้ คือ จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า อิเม วต โภนฺโต สตฺตา สัตว์ทั้งหลายผู้เจริญเหล่านี้หนอดังนี้. ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงวิชชาที่สอง คือจุตูปปาตญาณ ด้วยบทที่เหลือท่านกล่าวถึงวิชชาที่สาม (คืออาสวักขยญาณ) ความเป็นผู้ปราศจากธุลีเป็นต้น และการบรรลุพระนิพพานย่อมมีได้ด้วยอาสวักขยาณ. บทว่า ตมาหุ พุทฺธํ ผู้นั้น เรากล่าวว่าเป็นพระพุทธเจ้า ความว่า เรากล่าวผู้นั้น ซึ่งเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาคือวิชชาสามอย่างนี้ ว่าเป็นพระพุทธเจ้า.


ความคิดเห็น 29    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 499

แม้ในปัญหาที่พระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาที่พราหมณ์ถามด้วยคาถาแรกอย่างนี้แล้วจึงตรัสด้วยคาถาที่สอง เพราะผู้ที่ถึงความเป็นพรหม ความเป็นผู้ประเสริฐ เป็นพราหมณ์ชั้นยอด เป็นผู้ลอยบาปทั้งหมดได้แล้ว ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงทรงพยากรณ์ปัญหาแรกด้วยคาถาว่า พาหิตฺวา ลอยแล้ว ดังนี้.

บทนั้นมีความว่า ผู้ใดลอยบาปทั้งหมดได้แล้วด้วยมรรคที่สี่ ดำรงตนมั่น อธิบายว่ามั่นคง เป็นผู้ปราศจากมลทินเพราะลอยบาปได้แล้ว ถึงความเป็นผู้ไม่มีมลทิน ความเป็นพรหม ความเป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ตั้งมั่นแล้วด้วยดี ด้วยอรหัตตผลสมาธิ เพราะสงบมลทินคือกิเลสอันทำให้สมาธิซัดส่ายก้าวล่วงสงสารได้แล้ว ด้วยการก้าวล่วงเหตุแห่งสงสาร เป็นผู้สำเร็จกิจเพราะทำกิจเสร็จแล้ว ผู้นั้นท่านกล่าวว่าเป็นผู้ไม่มีสิ่งอาศัย เพราะอันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้วและเป็นผู้คงที่ เพราะไม่ทำให้ผิดปรกติไปด้วยโลกธรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้น ท่านกล่าวว่าเป็นพรหม เป็นพราหมณ์ ควรแก่สรรเสริญ.

เพราะท่านกล่าวว่าเป็นสมณะ เพราะเป็นผู้ลอยบาปได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ล้างบาป เพราะล้างบาปได้แล้ว ชื่อว่าเป็นนาค เพราะไม่ทำความชั่วทั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สามด้วยคาถา ๓ คาถา อื่นอีก.

บทว่า สมิตาวี เป็นผู้สงบกิเลส คือ สงบกิเลสด้วยอริยมรรคตั้งอยู่ ท่านกล่าวว่าเป็นสมณะเพราะเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นผู้เป็นอย่างนั้นจึงเรียกว่าสมณะ. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันทรงพยากรณ์ปัญหาแล้ว. คำที่เหลือเป็นคำสรรเสริญ


ความคิดเห็น 30    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 500

เพื่อให้สภิยปริพาชกเกิดความนับถือในสมณะนั้นให้มาก. จริงอยู่ ผู้ใดเป็นผู้มีความสงบ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีกิเลสดุจธุลี เพราะปราศจากกิเลสดุจธุลี เพราะละบุญและบาปได้ด้วยไม่กระทำการสืบต่อบุญและบาป เป็นผู้ก้าวล่วงชาติและมรณะได้ เพราะรู้โลกนี้และโลกอื่นด้วยสามารถแห่งลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น และเป็นผู้คงที่. อนึ่ง ในคาถานี้ว่า นินฺนฺหาย ฯเปฯ นฺหาตโก ผู้ใดล้างบาปได้หมดในอายตนโลกทั้งปวง คือในภายในและภายนอกแล้ว ย่อมไม่มาสู่กัป ในเทวดาและมนุษย์ผู้สมควรกับกัปคือตัณหาและทิฏฐิ ผู้นั้นบัณฑิตกล่าวว่าผู้ล้างบาป. พึงทราบความอย่างนี้ว่า ผู้ใดล้างคือชำระบาปทั้งหมด อันควรจะเกิดด้วยอารมณ์ภายในและภายนอกในอายตนโลกแม้ทั้งหมด กล่าวคือทั้งภายในและภายนอกด้วยมรรคญาณไม่มาสู่กัป ในเทวดาและมนุษย์ทั้ง หลายผู้สมควรด้วยกัปคือตัณหาและทิฏฐิ เพราะล้างบาปได้แล้วนั้น บัณฑิตกล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้ล้างบาป.

