ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๕ * *
~ การเข้าใจธรรม เป็นการบูชาสูงสุด ที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบทอดต่อไปได้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
~ ไม่มีใครสามารถที่จะห้ามไม่ให้สภาพธรรมเกิดได้เลย ไม่ว่าสภาพธรรมนั้นจะเป็นสภาพธรรมอะไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ เว้น ไม่กระทำบาปในขณะที่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น กุศลทั้งหมด เว้นจากบาป
~ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจากโลกนี้ไป อะไรก็ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติหรือว่าร่างกาย ก็ไปไม่ได้ แต่ว่า ความเข้าใจถูกความเห็นถูก ที่ค่อยๆ สะสมโดยความไม่ประมาท จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะทำให้สิ่งซึ่งเคยเข้าใจผิด ได้เข้าใจถูก เมื่อเป็นผู้ที่พิจารณาไตร่ตรองและเป็นผู้ที่ละเอียด
~ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นตนเองเท่านั้นนำทุกข์มาให้แก่ตนเอง ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น จะโทษใครไม่ได้เลย นอกจากอวิชชา นอกจากโลภะ นอกจากอกุศลของตนเองซึ่งสะสมมา
~ ทุกท่านที่ยังมีกิเลสที่ยังไม่ดับ ยังไม่ใช่เขาสิเนรุแน่ ยังคงเป็นเพียงใบไม้เก่าๆ เท่านั้นเอง เบาและก็พร้อมที่จะลอย ลมจะพัดไปทางไหน ก็ไปทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นลมโลภะ หรือลมโทสะ หรือลมโมหะ เพราะฉะนั้น ก็จะได้เป็นผู้ไม่ประมาทจริงๆ แล้วก็เห็นว่า อกุศลเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ในขณะนั้นแล้ว ก็ยังจะสะสมเพิ่มกำลังขึ้นเรื่อยๆ
~ การทุจริตต่างๆ มาจากไหน? มาจากความไม่รู้ มาจากการคิดว่ามีเรา เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ความอยากได้ เท่าไหร่ไม่พอ ใช่ไหม? สามารถที่จะเบียดเบียนคนอื่น ประทุษร้ายคนอื่นได้แม้คนยากไร้ นั่น มาจากความไม่รู้ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง บาปกรรมทั้งหลายที่มี ก็จะลดน้อยลง ตามระดับขั้นของความเข้าใจตามเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้น โลกจะสงบกว่านี้ไหม ไม่มีการฆ่า ไม่มีการเบียดเบียน ไม่มีการทุจริตต่างๆ
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือ การที่สามารถรู้ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เพราะเหตุว่า คำของพระองค์จะดำรงต่อไป ก็ต่อเมื่อมีผู้ที่เข้าใจถูก ถ้าผู้ใดก็ตาม ไม่เข้าใจธรรม พูดไม่จริง คำไม่จริง ไม่ตรงตามความเป็นจริง คำนั้น ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ แม้แต่ความอดทนต่อการที่จะได้ฟังคำที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามอำนาจบังคับบัญชาที่อยากจะให้มี แต่ความมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วก็จะรู้ว่า ถ้าโกรธ ขณะนั้น ก็ไม่อดทน แต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะนั้น เป็นความอดทนที่ประเสริฐที่สุด
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ทุกกาล
~ การสนทนาธรรม เป็นมงคล นำความเจริญ นำความเห็นถูก นำสภาพธรรมที่ดีงาม มาสู่จิตใจ
~ สังขาร (ธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ก็คือ ขณะนี้
~ กิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) มีเมื่อไหร่ เดือดร้อนเมื่อนั้น กิเลสนั่นเอง ทำร้ายให้เดือดร้อน
~ โกรธเกิดแล้ว บังคับบัญชาได้ไหมไม่ให้โกรธ? ไม่ได้ นี่ก็ชัดเจนมั่นคงต่อคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่มีใครไปทำเลย แต่มีปัจจัยที่จะเกิดก็ต้องเกิดขึ้น แต่ก็ดีที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุด คือ ถึงความเข้าใจถูกต้อง ว่า เป็นธรรม
