๕. วัปปสูตร ว่าด้วยเจ้าวัปปะเสด็จเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
โดย บ้านธัมมะ  24 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38990

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 490

จตุตถปัณณาสก์

มหาวรรคที่ ๕

๕. วัปปสูตร

ว่าด้วยเจ้าวัปปะเสด็จเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 490

๕. วัปปสูตร

ว่าด้วยเจ้าวัปปะเสด็จเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ

[๑๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะพระนามว่าวัปปะ เป็น สาวกของนิครนถ์ เสด็จเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ ทรงอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้กล่าวว่า ดูก่อนวัปปะ บุคคลในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวม


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 491

ด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะ ที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาไปตามบุคคลในสัมปรายภพ หรือไม่ วัปปศากยราชตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ในปางก่อนซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพอันมีบาปกรรมนั้นเป็นเหตุ ท่านพระมหาโมคคัลลานะสนทนากันวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ค้างอยู่เพียงนี้เท่านั้น ครั้งนั้นแล เวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระมหาโมคคลัลานะว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ บัดนี้ เธอทั้งหลายประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร และเธอทั้งหลายพูดอะไรค้างกันไว้ในระหว่าง.

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ได้กล่าวกะวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ว่า ดูก่อนวัปปะ บุคคลในโลก พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวมด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะที่เป็นเหตุ ให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว วัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ในปางก่อนซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพ อันมีบาปกรรมนั้นเป็นเหตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สนทนากับวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ค้างอยู่เพียงนี้แล ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสด็จมาถึง.

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ว่า ดูก่อนวัปปะ ถ้าท่านจะพึงยินยอมข้อที่ควรยินยอม และคัดค้าน


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 492

ข้อที่ควรคัดค้านต่อเรา และท่านไม่รู้ความแห่งภาษิตของเราข้อใด ท่านพึงซักถามในข้อนั้นยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้อย่างไร ความแห่งภาษิตข้อนี้อย่างไร ดังนี้ไซร้ เราพึงสนทนากันในเรื่องนี้ได้ วัปปศากยราชกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักยินยอมข้อที่ควรยินยอม และจักคัดค้านข้อที่ควรคัดค้านต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า อนึ่ง ข้าพระองค์ไม่รู้ความแห่งภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าข้อใด ข้าพระองค์จักซักถามพระผู้มีพระภาคเจ้าในข้อนั้นยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้อย่างไร ความแห่งภาษิตข้อนี้อย่างไร ขอเราจงสนทนากันในเรื่องนี้เถิด พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางกายเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางกายแล้ว อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดูก่อนวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่.

วัป. ไม่เห็น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใด ก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางวาจาเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางวาจาแล้ว อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ... วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดูก่อนวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพนั้นหรือไม่


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 493

วัป. ไม่เห็น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะการกระทำทางใจเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำทางใจแล้ว อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ... วิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดูก่อนวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพ นั้นหรือไม่.

วัป. ไม่เห็น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน เหล่านั้นย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลส ให้พินาศ... อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดูก่อนวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคลในสัมปรายภพ นั้นหรือไม่.

วัป. ไม่เห็น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนวัปปะ เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมบรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ ๖ ประการ เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู....สูดกลิ่นด้วยจมูก... ลิ้มรสด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็น


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 494

ที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น ดูก่อนวัปปะ เงาปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้ ครั้งนั้น บุรุษพึงถือจอบและตะกร้ามา เขาตัดต้นไม้นั้นที่โคน ครั้นแล้ว ขุดคุ้ยเอารากขึ้น โดยที่สุดแม้เท่าต้นแฝกก็ไม่ให้เหลือ เขาตัดผ่าต้นไม้นั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระทำให้เป็นซีกๆ แล้วผึ่งลมและแดด ครั้นผึ่งลมและแดดแห้งแล้วเผาไฟ กระทำให้เป็นขี้เถ้า โปรยในที่มีลมพัดจัดหรือลอยในกระแสน้ำอันเชี่ยวในแม่น้ำ เมื่อเป็นเช่นนั้น เงาที่ปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้นั้น มีรากขาดสูญ ประดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา แม้ฉันใด ดูก่อนวัปปะ ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมได้บรรลุธรรมเป็นเครื่องอยู่เนืองนิตย์ ๖ ประการ เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู... สูดกลิ่น ด้วยจมูก... ลิ้มรสด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฎฐัพพะด้วยกาย... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวนเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป เวทนาทั้งปวงอันไม่น่าเพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษต้องการกำไร เลี้ยงลูกม้าไว้ขาย (ถ้าลูกม้าตายหมด) เขาพึงขาดทุน ซ้ำยังต้อง หน็ดเหนื่อยลำบากใจยิ่งขึ้นไป แม้ฉันใด ข้าพระองค์หวังกำไรเข้าคบหานิครนถ์ผู้โง่ ต้องขาดทุน ทั้งต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจยิ่งขึ้นไป ก็ฉันนั้น