แม้ในคาถาที่สี่ก็พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. บทว่า อาคุํ น กโรติ กิญฺจิ โลเก ผู้ใดไม่กระทำบาปอะไรๆ ในโลก ความว่า ผู้ใดไม่ทำบาป อันเป็นความชั่วแม้มีประมาณน้อยในโลก ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็นนาค เพราะเหตุดังนั้น. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ปัญหาแล้ว. คำที่เหลือเป็นคำสรรเสริญโดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแหละ จริงอยู่ ผู้ใดไม่ทำความชั่วเพราะละความชั่วได้ด้วยมรรค ผู้นั้นสลัดออกคือละเครื่องผูกทั้งหมด อันได้แก่สังโยชน์ ๑๐ ในสังโยชน์ทั้งหมดมีกามราคะเป็นต้น ไม่ข้องอยู่ด้วยความข้องไรๆ ในขันธ์เป็นต้นทั้งปวง และหลุดพ้นได้เด็ดขาดด้วยวิมุตติทั้งสอง และเป็นผู้คงที่.


ความคิดเห็น 31    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 501

แม้ในปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาที่พราหมณ์ถามด้วยคาถาที่สองอย่างนี้แล้ว จึงตรัสด้วยคาถาที่สามต่อไป เพราะอายตนะทั้งหลายท่านกล่าวว่า เขตฺตานิ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า จกฺขุเปตํ จกฺขฺวายตนมุ เปตํ ฯเปฯ เขตฺตมฺเปตํ วตฺถุมฺเปตํ นี่ก็เป็นจักษุ นี่ก็เป็นจักขวายตนะ ฯลฯ นี่ก็เป็นเขต นี่ก็เป็นวัตถุ. ผู้ใดชนะ คิดครอบงำเขตเหล่านั้น อีกอย่างหนึ่งพิจารณาคือกำหนดเขตทั้งสิ้น คือไม่มีเหลือโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แต่โดยความต่างกัน เขตที่เป็นของทิพย์ เขตของมนุษย์และเขตของพรหม มีการเกี่ยวข้องกันเป็นเหตุ เขตใดเป็นของทิพย์มี ๑๒ ประเภท เขตที่เป็นของมนุษย์ก็เหมือนอย่างนั้น อนึ่งเขตใดเป็นเขตของพรหมมีประเภทคืออายตนะ ๑๒ มีจักขวายนตะเป็นต้น ในอายตนะ ๖ พึงปราบปรามหรือพึงพิจารณาเขตทั้งหมดนั้น แต่นั้นเป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งเขตทั้งหมด มี อวิชชา ตัณหา และภพเป็นต้น เป็นเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งเขตทั้งปวง ชื่อว่า เป็นผู้ชนะเขตทั้งปวง เพราะเขตเหล่านั้นอันคนชนะได้แล้วหรือพิจารณาแล้วอย่างนี้ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพยากรณ์ปัญหาแรกด้วย คาถานี้ว่า เขตฺตานิ ดังนี้.

ในบทว่า เขตฺตานิ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า กรรมทั้งหลายชื่อว่า เป็นเขต (เนื้อนา) เพราะบาลีว่า กมฺมํ เขตฺตํ วิญฺาณํ พีชํ ตณฺหา สิเนโห. กรรมเป็นเนื้อนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางเหนียว. อนึ่งในบทว่า ทิพฺพํ มานุสกญฺจ พฺรหฺมกฺเขตฺตํ นี้ ท่านพรรณนาไว้ว่า กรรมอันเป็นเขตของทิพย์เข้าถึงเทวโลก กรรมอันเป็นเขตของมนุษย์เข้าถึงมนุษย์ กรรมอันเป็นเขตของพรหมเข้าถึงพรหมดังนี้. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.


ความคิดเห็น 32    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 502

ก็เพราะกรรมทั้งหลายท่านกล่าวโกสะ เพราะคล้ายกะเปาะฟองที่ตั้งในตน ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดเพราะตัด คือตัดขาดกะเปาะฟองเหล่านั้นได้นั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สองด้วยคาถาว่า โกสานิ กะเปาะฟอง ดังนี้.

บทนั้นมีความดังนี้ ผู้ใดพิจารณากะเปาะฟอง (กรรม) ทั้งสิ้นอันได้แก่กุศลกรรมโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น โดยอารมณ์และโดยกิจ ด้วยโลกิยวิปัสสนาและโลกุตรวิปัสสนา แต่โดยความต่างกันออกไป พิจารณากะเปาะฟองที่เป็นของทิพย์ และกะเปาะฟองของมนุษย์ มีต่างด้วย กามาวจรกุศลเจตนา ๘ อันเป็นเหตุเกี่ยวข้องกัน และกะเปาะฟองของพรหมอันต่างด้วยมหัตคตกุศลเจตนา ๙ แต่นั้นหลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งกะเปาะฟองทั้งหมดมีประเภทคือ อวิชชาและภวตัณหาเป็นต้น ด้วยมรรคภาวนา ท่านกล่าวว่าเป็นผู้ฉลาด เพราะกำจัดกะเปาะฟองเหล่านั้นได้ด้วยประการฉะนี้ และเป็นผู้คงที่เห็นปานนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบภพ ๓ และอายตนะ ๑๒ ว่าเป็นโกสะ เพราะเป็นเช่นกับฝักดาบ ด้วยอรรถว่าเป็นที่อยู่ของสัตว์และธรรมทั้งหลาย. ในบทนี้พึงประกอบด้วยคาถาด้วยประการฉะนี้.

