ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เดินทางไปสนทนาธรรม ที่ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ ๒๙ - ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
เป็นการเดินทางไปสนทนาธรรมตามปรกติ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ปีละ ๒ ครั้ง ซึ่งจัดการสนทนาโดย ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่
ข้าพเจ้าซึ่งโดยปรกติจะเดินทางมาพร้อมคณะฯ จากกรุงเทพฯ เมื่อถึงสนามบิน ทางท่านเจ้าภาพชมรมบ้านธัมมะ มศพ.ที่เชียงใหม่ จัดรถไว้รับไปสู่สถานที่สนทนาธรรม และ จากที่สนทนาธรรม ก็นำทุกท่าน กลับมาส่งขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯเลย เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เพื่อนๆ ที่เชียงใหม่ของข้าพเจ้าจึงต่อว่า ที่ไม่ได้แวะเยี่ยมเยือนเลย ครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัวล่วงหน้าสามวัน เพื่อพบกับเพื่อนๆ ก่อน ทั้งนี้ ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เป็นไปเพียงความสนุกสนานแต่ประการเดียว
แต่ได้เกื้อกูลความเข้าใจธรรม และขณะที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่การได้ยินได้ฟังธรรม ซึ่งทั้งหมด ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ความติดข้องต้องการ ที่จะให้ผู้นั้นผู้นี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เช้าวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ราว ๑๐.๓๐ น. ข้าพเจ้าและครอบครัว ก็เดินทางไปสมทบกับสหายธรรม ที่ สนามบินนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรอรับคณะของท่านอาจารย์ เมื่อท่านอาจารย์เดินทางมาถึง ชมรมบ้านธัมมะเชียงใหม่ ก็พาทุกท่าน ไปรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งได้มีการจองและจัดเตรียมไว้รอรับอย่างดี ระหว่างทาง มีป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้เข้าร่วมรับฟังการสนทนาธรรมด้วย เพิ่งเคยเห็นภาพท่านอาจารย์ในลักษณะ และในสถานที่สาธารณะแบบนี้ รู้สึกปลื้มใจครับ กราบอนุโมทนาท่านผู้จัดทำด้วยครับ
นอกจากอาหารพื้นเมืองแสนอร่อยแล้ว ทุกคนยังได้รับแจกลำไย จากอาจารย์พีรพล ซึ่งท่านไปขนใส่รถมาจากสวนของท่านเองที่จังหวัดลำพูน
โดยพี่ฝนและพี่ชุมพร ได้กรุณาจัดใส่ถุงใบโต แจกทุกๆ คนไปรับประทานที่ที่พักอีกด้วย ข้าพเจ้าเองได้รับแจกมาถึงสองถุงครับ หวานกรอบ อร่อยมากครับ ขออนุโมทนาครับ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ก็เดินทางมายังโรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง เพื่อสนทนาธรรม วันนี้ มีผู้เข้าฟังการสนทนามากเต็มทุกที่นั่งครับ นอกจากนี้ ทางมูลนิธิฯ ยังนำหนังสือ เกิดแก่เจ็บตาย มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา พร้อมทั้งไดอารี่ภาพ ทั้งเล่มเล็ก เล่มใหญ่ มาแจก พร้อมทั้งภาพพระรัตนบุษยภาชน์ฯ ที่แจกให้ทุกคน รวมทั้งผู้สมัครสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ นอกจากนั้น คุณคำปั่น ยังนำแผ่นเอ็มพีสาม ๘๖ ธรรมะเตือนใจ ที่อาจารย์อรรณพจัดทำ และเป็นชุดที่ขายดีที่สุดในขณะนี้ มีผู้ซื้อไปแจกมากมาย ขายดีจนทำไม่ทัน มาบริการด้วย อนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจ และ ซาบซึ้งใจ ในความเมตตาเกื้อกูล ของท่านสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ.จังหวัดเชียงใหม่ ทุกท่าน
ที่จัดการสนทนาธรรมในทุกๆ ครั้ง แม้ในครั้งนี้อย่างดียิ่ง เป็นที่น่าประทับใจแก่ทุกท่าน ที่ได้เข้าร่วมฟัง และ ร่วมสนทนา เป็นการให้ธรรมทานอันประเสริฐดังที่ทรงแสดงไว้ อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขออนุญาตนำความสนทนาในวันนั้น มาฝากให้ทุกท่านพิจารณา เพื่อยังประโยชน์แก่ทุกๆ ท่าน ตามควรแก่กาล นะครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ท่านอาจารย์ พอได้ยินคำว่า "ธรรมะ" บางคนก็อาจจะเข้าใจว่า เป็นสิ่งซึ่งต้องไปแสวงหาที่อื่น แต่ไม่ทราบว่า คำนี้ เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษามคธี ภาษาธรรมดาของชาวมคธ แต่เนื่องจากเป็นภาษาที่ดำรงไว้ซึ่งพระศาสนา ใช้คำว่า "ปาละ" ดำรงไว้ ก็เป็นภาษา บาลี หรือ ปาลี เพราะว่าภาษาไทย เราไม่ใช้ตัว "ป" แต่ใช้ตัว "บ" เพราะฉะนั้น แทนที่จะบอกว่าภาษาปาลีอย่างสากล เราก็ใช้แบบไทย คือ ภาษาบาลี
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง
ก็ควรที่จะ "เข้าใจทุกคำ" จริงๆ
เช่น "ธรรมะ" อาจจะเคยคิดว่า เป็นอย่างอื่น ต้องไปแสวงหา แต่ว่า ตามความเป็นจริง สิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ