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 495

เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์นี้จักโปรยความเลื่อมใสในพวกนิครนถ์ผู้โง่เขลาเสียในที่ลมพัดจัด หรือลอยเสียใน แม่น้ำ อันมีกระแสเชี่ยว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืดด้วยหวังว่า คนผู้มีจักษุ จักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบวัปปสูตรที่ ๕

อรรถกถาวัปปสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในวัปปสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า วปฺโป ได้แก่ เจ้าศากยะผู้เป็นพระเจ้าอาของพระทศพล บทว่า นิคณฺสาวโก ได้แก่ เป็นอุปฐากของนิคัณฐนาฏบุตร ดุจสีหเสนาบดี ในกรุงเวสาลี และดุจอุปาลิคฤหบดีในเมืองนาฬันทา. บทว่า กาเยน สํวุโต ความว่า ชื่อว่า สำรวมด้วยกาย เพราะสำรวมคือปิดกายทวาร. แม้ในสองบท ที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อวิชฺชาวิราคา ได้แก่ เพราะอวิชชาคลายสิ้นไป. บทว่า วิชฺชุปฺปาทา ได้แก่ เพราะมรรควิชชาเกิดขึ้น. บทว่า ตํ านํ แปลว่าเหตุนั้น. บทว่า อวิปกฺกวิปากํ ได้แก่ ยังไม่ถึงวาระได้รับผล. บทว่า ตโตนิทานํ ได้แก่ มีกรรมนั้นเป็นเหตุ มีบาปกรรมนั้นเป็นปัจจัย.


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 496

บทว่า ทุกฺขเวทนิยา อาสวา อสฺสเวยฺยุํ ความว่า กิเลสทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไหลไปตาม คือพึงเข้าไปตาม อธิบายว่า กิเลส ทั้งหลายพึงเกิดขึ้นแก่บุรุษนั้น. บทว่า อภิสมฺปรายํ ได้แก่ ในอัตภาพที่สองนั้นแล. บทว่า กายสมารมฺภปจฺจยา แปลว่า เพราะกายกรรมเป็นปัจจัย. บทว่า อาสวา ได้แก่ กิเลสทั้งหลาย. ในบทว่า วิฆาตปริฬาหา นี้ ทุกข์ ชื่อว่าวิฆาตะ ความเร่าร้อนทางกายและทางจิต ซึ่งว่าปริฬาหะ. บทว่า ผุสฺส ผุสฺสพฺยนฺตีกโรติ ความว่า กรรมที่ญาณจะพึงฆ่า พอกระทบญาณสัมผัสก็สิ้นไป กรรมที่วิบากจะพึงฆ่า พอกระทบวิบากสัมผัส ก็สิ้นไป. บทว่า นิชฺชรา ได้แก่ ปฏิปทาที่ทำกิเลสให้โซมไป. แม้ในวาระที่เหลือก็นัยนี้ เหมือนกัน.