อนึ่ง เพราะท่านกล่าวว่าเป็นบัณฑิตด้วยบทนี้ว่า น เกวลํ ปณฺฑติ มิใช่ฉลาดอย่างเดียว. แต่โดยที่แท้ท่านกล่าวว่าบัณฑิตเพราะถึงคือเข้าถึงอายตนะทั้งหลาย ยึดอยู่ด้วยปัญญาเป็นเครื่องค้นคว้า ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สามด้วยคาถาว่า ทุภยานิ อายตนะทั้งสอง ดังนี้.

บทนั้นมีความดังนี้ ผู้ใดพิจารณาอายตนะทั้งสองอย่างนี้คือ ทั้งภายในและภายนอก โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทว่า ปณฺฑรานิ ได้แก่


ความคิดเห็น 33    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 503

อายตนะทั้งหลาย. ท่านกล่าวอย่างนั้นเพราะบริสุทธิ์โดยปรกติและเพราะงอกงาม ผู้พิจารณาอายตนะเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาบริสุทธิ์ เพราะกำจัดมลทินออกเสียได้ด้วยการปฏิบัตินี้ ท่านกล่าวว่าเป็นบัณฑิตเพราะเหตุนั้น. เพราะเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งอายตนะเหล่านั้นด้วยปัญญา. บทที่เหลือเป็นคำสรรเสริญของพราหมณ์นั้น ผู้นั้นเป็นผู้ก้าวล่วงธรรมดำและธรรมขาวอันได้แก่บาปและบุญได้แล้วและเป็นผู้คงที่ ฉะนั้น พราหมณ์จึงสรรเสริญอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

ก็เพราะญาณท่านเรียกว่า โมนะ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ยา ปญฺาปชานนา ฯเปฯ สมฺมาทิฏฺิ เตน าเณน สมนฺนาคโต มุนิ มุนีประกอบด้วยปัญญาความรู้ ฯลฯ สัมมาทิฏฐิ ดังนี้ ฉะนั้นเมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สี่ด้วยคาถาว่า อสตญฺจ ธรรมของอสัตบุรุษ ดังนี้.

บทนั้นมีความดังนี้ ผู้ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและสัตบุรุษทั้งที่เป็นอกุศลและกุศลในโลกทั้งปวงนี้คือในภายในและภายนอกดำรงอยู่ ล่วงคือก้าวล่วง ธรรมอันเป็นเครื่องข้อง ๗ อย่างโดยประเภทมีราคะเป็นต้น และข่ายสองอย่างโดยประเภทคือตัณหาและทิฏฐิ เพราะผู้นั้นได้รู้แล้ว ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็นมุนี เพราะประกอบด้วยญาณเป็นเครื่องค้นคว้าอันได้แก่โมนะนั้น. บทว่า เทวมนุสฺเสหิ ปูชิโย อันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายบูชาแล้ว นี้เป็นคำสรรเสริญของพราหมณ์นั้น. จริงอยู่ ผู้นั้นเป็นผู้ควรแก่การบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเพราะเป็นมุนีสิ้นอาสวะแล้ว ฉะนั้น พราหมณ์จึงสรรเสริญอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.

แม้ในปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาที่พราหมณ์ถามด้วยคาถาที่สาม พระองค์จึงตรัสด้วยคาถาที่สี่ เพราะผู้นั้นทำความสิ้นกิเลสถึงแล้ว


ความคิดเห็น 34    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 504

ด้วยเวทคือมรรคญาณ ๔ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ถึงเวทโดยปรมัตถ์ อนึ่งผู้ใดพิจารณาเวททั้งหลายที่รู้ว่าเป็นศาสตร์ของสมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นโดยกิจด้วยมรรคภาวนานั้นเอง ก้าวล่วงเวททั้งปวงนั้น ด้วยการละความพอใจและความกำหนัดในเวทนั้น เวทนาใดเกิดขึ้นเพราะเวทเป็นปัจจัย หรือโดยประการอื่น เป็นผู้ปราศจากราคะในเวทนาเหล่านั้น คือในเวทนาทั้งหมด ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นมิได้ตรัสว่า อิทํ ปตฺตินํ นี้ของผู้บรรลุเวท ดังนี้ แต่ทรงพยากรณ์ปัญหาที่หนึ่งด้วยคาถาว่า เวทานิ เวททั้งหลายดังนี้. เพราะผู้พิจารณาเวททั้งหลายด้วยปัญญาเป็นเครื่องค้นคว้านั้น ก้าวล่วงเวททั้งปวง ด้วยการละความพอใจและความกำหนัดในเวทนั้น ผู้นั้นถึงรู้และก้าวล่วงเวททั้งหลายที่รู้กันว่าเป็นศาสตร์ ผู้ใดปราศจากราคะในเวทนาทั้งหลาย แม้ผู้นั้นถึงและก้าวล่วงเวททั้งหลายที่รู้อยู่ว่าเป็นเวทนา ผู้นั้นชื่อว่าเวทคู เพราะเป็นไปแล้วสู่เวททั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความแม้นั้นมิได้ตรัสว่า อิทํ ปตฺตินํ แล้วทรงพยากรณ์ปัญหาที่หนึ่งด้วยคาถานี้.