การที่มีสิ่งที่มีจริงๆ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เลย ไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตั้งแต่เกิดจนตาย
แต่ก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของเห็น หรือว่า ได้ยิน หรือว่า คิดนึก "แต่ละหนึ่ง" ซึ่งมีในชีวิตประจำวัน
จนกระทั่ง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะได้ทรงตรัสรู้ความจริง แล้วก็พูดคำจริง คือ วาจาสัจจะ
แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ให้เข้าใจถูกต้อง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะคิดได้เลย
จะคิดนึกอย่างไร ก็เกินวิสัยที่จะสามารถรู้ความละเอียดยิ่ง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
ว่า "แต่ละหนึ่ง" คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น การที่จะได้ฟังพระธรรม ก็ต้องทราบว่า
ธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง แน่นอน
กำลังปรากฏ
แต่ว่า ลึกซึ้ง ใครจะรู้ หรือ ไม่รู้ สภาพธรรมะนั้น ก็เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
แต่ละคนที่เกิดมา ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเลย สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ได้ไหม? ก็ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตาย เกิดมาแล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ นอกจากคนที่ ได้สะสมความสนใจ ความใส่ใจ ที่จะเข้าใจความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ เช่น ขณะนี้มี "เห็น" แล้วก็ดูเหมือนว่า เป็นคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีดอกไม้ มีอะไรตั้งหลายอย่าง แต่ว่า "เห็น" คือ อะไร? "สิ่งที่ปรากฏทางตา" คือ อะไร?
บางคนก็คิดว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ ก็ไม่เป็นไร
ก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือ ไม่รู้
แต่ถ้าคนที่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟัง แล้วก็คิดว่า เป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้
สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ สามารถที่จะรู้ได้ เข้าใจได้
สนใจไหม?
ที่จะได้รู้ และ ได้เข้าใจความจริง
ถ้าเป็นผู้ที่ใส่ใจ สนใจ และ เห็นประโยชน์ ว่าเกิดมาแล้ว ไม่รู้ความจริง ที่มีอยู่ทุกวัน กับเกิดมาแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รู้ ได้เข้าใจถูกต้อง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ผู้นั้นก็มีการที่จะได้ฟังธรรมะ ซึ่งลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้พิจารณา ไม่ใช่ว่า พอฟังแล้ว เข้าใจได้ทันที อย่าง "เห็น" ก็เหมือนรู้แล้ว "ได้ยิน" ก็เหมือนรู้แล้ว
แต่ว่า ไม่ได้รู้เลย ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาสได้ฟัง ก็ควรที่จะได้เห็นประโยชน์
ของการที่ว่า ตลอดชีวิต ต้องเห็น แล้วก็ต้องได้ยิน แล้วก็เห็นก็ไม่ใช่เห็นไปเลย ยังสามารถที่จะจำสิ่งที่ปรากฏ คิดนึก เป็นเรื่องราวต่างๆ จนตลอดชีวิต แต่ก็ไม่รู้เลย ว่าเพียงแค่หลับ สิ่งที่ปรากฏ เรื่องราวทั้งวันนี้ ก็ไม่เหลือแล้ว ขณะนี้ กำลังเป็นอย่างนี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ก็นึกไม่ออก ว่าอยู่ที่นี่ ทำอะไร? เห็นอะไร? เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็เพียงแต่ปรากฏให้เห็น แล้วก็หมดไป โดยไร้ร่องรอย ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลย ว่าขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ แท้ที่จริงแล้ว ก็ปรากฏเพียงชั่วคราว
ก็เป็นเรื่องที่ฟังดู ก็แล้วแต่ ใครจะมีอัธยาศัย ที่จะเข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้น
จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริงของตน ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วจากโลกนี้แล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
แต่เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็ต้องฟังบ่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ที่จะให้เข้าใจพระธรรมง่ายๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพียงแค่เริ่มต้น บางคนก็อาจจะคิดว่า พูดเรื่องอะไร? ทำไมไม่พูดเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วให้เข้าใจ แต่ต้องไม่ลืม
การฟัง ต้องเข้าใจ สิ่งที่ได้ยิน ได้ฟังจริงๆ
ไม่ใช่ ฟังมากี่คำแล้ว แล้วเข้าใจแค่ไหน?