ภิกษุนี้ดำรงอยู่ในปฏิปทานี้ ควรเป็นพระขีณาสพ. ควรนำมหาภูตรูป ๔ ออกแล้วแสดงการกำหนดด้วยอริยสัจ ๔ แล้วพึงบอกกรรมฐาน จนถึงอรหัตตผล. ก็บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงแสดงสตตวิหารธรรม ธรรมเครื่องอยู่ประจำของพระขีณาสพนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า เอวํ สมฺมาวิมุตฺตจิตฺตสฺส ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมาวิมุตฺตสฺส ได้แก่ พ้นแล้วโดยชอบ โดยเหตุการณ์ โดยนัย. บทว่า สตตวิหารา ได้แก่ ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นนิจ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ประจำ. บทว่า เนว สุมโน โหติ ได้แก่ เป็นผู้ไม่เกิดโสมนัสด้วยอำนาจความกำหนัดในอิฏฐารมณ์. บทว่า น ทุมฺมโน ได้แก่ไม่เป็นผู้เกิดโทมนัสด้วยอำนาจความขุ่นใจในอนิฏฐารมณ์. บทว่า อุเปกฺขโก วิหรติ สโต สมฺปชาโน ได้แก่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีความเป็นกลางในอารมณ์เหล่านั้น ด้วยอุเบกขา มีอาการคือความเป็นกลาง เป็นลักษณะกำหนดถือเอา ด้วยสติสัมปชัญญะอยู่.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 497

บทว่า กายปริยนฺติกํ ได้แก่ เวทนามีกายเป็นที่สุด คือกำหนดด้วยกาย อธิบายว่า เวทนาเป็นไปในทวาร ๕ ยังเป็นไปอยู่ตราบเท่าที่กาย คือ ทวาร ๕ ยังเป็นไปอยู่. บทว่า ชีวิตปริยนฺติกํ ได้แก่เวทนามีชีวิตเป็นที่สุด คือ กำหนดด้วยชีวิต อธิบายว่า เวทนาอันเป็นไปในมโนทวาร ยังเป็นไปอยู่ตราบเท่าที่ชีวิตยังเป็นไปอยู่. ในเวทนาเหล่านั้น เวทนาอันเป็นไปในทวาร ๕ เกิดทีหลังแต่ดับก่อน. เวทนาอันเป็นไปในมโนทวารเกิดก่อนแต่ดับทีหลัง เพราะเวทนานั้นตั้งอยู่ในวัตถุรูปในขณะปฏิสนธิ. เวทนาอันเป็นไปในทวาร ๕ ยังเป็นไปอยู่ด้วยอำนาจปัญจทวารในปัจจุบัน คราวมีอายุ ๒๐ ปี ในปฐมวัย ยังมีกำลังแข็งแรงด้วยอำนาจความรัก ความโกรธและความหลง คราวมีอายุ ๕๐ ปี ยังคงที่อยู่ จะลดลงตั้งแต่อายุ ๖๐ ปี คราวอายุ ๘๐ - ๙๐ ปี ก็น้อยเต็มที. ด้วยว่าในครั้งนั้นสัตว์ทั้งหลาย แม้เมื่อมีผู้กล่าวว่า พวกเรานั่งนอนร่วมกันมานานแล้ว ก็พูดว่า เราไม่รู้ดังนี้ก็มี พูดว่า เราไม่เห็นอารมณ์มีรูป เป็นต้น แม้มีประมาณมาก เราไม่ได้ยิน เราไม่รู้กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น รสอร่อย รสไม่อร่อย หรือแข็งอ่อน ดังนี้ก็มี. เวทนาเป็นไปในทวาร ๕ ของสัตว์เหล่านั้น ถึงจะดับไป. แต่เวทนาเป็นไปในมโนทวาร ก็ยังเป็นไปอยู่ด้วยประการฉะนี้. เวทนานั้นเสื่อมไปโดยลำดับ ในเวลาใกล้ตายอาศัยส่วนของหทยวัตถุเท่านั้นยังเป็นไปอยู่ได้. ก็เวทนานั้นยังเป็นไปอยู่ได้เพียงใด ท่านกล่าวว่าสัตว์ยังมีชีวิตอยู่ได้เพียงนั้น. เมื่อใดเวทนาเป็นไปไม่ได้ เมื่อนั้น ท่านกล่าวว่า สัตว์ตายแล้ว ดับแล้ว ดังนี้. พึงเปรียบความข้อนี้นั้นด้วยหนองน้ำ.

