[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 230
ทุติยปัณณาสก์
อากังขวรรคที่ ๓
๒. กัณฏกสูตร
ว่าด้วยธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ ๑๐ ประการ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 38]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 230
๒. กัณฏกสูตร
ว่าด้วยธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ ๑๐ ประการ
[๗๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี พร้อมด้วยพระเถระผู้เป็นสาวกซึ่งมีชื่อเสียงหลายรูป คือท่านพระปาละ ท่านพระอุปปาละ ท่านพระกักกฏะ ท่านพระกฬิมภะ ท่านพระนิกฏะ ท่านพระกฏิสสหะ และพร้อมด้วยพระเถระผู้เป็นสาวกซึ่งมีชื่อเสียงเหล่าอื่น ก็สมัยนั้นแล พวกเจ้าลิจฉวีมีชื่อเสียงเป็นอันมาก ขึ้นยานชั้นดีมีเสียงอื้ออึงต่อกันเข้าไปยังป่ามหาวันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากเหล่านี้แล ขึ้นยานชั้นดีมีเสียงอื้ออึงต่อกันเข้ามายังป่ามหาวันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสฌานว่า มีเสียงเป็นปฏิปักษ์ ไฉนหนอ เราทั้งหลายพึงเข้าไปยังโคสิงคสาลทายวัน ณ ที่นั้น เราทั้งหลายพึงเป็นผู้มีเสียงน้อย ไม่เกลื่อนกล่น อยู่ให้ผาสุก ครั้งนั้นแล ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นเข้าไปยังโคสิงคสาลทายวัน ณ ที่นั้น ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นเป็นผู้มีเสียงน้อย ไม่เกลื่อนกล่น อยู่เป็นผาสุก ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปาลภิกษุไปไหน อุปปาลภิกษุ กักกฏภิกษุ กฬิมภภิกษุ นิกฏภิกษุ กฏิสสหภิกษุไปไหน พระเถระผู้เป็นสาวกเหล่านั้นไปไหน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นคิดว่า เจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากเหล่านี้แล ขึ้นยานชั้นดีมีเสียงอื้ออึงต่อกันเข้ามายังป่ามหาวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสฌานว่า มีเสียงเป็นปฏิปักษ์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 231
ไฉนหนอ เราทั้งหลายพึงเข้าไปยังโคสิงคสาลทายวัน ในที่นั้น พวกเราพึงเป็นผู้มีเสียงน้อย ไม่เกลื่อนกล่น อยู่เป็นผาสุก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านผู้มีอายุเหล่านั้นเข้าไปยังโคสิงคสาลทายวัน ในที่นั้นท่านเหล่านั้นเป็นผู้มีเสียงน้อย ไม่เกลื่อนกล่น อยู่เป็นผาสุก พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดีละ ดีละ จริงดังที่มหาสาวกเหล่านั้น เมื่อพยากรณ์โดยชอบ พึงพยากรณ์ดังนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวฌานว่ามีเสียงเป็นปฏิปักษ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปักษ์ ๑๐ ประการนี้ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นผู้ยินดีในที่สงัด ๑ การประกอบสุภนิมิตเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ประกอบอสุภนิมิต ๑ การดูมหรสที่เป็นข้าศึกเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ๑ การติดต่อกับมาตุคามเป็นปฏิปักษ์ต่อพรหมจรรย์ ๑ เสียงเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌาน ๑ วิตกวิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อทุติยฌาน ๑ ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อตติยฌาน ๑ ลมอัสสาสปัสสาสะเป็นปฏิปักษ์ต่อจตุตถฌาน ๑ สัญญาและเวทนาเป็นปฏิปักษ์ต่อสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ๑ ราคะเป็นปฏิปักษ์ โทสะเป็นปฎิปักษ์ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีปฎิปักษ์อยู่เถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นผู้ไม่มีปฎิปักษ์ พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีปฎิปักษ์ เป็นผู้หมดปฎิปักษ์.
จบกัณฏกสูตรที่ ๒
อรรถกถากัณฏกสูตรที่ ๒
กัณฏกสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 232
บทว่า อภิญฺาเตหิ อภิญฺาเตหิ ได้แก่ อันใครๆ ก็รู้จัก คือปรากฏแล้วเหมือนดวงจันทร์เพ็ญ เหมือนดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า. ในคำว่า ปรมฺปุราย นี้ ส่วนข้างหน้าเรียกว่า ปร. ส่วนข้างหลังเรียกว่า ปุรา. อธิบายว่า บริวารจำนวนมากผู้ที่แล่นไปข้างหน้าและที่ติดตามไปข้างหลัง. บทว่า กณฺฏกา ได้แก่ ชื่อว่าหนาม เพราะอรรถว่าทิ่มตำ. บทว่า วิสูกทสฺสนํ ได้แก่ ดูการเล่นที่เป็นปฏิโลมอันเป็นข้าศึก. บทว่า มาตุคามูปจาโร ได้แก่ ความเป็นผู้เที่ยวไปใกล้มาตุคาม (ผู้หญิง).
จบอรรถกถากัณฏกสูตรที่ ๒