~ เอาความไม่รู้ไปแก้ปัญหาและสิ่งที่ผิดๆ ไม่ได้เลย หนทางเดียวก็คือว่า ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัย จึงสามารถที่จะทำให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย เพราะฉะนั้น การเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ด้วยความหวังดี ด้วยความที่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่พุทธบริษัท ไม่ใช่เป็นการกล่าวร้ายใคร หวังร้ายใคร หรือจะทำร้ายใครเลย แต่ว่าเป็นการให้เข้าใจถูกต้อง เพื่อที่ชาวพุทธจะได้ช่วยกันดำรงพระพุทธศาสนา
~ ความประพฤติที่ผิดทั้งหมด มาจากความไม่รู้ แล้วใครจะรู้ว่าไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้สาธารณะ (คือ ไม่ทั่วไป) กับทุกคน ต้องสำหรับคนที่สะสมมาที่จะเห็นคุณค่าและศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ที่รู้ว่าทุกคำของพระองค์ เพื่อการขัดเกลากิเลส ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
~ ใครหวังที่จะเป็นคนดียิ่งขึ้น ไม่มีทางสำเร็จ ถ้าไม่เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ความเข้าใจหรือปัญญา จะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศลที่เป็นส่วนที่ดีงาม ไม่ใช่เรา แต่ความเห็นถูกความเข้าใจถูกทำหน้าที่ของการรู้ว่า อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร
~ ความติดข้อง มีมากมายมหาศาล ทุกอย่างที่ทำไปด้วยโลภะที่จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ขณะใดที่มีปัญญาเห็นโลภะตามความเป็นจริง เมื่อนั้นก็จะคลายโลภะได้ แต่ถ้ายังไม่เห็นโลภะ อย่างคนที่ทำกุศลก็เคลิบเคลิ้มหวังผลของกุศล ขณะนั้นจะละสังสารวัฏฏ์ได้อย่างไร
~ ขณะที่กำลังคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น ขณะนั้นก็เพราะเหตุว่าจิตเกิดขึ้นคิด เราไม่รู้ตรงนี้เลย มีแต่ความเป็นเรื่องคนไม่ดี คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี แล้วเมื่อไหร่จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วก็ไม่มีเราและไม่มีเขา มีแต่สภาพธรรม ซึ่งจะต้องอบรมขัดเกลาการไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมนั้นจนกว่าจะประจักษ์จริงๆ เป็นสภาพรู้ธาตุรู้ที่กำลังคิด เพราะฉะนั้น ประโยชน์จริงๆ ของการศึกษาบ่อยๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ในพระไตรปิฎกก็ให้ถึงความเข้าใจที่ถูกต้องว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เป็นเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เป็นรูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้)
~ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ถ้าธรรมทั้งปวงแล้ว ก็ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ทางตาที่กำลังเห็น เป็นอนัตตา ทางหูที่กำลังได้ยินเป็นอนัตตา ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่น เป็นอนัตตา ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรสเป็นอนัตตา ทางกายที่กระทบสัมผัส เป็นอนัตตา ทางใจที่คิดนึก เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
~ ก่อนฟังพระธรรม ชีวิตก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหมด ฟังพระธรรมแล้ว ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ที่สำคัญ คือ มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
~ ๔๕ พรรษาแห่งการประกาศพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเรื่องของสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน ซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรม
~ ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็เห็นโทษเห็นภัยของอกุศลจริงๆ ว่า ถ้าวันนี้ยังไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย วันต่อๆ ไป อกุศล ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น