ก็เพราะในปัญหาที่สองท่านกล่าวว่า อนฺวิทิโต ได้แก่ผู้รู้ตาม ผู้นั้นใคร่ครวญนามรูป ที่ทำให้เนิ่นช้า อันเป็นภายใน อันได้แก่ธรรมอันทำให้เนิ่นช้า อันต่างด้วยตัณหามานะและทิฏฐิในสันดานของตน และนามรูปอันมีธรรมที่ทำให้เนิ่นช้านั้นเป็นปัจจัย ด้วยอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น มิใช่ใคร่ครวญธรรมที่เป็นภายในอย่างเดียว ยังใคร่ครวญธรรมที่เป็นมูลรากแห่งโรคในภายนอกด้วย ได้แก่ ใคร่ครวญธรรมอันเป็นมูลรากมีอวิชชาและภวตัณหาเป็นต้น ของนามรูปและโรคนี้ ในสันดานของคนอื่น หรือเป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าแห่งโรคทั้งหลายทั้งปวงด้วยภาวนานั้น หรือจากเครื่องผูกอันเป็นมูลรากทั้งปวงแห่งโรคทั้งหลาย หรือจากธรรมอันทำให้เนิ่นช้า


ความคิดเห็น 35    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 505

ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สองด้วยคาถาว่า อนุวิจฺจ ใคร่ครวญแล้วดังนี้.

ก็ในบทว่า กถญฺจ วิริยวา บุคคลผู้มีความเพียรด้วยอาการอย่างไรนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. เพราะผู้ใดเว้นจากบาปทั้งปวงด้วยอริยมรรค อนึ่ง เพราะเป็นผู้เว้นอย่างนั้นได้ จึงก้าวล่วงทุกข์ในนรกเพราะไม่มีปฏิสนธิต่อไป ดำรงอยู่ อยู่ด้วยความเพียร มีความเพียรเป็นที่อาศัย ผู้นั้นเป็นขีณาสพ ย่อมควรที่จะกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีความเพียรดังนี้ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สามด้วยคาถาว่า วิรโต เป็นผู้งดเว้นดังนี้. บทว่า ปธานวา ธีโร ตาทิ บุคคลนั้นมีความเพียร มีปัญญา ผู้คงที่ นี้เป็นคำสรรเสริญของพราหมณ์นั้น เพราะผู้นั้นชื่อว่า ผู้มีความเพียรเพราะความเพียรพยายามในมรรคและฌาน ชื่อว่าผู้มีปัญญา เพราะสามารถกำจัดกิเลสเป็นต้นได้ ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะไม่ทำให้แปลกออกไป ฉะนั้น พราหมณ์จึงสรรเสริญด้วยประการฉะนี้. บทที่เหลือควรกล่าวประกอบกัน.

ในบทว่า อาชานิโย กินฺติ นาม โหติ บุคคลเป็นอาชาไนยด้วยอาการอย่างไร นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงว่า ม้าก็ดี ช้างก็ดี รู้เหตุอันควรและไม่ควร ท่านกล่าวว่า เป็นอาชาไนยในโลก แต่อาชาไนยนั้นยังละโทษไม่หมดสิ้นเชิงทีเดียว แต่พระขีณาสพละโทษเหล่านั้นได้หมด ฉะนั้น จึงควรที่จะกล่าวว่า เป็นอาชาไนยโดยปรมัตถ์ดังนี้.

ทรงพยากรณ์ปัญหาที่สี่ด้วยคาถาว่า ยสฺส ดังนี้.

บทนั้นมีความดังนี้ บทว่า อชฺฌตฺตํ พหิทฺธา จ ทั้งภายในภายนอก ความว่า ผู้ใดตัดเครื่องผูกอันได้แก่สังโยชน์ทั้งภายในภายนอกได้แล้ว คือตัดทำ


ความคิดเห็น 36    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 506

ลายด้วยศัสตราคือปัญญา. บทว่า สงฺคมูลํ รากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องความว่า เครื่องผูกอันเป็นรากเหง้าด้วยการเกี่ยวข้อง ไม่ก้าวล่วงธรรมอันเป็นเครื่องข้องในวัตถุเหล่านั้นๆ อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดตัดเครื่องผูกมีราคะเป็นต้น อันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งภายในและภายนอกได้แล้ว ผู้นั้นหลุดพ้นจากเครื่องผูกทั้งปวง อันเป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้อง หรืออัน เป็นรากเหง้าแห่งธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งปวง ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็นอาชาไนยและเป็นผู้คงที่เห็นปานนั้น.

