ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ วันพุธที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ มีสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะ ลำพูน ต่อจากเมื่อวาน ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ก็เป็นโอกาสที่มีค่ายิ่งในชีวิตที่ได้ฟังได้ศึกษาในสิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ แต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริงโดยตลอด วันนี้เนื้อหาสาระของการสนทนาก็หลากหลายมาก ทำให้ได้ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากจากการสนทนาในวันนี้ คือ ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม ก็จะมีความจริงใจ อดทนที่จะฟังที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป จากตัวอย่างของสหายธรรมหลายท่าน ท่านเคยหลงผิดมา เคยเข้าสำนักปฏิบัติมา เคยไปเรียนเป็นครูสอนสมาธิ เคยระดมทุนเพื่อสร้างสำนักปฏิบัติ แต่พอท่านได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ท่านก็ทิ้งในสิ่งที่ผิดเหล่านั้นได้ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ จึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ทำให้เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด เมื่อรู้ว่าสิ่งใดผิด แล้ว ก็ทิ้งได้ทันที เพราะสิ่งที่ผิด ไม่มีประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น แสดงให้เห็นถึงคุณของพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธศาสนา อย่างแท้จริง ตามข้อความในสารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อเจลกัสสปสูตร ดังนี้ ว่า
“น่าอัศจรรย์ พระพุทธศาสนาที่บุคคลเลือกสรรแล้ว (ศึกษาให้เข้าใจอย่างถูกต้อง) ทำให้ถือเอาสิ่งที่ควรเท่านั้น ละทิ้งสิ่งที่ไม่ควร”
บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง แล้ว มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นคุณของพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงสภาพธรรมโดยนัยต่างๆ อย่างละเอียดแล้ว สัตว์โลกก็จะไม่สามารถพ้นไปจากความเห็นผิด และไม่สามารถพ้นไปจากความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏได้เลย แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นศาสดาแทนพระองค์ พระธรรมยังดำรงอยู่ ซึ่งถ้าผู้ใดไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรม แต่คิดเอาเองว่าเข้าใจธรรมแล้ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาทอย่างแท้จริง เพราะย่อมมีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ด้วยความเคารพ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง ก็ย่อมจะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกค่อยๆ เจริญขึ้น มั่นคงในความเป็นจริงยิ่งขึ้น และพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ที่ได้ฟังได้ได้ศึกษา จากที่มากไปด้วยความไม่รู้ ความเห็นผิด และอกุศลธรรมทั้งหลาย ก็จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลให้กุศลประการต่างๆ จะเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองอย่างแท้จริง
ประเด็นใหญ่ที่ชาวพุทธเข้าใจผิด ก็คือ เรื่องปฏิบัติธรรม ซึ่งควรอย่างยิ่งที่จะได้กล่าวแล้วกล่าวอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ว่า ไม่มีสำนักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ในวันนี้อาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ ก็ได้นำคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่สนทนาถึงความเป็นจริง ว่า ปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องไปทำ มาเปิดให้ผู้ร่วมสนทนาได้รับฟัง ซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง จึงขอโอกาสถอดคำสนทนาในช่วงดังกล่าวประมวลมาให้ทุกๆ ท่านได้อ่านและพิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผล ดังต่อไปนี้
สุจินต์ จะปฏิบัติอะไร ที่จะปฏิบัติ จะปฏิบัติอะไร
อรรณพ ก็ไปทำ ไปจดจ้องที่เข้าใจกันอย่างนั้น
สุจินต์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น ก็เป็นความไม่รู้ จึงจดจ้อง ไม่เห็นความเป็นอนัตตาเลย ว่า ขณะนี้ความเข้าใจ ไม่ใช่เรา ก็ไม่รู้ จนกว่าจะฟังมั่นคงว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ทุกอย่าง ไม่ใช่ให้เว้นโน่นเว้นนี่ คิดว่าเรารู้แล้วแล้วก็จะไปปฎิบัติ แต่ให้รู้ว่าปฏิบัติจะเกิดมีได้โดยความเป็นอนัตตาเท่านั้น เพราะฉะนั้น ฟัง ตราบใดที่ยังเป็นเรา ก็อยาก แล้วก็อยากปฏิบัติ ก็ไม่ได้เข้าใจว่าไม่มีเรา แต่เป็นธรรม จนกว่าธรรมจะปฏิบัติหน้าที่หรือกิจการงานของธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่ใช่เรา ต้องมีความมั่นคงในความไม่ใช่เราเพิ่มขึ้น แล้วต้องมีความมั่นคงว่าเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อได้หรือเพื่อทำ ที่จะไปปฏิบัติ ต้องการได้อะไรใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่การเข้าใจธรรม เพราะเป็นเราที่จะได้ ไม่ใช่เป็นการเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ค่อยๆ ฟัง ก็ค่อยๆ ละความไม่รู้ แล้วก็รู้ตรง ว่า ขณะไหนเมื่อไหร่ความเข้าใจมั่นคงพอที่สติสัมปชัญญะจะเกิดโดยความเป็นอนัตตา