เหมือนอย่างว่า บุรุษพึงทำหนองน้ำให้มีทางน้ำ ๕ ทาง เมื่อฝนตกครั้งแรก พึงให้น้ำเข้าไปโดยทางน้ำทั้ง ๕ แล้วขังน้ำไว้ในบ่อ ภายในหนองน้ำให้เต็ม เมื่อฝนตกบ่อยๆ น้ำเต็มในทางของน้ำ แล้วท่วมล้นออกไปประมาณคาวุตหนึ่งหรือกึ่งโยชน์ น้ำยังขังอยู่ น้ำเมื่อไหลออกจากนั้น เมื่อชาวนาเปิด


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 498

คันกั้นน้ำ ทำงานในนา น้ำไหลออก คราวข้าวกล้าแก่น้ำก็ไหลออก น้ำงวดไป ชาวนาก็พูดว่า เราจะจับปลา จากนั้นล่วงไป ๒ - ๓ วัน น้ำก็ขังอยู่แต่ในบ่อ เท่านั้น ก็ตราบใดน้ำนั้นยังมีในบ่อ ตราบนั้นก็นับได้ว่า น้ำยังมีในหนองน้ำ แต่เมื่อใด น้ำในบ่อนั้นขาด เมื่อนั้น ก็เรียกได้ว่า น้ำไม่มีในหนองน้ำ ฉันใด ข้ออุปไมยพึงทราบฉันนั้น.

เวลาที่เวทนาอันเป็นไปในมโนทวาร ตั้งอยู่ในวัตถุรูปในขณะปฏิสนธิครั้งแรก เหมือนเวลาที่เมื่อฝนตกครั้งแรก เมื่อน้ำไหลเข้าไปโดยทางทั้ง ๕ บ่อก็เต็ม เมื่อวัตถุรูปยังเป็นไปอยู่ เวทนาอันเป็นไปในทวาร ๕ ก็เป็นไปอยู่ได้ เหมือนเวลาที่เมื่อฝนตกบ่อยๆ น้ำเต็มทางทั้ง ๕ ความที่เวทนานั้นมีกำลังมาก ยิ่งด้วยอำนาจความรักเป็นต้น คราวที่มีอายุ ๒๐ ปี ในปฐมวัยเหมือนการที่น้ำท่วมล้นไปประมาณคาวุตหนึ่งแสะกึ่งโยชน์ เวลาที่เวทนานั้นยังคงที่อยู่ คราวที่มีอายุ ๕๐ ปี เหมือนเวลาที่น้ำยังขังอยู่เต็มในหนองน้ำ ตราบเท่าที่น้ำยังไม่ไหลออกจากหนองน้ำนั้น เวทนาเสื่อมตั้งแต่เวลาที่มีอายุ ๖๐ ปี เหมือนเวลาที่เมื่อเปิดคันกั้นน้ำ เมื่อทำงานน้ำก็ไหลออก เวลาที่เวทนาอันเป็นไปในทวาร ๕ อ่อนลง เมื่อมีอายุ ๘๐ - ๙๐ ปี เหมือนเวลาที่เมื่อน้ำงวด ยังมีน้ำเหลืออยู่นิดหน่อยที่ทางน้ำ เวลาที่เวทนาในมโนทวารยังเป็นไปอยู่ได้ เพราะอาศัยส่วนแห่งหทัยวัตถุ เหมือนเวลาที่น้ำยังขังอยู่ในบ่อนั่นเอง ตราบใด ที่เวทนานั้นยังเป็นไปอยู่ได้ ตราบนั้นก็เรียกได้ว่า สัตว์ยังมีชีวิตอยู่ เหมือนเวลาที่ควรจะพูดได้ว่า เมื่อในบ่อมีน้ำแม้นิดหน่อย น้ำในหนองน้ำก็ยังมีอยู่. ก็เมื่อน้ำในบ่อขาด ก็เรียกได้ว่า ไม่มีน้ำในหนองน้ำ ฉันใด เมื่อเวทนาเป็นไปในมโนทวารเป็นไปไม่ได้ ก็เรียก ได้ว่า สัตว์ตายฉันนั้น. บทว่า ชีวิตปริยนฺติกํ เวทนํ เวทิยมาโน ท่านกล่าวหมายถึงเวทนานี้แล.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 499

บทว่า กายสฺส เภทา ได้แก่ กายแตก. บทว่า อุทฺธํ ชีวิตปริยาทานา ได้แก่ เบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิตไป. บทว่า อิเธว ได้แก่ ในโลกนี้เท่านั้น ไม่ไปข้างหน้า ด้วยอำนาจปฏิสนธิ. บทว่า สีติ ภวิสฺสนฺติ ได้แก่ เวทนาทั้งปวง เว้นจากความเป็นไป ความดิ้นรนและความกระวนกระวายก็จักเป็นของเย็น มีอันไม่เป็นไปเป็นธรรมดา.