แม้ในปัญหาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแก้ปัญหาที่ตรัสไว้แล้ว ในคาถาที่สี่แล้วตรัสด้วยคาถาที่ห้า เพราะจินตกวีทั้งหลายพรรณนาความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสุตะ ด้วยเหตุเพียงการเชี่ยวชาญในฉันท์ ผู้นั้นเป็นผู้สมบูรณ์เพียงโวหารสุตะแต่พระอริยะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปรมัตถสุตะ เพราะเป็นพหูสูตและเพราะไม่มีสุตะอันลามกฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้นจึงไม่ตรัสว่า อิทํ ปตฺตินํ ทรงพยากรณ์ปัญหาแรกด้วยคาถาว่า สุตฺวา ผู้ฟังแล้ว ดังนี้.

บทนั้นมีความดังนี้ ผู้ใดฟังด้วยกิจคือสุตมยปัญญาในโลกนี้ หรือฟังด้วยกิจที่ควรทำ รู้ยิ่งธรรมทั้งปวง อันเข้าถึงวิปัสสนาด้วยความไม่เที่ยงเป็นต้น ครอบงำธรรมอันมีโทษและไม่มีโทษอะไรๆ และธรรมเป็นที่ตั้งแห่งกิเลสด้วยปฏิปทานี้นับได้ว่า อภิภู ผู้ครอบงำฟังดังนั้นแล้วรู้ยิ่งธรรมทั้งปวง ครอบงำธรรมที่มีโทษและธรรมที่ไม่มีโทษอะไรๆ ท่านเรียกผู้นั้นว่าผู้สมบูรณ์ด้วยสุตะ เพราะเป็นผู้สดับแล้ว อนึ่ง เพราะผู้ใดไม่มีความสงสัย พ้นแล้วจากเครื่องผูกคือกิเลส และเป็นผู้ไม่มีทุกข์ด้วยทุกข์ทั้งหลายมีราคะเป็นต้นในที่ทั้งปวง คือ ในธรรมทั้งปวงมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวผู้นั้นผู้ไม่มีความสงสัย ผู้หลุดพ้นแล้ว ผู้ไม่มีทุกข์ในธรรมทั้งปวงว่าเป็น โสตติยะ ผู้สมบูรณ์ด้วยสุตะ ดังนี้แล.


ความคิดเห็น 37    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 507

ก็ เพราะผู้ชื่อว่า เป็นอริยะ เพราะอันชนผู้ใคร่ประโยชน์เกื้อกูลพึงบูชา อธิบายว่า ควรเข้าถึงฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงคุณที่เป็นอริยะ จึงพยากรณ์ปัญหาที่สองด้วยคาถาว่า เฉตฺวา ตัดแล้ว.

บทนั้นมีความว่า บุคคลนั้นเป็นผู้รู้ เป็นผู้มีรัศมี เป็นผู้รู้มรรค ๔ ตัดแล้วคือ ทำลายอาสวะ ๔ อาลัย ๒ ด้วยศัสตราคือปัญญา ย่อมไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์ด้วยอำนาจภพใหม่ คือไม่เข้าถึงกำเนิดไรๆ บรรเทาสัญญา ๓ อย่าง มีกามเป็นต้น และเปือกตม คือ กามคุณ ย่อมไม่มาสู่กัปอย่างใดอย่างหนึ่งแห่งตัณหากัปและทิฏฐิกัป ท่านกล่าวผู้นั้นผู้ประกอบด้วยคุณมีการตัดอาสวะเป็นต้น อย่างนี้ว่าเป็นอริยะ หรือว่า ชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากบาปทั้งหลาย และชื่อว่า อนริยะ เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวด้วยความทุกข์ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความ แม้นั้น จึงทรงพยากรณ์ด้วยปัญหาที่สองแห่งคาถานี้. จริงอยู่ ธรรมลามกมีอาสวะเป็นต้น สมมติว่าเป็นทุกข์ ธรรมลามกเหล่านั้นอันเขาตัดแล้วบรรเทาแล้ว ทั้งไม่หวั่นไหวด้วยธรรมลามกเหล่านั้น จึงชื่อว่าเขาเป็นผู้ไกลธรรมเหล่านั้น และไม่เคลื่อนไปในธรรมเหล่านั้น ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวผู้นั้นว่าเป็นอริยะด้วย แนวนี้ว่า เขาเป็นผู้ไกลจากธรรมอันลามก ด้วยแนวนี้ว่า เขาไม่เคลื่อนไหวไปในความทุกข์. ในบทนี้พึงทราบว่าโยชนาแก้ไว้อย่างนี้. บทว่า วิทวา โส น อุเปติ คพฺภเสยฺยํ เขารู้แล้วย่อมไม่เข้าถึงการนอนในครรภ์นี้ เป็นคำสรรเสริญในการกำหนดความนี้.