อย่างคำว่า "ธรรมะ" ได้ยินบ่อยๆ
เข้าใจแค่ไหน?
คือ สิ่งที่มีจริงๆ
สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ "เห็น" จริง ไม่น่าสนใจที่จะเข้าใจหรือ?
เห็นทุกวัน เมื่อวานนี้ก็เห็น วันนี้ก็เห็น ต่อไปก็เห็น ดูเหมือนกับว่า ไม่เห็นจำเป็น ที่จะรู้เรื่องเห็น
แต่ เกิดแล้วต้องเห็น ไม่เห็นไม่ได้ แล้วทำไมต้องเห็น ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น
ถ้าสมมติว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ความต่างกัน ของผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ ผู้ซึ่งกำลังอยู่ตรงนี้ ห่างไกลกันมากไหม?
หรือว่า เกือบๆ จะเสมอกัน? พูดอะไรก็เข้าใจได้ เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?
ไม่เป็นอย่างนั้นเลย
นั่นแสดงให้เห็นว่า คนที่เข้าใจว่า ไม่ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด ตั้งแต่ต้น คำแรก คิดว่าพระธรรม ก็เป็นเพียงแต่จะเป็นเครื่อง เหมือนสิ่งที่ปลอบใจ อยากรู้อะไรก็รู้ได้ แล้วก็จะหมดความต้องการ หมดความทุกข์
เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะเหตุว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมี นานมาก ถ้าเป็นผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ยิ่งด้วยปัญญา ต้องถึง สี่อสงไขยแสนกัปป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา แปดอสงไขยแสนกัปป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ สิบหกอสงไขยแสนกัปป
นานเท่าไหร่คะ?
กัปปหนึ่ง ไม่ใช่วัน ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่ปี ไม่ใช่ชาติ
เพราะฉะนั้นพระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ กับ ใคร ที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ทุกคน จะต่างกันแค่ไหน?
พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของได้กลิ่น ของชีวิตประจำวัน ทั้งหมด ของทุกคนด้วย ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยละเอียดยิ่ง
ทรงตรัสรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งคนนี้ ต่างกัน ไม่มีใครเหมือนใครเลย
และในหนึ่งคน "แต่ละหนึ่งขณะ" ก็ต่างกันด้วย
ตอนเช้าเป็นอย่างหนึ่ง เห็นอย่างหนึ่ง พอตอนบ่ายก็เห็นอย่างหนึ่ง ตอนเย็น ตอนค่ำ ก็ได้ยินอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปอย่างนี้ ตลอดเวลา
แล้วก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ และ ความติดข้อง ถ้าจะคิดถึงว่า ฟังพระธรรม ต้องไม่ลืมว่า ฟังใคร?
ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงทุกอย่าง โดยละเอียดยิ่ง เพื่อที่จะให้แต่ละคน ได้เข้าใจความจริง ว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้แหละ เป็นสิ่งที่รู้ได้ ตามความเป็นจริงคือ
"สิ่งนี้" เกิดขึ้น จึงปรากฏว่า "มี"
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ
เช่นคำว่า "โลก" มีใครไม่รู้จักบ้างไหม? "โลก" เหมือนรู้จัก ใช่ไม๊คะ? เพราะอะไรคะ?
เพราะอยู่ในโลก ก็เลยคิดว่า "รู้จักโลก"
แต่ว่า ตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สักอย่างเดียว จะมีโลกไหม?
จะไปเอาโลกมาแต่ไหน? ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างเดียว
แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดขึ้น
นั่นแหละ คือ โลก
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าแตกย่อยโลกซึ่งดูเหมือนใหญ่โต กว้างขวาง มีประเทศมากมาย มีแม่น้ำ มีภูเขา มีอะไรก็แล้วแต่ ออกเป็นส่วนย่อย ที่ละเอียดที่สุด
"แต่ละหนึ่ง" ต้องเกิดขึ้น และ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว รวมๆ กัน ก็เป็นโลกที่กว้างใหญ่
แต่ให้รู้ว่า ขณะใดก็ตาม ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดขึ้น สิ่งนั้น ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป สืบต่อรวมกัน โดยไม่รู้เลย ก็ปรากฏ เป็นโลกที่กว้างใหญ่ แล้วก็เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ
แต่ให้ทราบว่า ... ความจริง ...