บทว่า ถูณํ ปฏิจฺจ ได้แก่ อาศัยต้นไม้. บทว่า กุทฺทาลปิฏกํ อาทาย ความว่า ถือจอบ เสียม และตะกร้า แต่เทศนาท่านมุ่งแต่จอบเท่านั้น. บทว่า มูเล ฉินฺเทยฺย ได้แก่ พึงเอาจอบตัดที่โคน. บทว่า ปลิขเณยฺย ได้แก่ เอาเสียมขุดโดยรอบ. ในข้อว่า เอวเมว โข นี้ เทียบด้วยอุปมา ดังนี้. อัตภาพพึงเห็นเหมือนต้นไม้ กุศลกรรมและอกุศลกรรมเหมือนเงาอาศัยต้นไม้ พระโยคาวจรเหมือนบุรุษผู้ประสงค์จะทำเงาไม่ให้เป็นไป ปัญญาเหมือนจอบ สมาธิเหมือนตะกร้า วิปัสสนาเหมือนเสียม เวลาที่ตัดอวิชชาด้วยอรหัตตมรรค เหมือนเวลาที่เอาเสียมขุดราก เวลาที่เห็นเป็นกอง เหมือนเวลาที่ทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เวลาที่เห็นเป็นอายตนะเหมือนเวลาที่ผ่าออก เวลาที่เห็นเป็นธาตุเหมือนเวลาที่ทำให้เป็นผง เวลาที่ทำความเพียรทางกายทางจิต เหมือนเวลาที่ตากให้แห้งที่ลมและแดด เวลาที่เผากิเลสด้วยญาณ เหมือนเวลาที่เอาไฟเผา เวลาที่ขันธ์ ๕ ยังทรงอยู่ เหมือนเวลาที่ทำเป็นเขม่า การดับขันธ์ ๕ ที่มีรากตัดขาดแล้วโดยไม่มีปฏิสนธิ เหมือนเวลาที่โปรยไปในพายุใหญ่ เหมือนเวลาที่ลอยไปในกระแสน้ำ ความที่ไม่มีบัญญัติ เพราะวิบากขันธ์ไม่เกิดในภพใหม่ พึงทราบเหมือนการเข้าไปสู่ความไม่มีบัญญัติ โดยโปรยไปและลอยไป.

บทว่า ภควนฺตํ เอตทโวจ ความว่า เมื่อพระศาสดาทรงยักเยื้องเทศนาอยู่ วัปปศากยราชบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว ได้กราบทูลคำเป็นต้นว่า


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 500

เสยฺยถาปิ ภนฺเต ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า อุทฺรยตฺถิโก คือเป็นผู้มีความต้องการกำไร. บทว่า อสฺสปณิยํ โปเสยฺย ความว่า พึงเลี้ยง ด้วยคิดว่า เราจักซื้อลูกม้า ๕๐๐ ตัว แล้วจึงขายในภายหลัง. ต้องใช้เครื่องอุปกรณ์ประมาณ ๕๐๐ เป็นค่าเลี้ยงดูม้าที่มีราคาพันหนึ่ง โดยเป็นของหอมและดอกไม้ เป็นต้น. ต่อมาม้าเหล่านั้นของเขาเกิดโรควันเดียวเท่านั้นก็ตายหมด เพราะเหตุนั้น เขากล่าวอย่างนี้ ด้วยความประสงค์นี้. บทว่า อุทฺรยญฺเจว นาธิคจฺเฉยฺย ได้แก่ ไม่ได้ทั้งกำไร ทั้งทุนที่ลงไป. บทว่า ปยิรูปาสึ ได้แก่ บำรุงด้วยปัจจัย ๔. บทว่า โสหํ อุทฺรยญฺเจว นาธิคจฺฉึ ความว่า ข้าพระองค์ไม่ได้กำไร ทั้งขาดทุนอีกด้วย. ท่านแสดงว่า เราชื่อว่าเป็นคนบำรุงม้าไว้ขาย. คำที่เหลือในบทนี้มีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาวัปปสูตรที่ ๕