ก็และในบทนี้ว่า จรณวา ผู้มีจรณะ เป็นอย่างไร. เพราะผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุด้วยจรณะทั้งหลาย ย่อมควรที่จะพึงกล่าวว่า จรณวา ผู้มี จรณะ. ดังนี้ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงบทว่า จรณวา นั้น จึงทรงพยากรณ์ ปัญหาที่สามด้วยคาถาว่า โย อิธ ผู้ใดในศาสนานี้ ดังนี้.


ความคิดเห็น 38    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 508

ในบทเหล่านั้น บทว่า โย อิธ คือ ผู้ใดในศาสนานี้. บทว่า จรเณสุ เพราะธรรม ๑๕ อย่าง ที่ท่านกล่าวไว้แล้วในเหมวตสูตรมีศีลเป็นต้น. บทว่า จรเณสุ เป็นสัตตมิวิภัตติลงในอรรถตติยาวิภัตติ. บทว่า ปตฺติปตฺโต คือ บรรลุธรรมที่ควรบรรลุ. ท่านอธิบายว่า ผู้ใดบรรลุพระอรหัตที่ควรบรรลุ เพราะมีจรณะเป็นนิมิต มีจรณะเป็นเหตุ มีจรณะเป็นปัจจัย. บทว่า จรณวา โส ผู้นั้นท่านกล่าวว่า มีจรณะ เพราะบรรลุธรรมที่ควรบรรลุนี้ด้วยจรณะทั้งหลาย. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันพยากรณ์ปัญหา. บทที่เหลือเป็นคำสรรเสริญของพราหมณ์นั้น อธิบายว่า ผู้ใดในศาสนาเป็นผู้บรรลุธรรมที่ควรบรรลุเพราะมีจรณะผู้นั้นเป็นผู้ฉลาด ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมคือนิพพานในกาลทุกเมื่อ เพราะมีจิตน้อมไปในนิพพาน ไม่ข้องอยู่ในธรรมมีขันธ์เป็นต้นทั้งปวง มีจิตพ้นแล้วด้วยวิมุตติทั้งสอง และไม่มีปฏิฆะ ดังนี้.

ก็เพราะผู้ชื่อว่า เป็นปริพาชก เพราะขับไล่กรรมเป็นต้นออกไปได้. ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงความนั้น จึงทรงพยากรณ์ปัญหาที่สี่แห่งคาถาว่า ทุกฺขเวปกฺกํ กรรมมีทุกข์เป็นผล ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในบทนั้นดังนี้ วิบากนั่นแหละชื่อว่า เวปกฺกํ. ที่ชื่อว่า ทุกฺขเวปกฺกํ เพราะมีทุกข์เป็นผล. ทุกข์แม้ทั้งหมดพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า กรรมอันประกอบด้วยธาตุ ๓ เพราะเหตุเกิดแห่งทุกข์ในปวัตติ. บทว่า อุทฺธํ คือ อดีต. บทว่า อโธ คือ อนาคต. บทว่า ติริยํ วาปิ มชฺเฌ คือ ปัจจุบัน. ก็บทว่า ติริยํ วาปิ มชฺเฌ ได้แก่ ไม่ใช่เบื้องบน ไม่ใช่เบื้องต่ำ ท่านกล่าวว่าขวาง ในระหว่างเบื้องบนเบื้องต่ำทั้งสองนั้น ท่านกล่าวว่าในท่ามกลาง. บทว่า ปริพฺพาชยิตฺวา ขับไล่ คือให้ออกไป กำจัดเสีย. บทว่า ปริญฺาจารี ได้แก่ กำหนดด้วยปัญญาเที่ยวไป. นี้เป็นเพียงพรรณนาบทที่


ความคิดเห็น 39    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 509

ยังไม่เคยมีมา แต่โยชนาอธิบายบทนี้ดังนี้ ผู้ใด ยังความเยื่อใยคือตัณหาและอวิชชาให้เหี่ยวแห้งไป ด้วยอริยมรรค ขับไล่กรรมอะไรๆ ทั้งหมดที่ทำให้เกิดทุกข์ แม้เนื่องด้วยกาล ๓ โดยกระทำไม่ให้ปฏิสนธิ อนึ่ง ครั้นขับไล่ไปแล้วชื่อว่ามีปรกติกำหนดด้วยปัญญาเที่ยวไป เพราะกำหนดกรรมนั้นเที่ยวไปไม่ใช่กรรมอย่างเดียว กำหนดการละธรรมแม้เหล่านั้น คือ มายา มานะ โลภ โกรธ ก็ชื่อว่าเป็นผู้กำหนดด้วยปัญญาเที่ยวไป ได้กระทำนามรูปให้ถึงที่สุดและกระทำที่สุดแห่งนามรูป คือ ขับไล่ไป มีความด้วยประการฉะนี้แล ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็นปริพาชก เพราะขับไล่กรรมเป็นต้นเหล่านี้เสียได้. บทว่า ปตฺติปตฺตํ บรรลุธรรมที่ควรบรรลุนี้ เป็นคำสรรเสริญของสภิยปริพาชกนั้น.