ทั้งหมด เป็นธรรมะ
คือ เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ จนกว่าจะมีผู้ที่ได้บำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงความจริง ในพระไตรปิฎก จะเป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงทั้งหมด
ตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นไปจากที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้โดยละเอียด จึงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมะ
ทรงตรัสรู้ "ธรรมะ" ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่มีจริง ทำให้บุคคลที่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ด้วย จึงมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในสากลจักรวาล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงแสดงพระธรรม และ ผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจ ก็สามารถที่จะรู้ตามได้ จึงมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และ พระสังฆรัตนะ
แม้ว่าจะได้ยินได้ฟัง คำนี้บ่อยๆ
แต่จะให้เข้าใจลึกซึ้ง ถึงความเป็นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ หรือ สังฆรัตนะ ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีการได้ฟังพระธรรม อย่างละเอียด
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากการที่รู้ว่า ธรรมะคือ สิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง และ ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งหมายความถึง "ธรรมะ"
ให้คนอื่นได้ฟังด้วย เมื่อคนนั้นที่ได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจ ก็เข้าใจในความหมายของ "ธรรมรัตนะ"
ธรรมะที่เป็นรัตนะ เป็นคำสอนซึ่งมีประโยชน์ เหนือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะเหตุว่า จะนำผู้ที่เข้าใจแล้ว สามารถที่จะให้ปัญญาอบรม จนกระทั่งพ้นจากกิเลส ไม่มีกิเลสเหลือเลย
ความวุ่นวายทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย เรื่องทั้งหลาย ที่เป็นความทุกข์
ทั้งหมด มาจากกิเลส
เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความทุกข์ และ ปัญหาทั้งหมด ก็ต้องดับกิเลส
แต่ว่า ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีอะไร ที่จะไปดับกิเลสได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า การที่พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงดับทุกข์ ด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงสอนให้บุคคลอื่น เข้าใจ "หนทาง" ที่จะดับทุกข์ จนกระทั่ง ทุกคน สามารถที่จะพ้นจากความทุกข์ได้
แต่ก็ต้องเป็นผู้ที่อดทน รู้ว่า ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ ความห่างไกลของพระองค์ กับ ผู้ฟัง ต้องไกลกันมาก
แต่ว่าทรงแสดงพระธรรม ซึ่งรวบรวมไว้ เป็นพระไตรปิฎกแทนพระองค์
เพราะฉะนั้น อริยสาวิตรี คือ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จึงเป็นเบื้องต้น ของพระไตรปิฎก
ผู้ใดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ เป็นสรณะ ผู้นั้นย่อมเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ คือ เห็นทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งให้ถึงความสงบทุกข์ นั่นแลเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะสูงสุด ผู้อาศัยสรณะนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 331
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธา ของ ชมรมบ้านธัมมะ มศพ.จังหวัดเชียงใหม่ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
.."ทรงตรัสรู้ "ธรรมะ" ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่มีจริง
ทำให้บุคคลที่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง สามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้ด้วย
จึงมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในสากลจักรวาล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงแสดงพระธรรม และ ผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจ ก็สามารถที่จะรู้ตามได้
จึงมีพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และ พระสังฆรัตนะ"...
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความทุกข์ และ ปัญหาทั้งหมด
ก็ต้องดับกิเลส
แต่ว่า ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีอะไร ที่จะไปดับกิเลสได้เลย"
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ไพเราะยิ่งครับ ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
แต่ถ้าคนที่มีโอกาสจะได้ยินได้ฟัง แล้วก็คิดว่า เป็นสิ่งที่สามารถรู้ได้
สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ สามารถที่จะรู้ได้ เข้าใจได้
สนใจไหม?
ที่จะได้รู้ และ ได้เข้าใจความจริง
ถ้าเป็นผู้ที่ใส่ใจ สนใจ และ เห็นประโยชน์ ว่าเกิดมาแล้ว ไม่รู้ความจริง ที่มีอยู่ทุกวัน
กับเกิดมาแล้ว ก็ยังมีโอกาสที่จะได้รู้ ได้เข้าใจถูกต้อง ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป
ผู้นั้นก็มีการที่จะได้ฟังธรรมะ ซึ่งลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้พิจารณา ไม่ใช่ว่า พอฟังแล้ว เข้าใจได้ทันที
อย่าง "เห็น" ก็เหมือนรู้แล้ว "ได้ยิน" ก็เหมือนรู้แล้ว
แต่ว่า ไม่ได้รู้เลย ตามความเป็นจริง
เพราะเหตุว่า จะนำผู้ที่เข้าใจแล้ว สามารถที่จะให้ปัญญาอบรม
จนกระทั่งพ้นจากกิเลส ไม่มีกิเลสเหลือเลย
ความวุ่นวายทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย เรื่องทั้งหลาย ที่เป็นความทุกข์
ทั้งหมด มาจากกิเลส
เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความทุกข์ และ ปัญหาทั้งหมด
ก็ต้องดับกิเลส
แต่ว่า ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีอะไร ที่จะไปดับกิเลสได้เลย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ คุณวันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาค่ะ