กำลังเข้าใจลักษณะของธรรม ถึงเฉพาะหนึ่งตรงตามที่ได้ฟัง นั่นคือ ปฏิปัตติ เพราะฉะนั้น คนไทยได้ยินคำว่าปฏิบัติก็เข้าใจว่าทำ ก็มีสำนักทำวิปัสสนาด้วยความเป็นเราทั้งหมด ด้วยความไม่รู้ทั้งหมด แต่ปฏิปัตติ เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง สูงกว่าขั้นเพียงฟังเข้าใจ เพราะว่าขั้นเข้าใจระดับนี้เข้าใจเรื่องราว เห็นเกิดแล้วดับ แต่ว่าขณะนี้ก็ไม่ได้รู้ตรงเห็นที่จะประจักษ์การเกิดของเห็นและการดับของเห็น เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งจะเกิดไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงซึ่งใช้คำว่าปริยัติและสัจจญาณ ไม่ใช่อยู่ดีๆ สติสัมปชัญญะจะเกิด อยู่ดีๆ ใครจะไปทำสติ นี่ก็ผิดหมด อยู่ดีๆ ใครจะไปทำสมาธิ โดยไม่รู้ว่าขณะที่กำลังคิดอย่างนั้นก็มีสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิ เพราะฉะนั้น ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเหตุว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดงในขณะที่เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม แต่เมื่อรู้ว่าคนที่มีโอกาสได้ฟังสามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยการที่พระองค์สะสมบารมีถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะมีคำแต่ละคำซึ่งเป็นปัญญาทำให้คนฟังเกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติ
อรรณพ เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่าปฏิบัติคือไปทำด้วยความอยากได้ เปลี่ยนเป็นคำพูดอื่นก็ได้ เขาบอกว่าที่เขาไปทำไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ แต่เขาต้องการละ
สุจินต์ ไม่อยากได้แล้วไปทำไม? ทั้งหมด คือ ความอยาก จะเปลี่ยนรูปแบบอย่างไร ก็คือ อยาก เพราะขณะนั้นไม่ใช่ปัญญา ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ จะไม่พูดอย่างนั้นเลย แต่พูดคำที่ทำให้เข้าใจถูกเพื่อละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ขั้นปริยัติมั่นคงหรือยัง? ถ้ามั่นคงคือไม่ไปไหน ข้อสำคัญที่สุด ไปทำอะไร ก็ไม่รู้ คนที่เคยไปแล้วบอกได้เลย ไปทำอะไรมาบ้าง รู้อะไร ไม่รู้เลย แต่ทำ นั่ง เดินแล้วอย่างไร มีหรือ ให้นั่ง ให้เดินแล้วจะรู้อะไร อยากนั่งหรือเปล่า อยากเดินหรือเปล่า ถ้าไม่อยาก เดินทำไม ถ้าไม่อยาก นั่งทำไม? เพราะไม่รู้ความจริงของแต่ละหนึ่งซึ่งเป็นธรรม ต้องแยกโดยขั้นฟังจนไม่เหลือจริงๆ เป็นธรรมซึ่งเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้
ขณะนี้ อยู่ในโลกของความจำ เพราะเหตุว่า สภาพจำเกิดกับจิตทุกขณะ จิตไม่ได้จำ แต่จิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิก คือ สภาพจำ เกิดทุกขณะจิตปรุงแต่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น แต่ไม่รู้เลย เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นจิต จำก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะเห็นกับจำเกิดพร้อมกัน พอเห็นก็จำเลย เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความจำตั้งแต่เกิดจนตายหรือเปล่า แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าจำไม่ใช่เห็น แค่นี้จะปฏิบัติอะไร จะไปปฏิบัติอย่างไรให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ได้ นอกจากการฟัง นั่นเอง ทุกขณะที่ความเข้าใจเกิดขึ้นแล้วดับไป ขณะนั้นแหละสะสมความเข้าใจขึ้น เมื่อมีความเข้าใจอีก ก็เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
ความเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ที่จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะแต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ทั้งนามธรรมและรูปธรรม การอบรมเจริญปัญญาจึงเป็นเรื่องของบุคคลที่เห็นประโยชน์ของความเข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นการดำเนินไปตามหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ หนทางที่จะรู้ความจริง ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ซึ่งจะทำให้ไม่ออกไปนอกทางที่จะไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าหนทางนั้นจะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะธรรม เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ โดยไม่มีตัวตนที่ไปทำอะไรที่ผิดปกติเลย
ปัญญาจะเจริญขึ้นตามลำดับ ก็ต้องมาจากการค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่การไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ตามสำนักต่างๆ ด้วยความอยากความต้องการ ด้วยความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของธรรม บุคคลผู้เป็นสาวกในครั้งอดีต มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็เพราะได้อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฉันใด บุคคลผู้เป็นสาวกในยุคนี้สมัยนี้ จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เมื่อมีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว ก็จะไม่ไปสู่หนทางที่ผิด ครับ
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ คณะวิทยากรณ์และท่านผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