ในคาถาสรรเสริญมีอาทิว่า ยานิ จ ตีณิ ทิฏฐิ ๓ ของสภิยปริพาชก ผู้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาอย่างนี้. บทว่า โอสรณานิ ได้แก่ หยั่งลงสู่ลัทธิ อธิบายว่า ทิฏฐิทั้งหลาย. เพราะทิฏฐิเหล่านั้นรวมกันเป็น ๖๓ เพราะถือเอาทิฏฐิ ๖๓ ที่กล่าวแล้วในพรหมชาลสูตรกับสักกายทิฏฐิ และเพราะทิฏฐิเหล่านั้นเป็นวาทะของสมณะผู้เป็นเดียรถีย์อื่น อาศัยคัมภีร์ด้วยการอ้าง มิใช่ด้วยการเกิด แต่อาศัยอักขระคือความหมายรู้กัน คือมีชื่อเรียกว่า หญิง ชาย โดยการเกิด. สัญญาวิปริตย่อมเกิดแก่คนพาลทั้งหลายว่า ตนควรเป็นเช่นนี้ดังนี้ ด้วยมิจฉาปริวิตกและได้ยินว่า ทิฏฐิที่อาศัยทั้งสองอย่างนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจของสมณะผู้เป็นเดียรถีย์อื่นเหล่านั้น ไม่ใช่เห็นด้วยตนเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำจัดคือนำออกซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ทรงก้าวล่วงความมืด คือโอฆะได้แล้ว. พระองค์ทรงก้าวล่วงที่สุดแห่งโอฆะได้แล้ว ฉะนั้น จึงตรัสว่า ยานิ จ ตีณิ ฯเปฯ ตมคา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน พระองค์ทรงกำจัดทิฏฐิ ๓ และ ๖๐ ที่อาศัยคัมภีร์อันเป็นวาทะ


ความคิดเห็น 40    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 510

เป็นประธานของสมณะผู้ถือลัทธิอื่น ที่อาศัยอักขระคือความหมายรู้กัน (ว่าหญิงว่าชาย) และสัญญาอันวิปริต ทรงก้าวล่วงความมืด. ต่อจากนั้นสภิยปริพาชกกล่าวว่า อนฺตคูสิ ปารคู ทุกฺขสฺส พระองค์เป็นผู้ถึงที่สุด ถึงฝั่งแห่งทุกข์ดังนี้ หมายถึงที่สุดและฝั่งแห่งทุกข์ในวัฏฏะคือนิพพาน เพราะไม่เกิด เพราะไม่มีทุกข์และเพราะตรงกันข้ามกับทุกข์ในวัฏฏะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ควรทราบการผูกในประโยคนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า เป็นผู้ถึงฝั่ง เพราะถึงพระนิพพานแล้ว สภิยปริพาชกเมื่อจะกราบทูลกะพระองค์ จึงกราบทูลว่า ปารคู อนฺตคูสิ ทุกฺขสฺส พระองค์ถึงฝั่งคือถึงที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้.

ชื่อว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ เพราะตรัสรู้โดยชอบ และตรัสรู้เอง. บทว่า ตํ ตํ มญฺเ สำคัญพระองค์ว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว ความว่า อาจารย์บางพวกกล่าว ด้วยความเคารพยิ่งว่า ตเมว มญฺามิ น อญฺํ ข้าพเจ้าสำคัญพระองค์เท่านั้น ไม่สำคัญผู้อื่น. บทว่า ชุติมา มีความรุ่งเรือง คือ ถึงพร้อมด้วยความสว่างโดยกำจัดความมืดของผู้อื่น. บทว่า มติมา มีความรู้ คือถึงพร้อมด้วยความรู้คือปัญญาสามารถรู้สิ่งที่ควรรู้ อันเป็นปัจจัยแห่งความรู้อื่นๆ. บทว่า ปหูตปญฺโ มีพระปัญญามาก คือมีพระปัญญาหาที่สุดมิได้. ในบทนี้ท่านประสงค์เอาสัพพัญญุตญาณ. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกรา ทรงช่วยข้าพระองค์ผู้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ สภิยปริพาชกกราบทูลเรียกจึงกล่าวดังนั้น. บทว่า อตาเรสิ มํ พระองค์ยังข้าพระองค์ให้ข้ามได้แล้ว คือ ยังข้าพระองค์ให้ข้ามพ้นจากความสงสัย.

สภิยปริพาชกกล่าวถึงการกระทำความนอบน้อมด้วยกึ่งคาถาว่า ยมฺเม ดังนี้. ในบทเหล่านั้นบทว่า กงฺขิตํ พ้นความสงสัย สภิยปริพาชกกล่าว หมายถึงความอันอาศัยปัญหา ๒๐ ข้อ เพราะสภิยปริพาชกนั้น ได้มีความ