~ บางคนโลภมาก ติดข้องมาก เห็นอะไร ก็อยากได้ไปหมด คนที่โทสะมาก เห็นอะไร ก็ไม่ชอบใจทุกอย่าง ขวางหูขวางตาไปหมด ไม่ถูกใจสักอย่างหนึ่ง ชาติหน้าต่อไป ก็สะสมเป็นบุคคลอย่างนี้แหละ อัธยาศัยก็ต่างกัน บางคนตระหนี่ บางคนริษยา บางคนโลภะมาก บางคนโทสะมาก นี้คือ โทษของอกุศล ในชาตินี้และชาติต่อไป
~ การเป็นภิกษุต่างจากคฤหัสถ์มาก แต่ข้อหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ ภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง จึงสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ได้ คือ สละความยินดีที่จะเป็นคฤหัสถ์ที่จะรับเงินและทอง ด้วยเหตุนี้ ภิกษุใดเพียงแค่ยินดีในเงินและทอง ก็ไม่เป็นภิกษุตามพระธรรมวินัย เพราะว่ายังเป็นคฤหัสถ์ที่ยินดีในเงินและทอง แล้วถ้าถึงกับรับเงินและทอง นั่นก็ไม่ต่างจากคฤหัสถ์เลย
~ คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ทุกคน ได้ฟัง ได้พิจารณา ได้ไตร่ตรอง เพราะเหตุว่าทุกคำเป็นประโยชน์ เมื่อเข้าใจสิ่งที่เป็นประโยชน์ และมีความหวังดีต่อคนอื่น จะไม่พูดสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีทางที่จะหยุดพูดคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า คำนั้นเป็นคำที่มีประโยชน์
~ ขณะใดที่เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ขณะนั้น รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? ถ้าไม่รู้คุณ จะบูชาได้ไหม? เพราะฉะนั้น เมื่อรู้คุณแล้ว ทุกอย่างที่กระทำ ก็กระทำด้วยการที่จะเป็นไปเพื่อที่จะดำรงพระพุทธศาสนา ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ความเข้าใจของทุกคนที่ตรงตามพระธรรมวินัย ก็เป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๔๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แม้แต่ความอดทนต่อการที่จะได้ฟังคำที่ไม่น่าพอใจ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นตามอำนาจบังคับบัญชาที่อยากจะให้มี แต่ความมั่นคงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ค่อยๆ มั่นคงขึ้น แล้วก็จะรู้ว่า ถ้าโกรธ ขณะนั้น ก็ไม่อดทน แต่ถ้าปัญญาสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะนั้น เป็นความอดทนที่ประเสริฐที่สุด
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ถ้าธรรมทั้งปวงแล้ว ก็ไม่เว้นเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ทางตาที่กำลังเห็น เป็นอนัตตา ทางหูที่กำลังได้ยินเป็นอนัตตา ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่น เป็นอนัตตา ทางลิ้นที่กำลังลิ้มรสเป็นอนัตตา ทางกายที่กระทบสัมผัส เป็นอนัตตา ทางใจที่คิดนึก เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
กราบท่าน อาจารย์ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารเห็นเหตุปัจจัยเกิดแล้วไตร่ตรองพิจราณาในสิ่งที่เกิดในชีวิตประจำวันเช่นการเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจหรือที่ชอบใจพิจราณากับสิ่งที่กำลังเกิดเห็นว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเหตุที่ต้องเกิดควรน้อมจิตให้รู้ตามผลที่จะตามมากราบท่านอาจารย์
การเข้าใจธรรม เป็นการบูชาสูงสุด ที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สืบทอดต่อไปได้ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นตนเองเท่านั้นนำทุกข์มาให้แก่ตนเอง ไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่สิ่งอื่น จะโทษใครไม่ได้เลย นอกจากอวิชชา นอกจากโลภะ นอกจากอกุศลของตนเองซึ่งสะสมมา
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ
โกรธเกิดแล้ว บังคับบัญชาได้ไหมไม่ให้โกรธ? ไม่ได้ นี่ก็ชัดเจนมั่นคงต่อคำว่า อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่มีใครไปทำเลย แต่มีปัจจัยที่จะเกิดก็ต้องเกิดขึ้น แต่ก็ดีที่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม ข้อสำคัญที่สุด คือ ถึงความเข้าใจถูกต้อง ว่า เป็นธรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