ความคิดเห็น 41    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 511

สงสัยด้วยความนั้น. บทว่า โมนปเถสุ ในทางแห่งมุนี คือในทางแห่งญาณ. บทว่า วินฬีกตา ผู้ไม่มีกิเลสดุจหลักตอ. คือปราศจากกิเลสเพียงดังหลักตอ ท่านอธิบายว่า ตัดขาดแล้ว. บทว่า นาค นาคสฺส พระองค์ผู้เป็นพระนาคผู้ประเสริฐยิ่ง นี้เป็นคำร้องเรียกอย่างหนึ่ง สัมพันธ์ด้วยคำนี้ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐตรัสอยู่พวกปริพาชกย่อมชื่นชม. บาลีว่า ธมฺมเทสนํ เป็นบาลีเกิน. บทว่า สพฺเพ เทวา เทวดาทั้งปวง ได้แก่ อากาสัฏฐเทวดาและภุมมัฏฐเทวดา. บทว่า นารทปพฺพตา นัยว่า หมู่เทวดาทั้งสองนั้นแม้นั้นเป็นผู้มีปัญญา ก็ยังอนุโมทนา เพราะเหตุนั้น สภิยปริพาชกจึงกล่าวทำความนอบน้อมด้วยความเลื่อมใสทั้งหมด สภิยปริพาชกสดับความสมบูรณ์แห่งพยากรณ์ อันสมควรแก่การอนุโมทนา จึงประคองอัญชลีกล่าวว่า นโม เต ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ดังนี้. บทว่า ปุริสาชญฺา ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษอาชาไนย คือ ข้าแต่พระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติในบรรดาบุรุษทั้งหลาย. บทว่า ปฏิปุคฺคโล ได้แก่ บุคคลผู้มีส่วนเปรียบเสมอพระองค์. พระองค์ชื่อ ว่าเป็นพระพุทธเจ้า เพราะแทงตลอดอริยสัจ ๔ พระองค์ชื่อว่าเป็นพระศาสดา เพราะทรงพร่ำสอน และเพราะนำคำสอนมาให้ พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้ครอบงำมาร เพราะครอบงำมาร ๔ พระองค์ชื่อว่าเป็นมุนี คือเป็นมุนีผู้ตรัสรู้แล้ว. บทว่า อุปธิ ได้แก่ อุปธิ ๔ อย่าง คือ ขันธ์ กิเลส กาม และอภิสังขาร. บทว่า วคฺคุ คือมีรูปงาม. บทว่า ปญฺเ จ ได้แก่ โลกิยปัญญา พระองค์ไม่ทรงติดอยู่ในบุญและบาป เพราะไม่ทำบุญและบาปเหล่านั้นบ้าง เพราะไม่มีการเสวยผลของบุญและบาปที่ทำในกาลก่อนต่อไปบ้าง เพราะฉาบทาด้วยตัณหาและทิฏฐิอันมีบุญและบาปนั้นเป็นนิมิตบ้าง. สภิยปริพาชกกล่าวอย่างนี้ว่า วนฺท ติ สตฺถุโน สภิยะขอถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาแล้วหมอบลง ณ ข้อพระบาทถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์.


ความคิดเห็น 42    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 512

บทว่า อญฺติตฺถิยปุพฺโพ คืออัญญเดียรถีย์นั่นเอง. บทว่า อากงฺขติ แปลว่า ย่อมปรารถนา. บทว่า อารทฺธจิตฺตา พอใจ คือยินดีแล้ว. บทว่า อปิจ เมตฺถ ปุคฺคลเวมตฺตตา วิทิตา ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้ ความว่า เรารู้ความต่างแห่งบุคคลในการอยู่ปริวาสนี้ของอัญญเดียรถีย์ทั้งหลาย ไม่ไช่ควรอยู่ปริวาสทั้งหมด. ก็เพราะเหตุไรจึงไม่ควรอยู่ปริวาสทั้งหมด. อันชฎิลผู้บูชาไฟ และอันเจ้าศากยะโดยชาติ ละเพศมาแล้ว อนึ่ง ผู้ใดแม้ยังไม่ละเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุเพื่อได้มรรคและผล แม้มาแล้ว เช่นสภิยปริพาชกนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน สภิยะ ท่านไม่มีเหตุจะต้องอยู่ปริวาสเพื่อบำเพ็ญวัตรของเดียรถีย์ ท่านต้องการประโยชน์ สมบูรณ์ด้วยเหตุเพื่อได้มรรคผล ข้อนั้นเรารู้แล้ว เมื่อจะทรงอนุญาตให้สภิยปริพาชกบรรพชา จึงตรัสว่า อปิจ เมตฺถ ปุคฺคลเวมตฺตา วิทิตา ก็แต่ว่าเรารู้ความต่างแห่งบุคคลในข้อนี้ ดังนี้. ฝ่ายสภิยะเมื่อจะแสดงความเคารพของตน จึงกราบทูลว่า สเจ ภนฺเต ดังนี้. บททั้งหมดและบทอื่นจะไม่พรรณนาในที่นี้ เพราะมีความง่าย และเพราะมีนัยดังได้กล่าวแล้ว ในหนก่อน พึงทราบอย่างเดียวกับที่กล่าวแล้วในหนก่อนนั่นแล.

จบอรรถกถาสภิยสูตรที่ ๖ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย

ชื่อปรมัตถโชติกา