ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
รู้ลักษณะของนามธรรมทางมโนทวารแล้วหรือยัง
ต้องระลึกรู้ แม้ในขณะที่กำลังรู้ว่า
สี่งที่เห็นเป็นอะไร
หรือว่าเป็นใคร
ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง
..................
เพราะฉะนั้น ก็แยก ทางตากับทางใจ ออกโดย
การรู้ว่า เฉพาะทางตานี้ เพียงเห็น
และในเวลาที่กำลังจำ หรือ กำลังรู้ว่าเป็น สี่งหนึ่ง สี่งใด
ขณะนั้นก็เป็น ทางใจเสียแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การเจริญสติปัฏฐานคือการระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็น
ธรรมไม่ใช่เรา สิ่งใดมีจริงที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม ธรรมเหล่านั้นเป็นอารมณ์ให้สติ
รู้ว่าแม้ที่จริงไม่มีเรา มีแต่ธรรม เพื่อเพิกถอนความยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคลตัวตนครับ
สภาพธรรมมีหลายอย่าง มีทั้งที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม การเจริญสติปัฏฐานจึง
ต้องเป็นผู้รู้ทั่ว รู้ทั่วในอะไร ในสภาพธรรมที่มีจริงทั้ง 6 ทวารคือทาง ตา หู จมูก ลิ้น
กายและใจ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กายเรียกว่าทางปัญจทวาร ทาง
ทวารทั้ง 5 ซึ่งมีสภาพธรรมที่มีจริงทั้งสภาพธรรมที่เป็นจิตเห็นที่เป็นนามธรรม ทั้งสิ่งที่
ปรากฎทางตาที่เป็นรูปธรรม ทางหูก็มีเสียงและจิตได้ยิน สภาพธรรมเหล่านี้มีจริง สติ-
ปัฏฐานสามารถระลึกลักษณะของสภาพธรรมเหล่านี้ที่เกิดทางปัญจทวารได้ครับ แต่
ไม่ใช่มีเพียงทางปัญจทวารเท่านั้น ทางมโนทวารก็มีสภาพธรรมที่มีจริง นั่นคือจิต จิต
ที่คิดนึกในเรื่องราวของสภาพธรรม ตัวจิตมีจริงเป็นที่ตั้งให้สติระลึกได้ว่าเป็นธรรม
ไม่ใช่เราที่คิด แต่เรื่องที่คิดไม่มีจริง คน สัตว์ บุคคลไม่มีจริงเพราะเป็นเพียงเรื่องราวที่
คิดนึกในรูปร่างสัณฐานจากสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เห็นเป็นอะไร
เป็นคน เป็นสัตว์ ขณะรู้ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งต่างๆ เป็นไปในมโนทวาร ขณะนั้น
อะไรมีจริง เรื่องที่คิดไม่มีจริงแต่จิตที่คิดมีจริง ปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานก็รู้ในลักษณะ
ของจิตที่กำลังคิดครับ นี่คือการรู้ทางมโนทวารที่เป็นธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต
แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของเรื่องที่คิด เพราะเรื่องราวไม่มีลักษณะให้รู้ครับ
แม้ในขณะที่กำลังรู้ว่า สี่งที่เห็นเป็นอะไร หรือว่าเป็นใคร ก็เป็นนามธรรม
ชนิดหนึ่ง เพราะหากไม่มีสภาพธรรมที่เป็นจิตที่เป็นนามธรรม ที่เป็นธาตุรู็ อาการรู้
แล้วก็จะไม่มีเรื่องราวไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดเลย ดังนั้นขณะที่รู้ว่าเป็นอะไร ขณะนั้นมีจิตที่
คิดนึก สติและปัญญาก็ควรรู้ว่าขณะนั้นมีธรรมคือจิตที่เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นทางมโน
ทวารครับ
แต่ที่สำคัญที่สุด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแม้ในเรื่องของสติ สติเป็นธรรมเป็น
อนัตตา บังคับบัญชาไมได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่การเลือกให้
สติระลึกรู้สภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนี้ก็แล้วแต่ว่าสติจะเกิดระลึกรู้สภาพธรรมอะไร
ก็ตามเหตุปัจจัยและอนัตตาครับ สำคัญคือฟังพระธรรมในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ใน
เรื่องของสภาพธรรมย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิดในอนาคต เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น สำคัญ
ที่อบรมเหตุครับ จนเมื่อสติเกิดขึ้นบ่อยๆ สติก็จะเกิดจนรู้ทั่วในสภาพธรรมทั้ง 6 ทวาร
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมถึงการะลึกรู้ลักษณะของจิตทางมโนทวารด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"..ปัญญาที่เป็นสติปัฏฐานก็รู้ในลักษณะของจิตที่กำลังคิดครับ
นี่คือการรู้ทางมโนทวารที่เป็นธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิต
แต่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของเรื่องที่คิด เพราะเรื่องราวไม่มีลักษณะให้รู้ครับ..
..สติเป็นธรรมเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไมได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่การเลือกให้สติระลึกรู้สภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนี้
ก็แล้วแต่ว่าสติจะเกิดระลึกรู้สภาพธรรมอะไร ก็ตามเหตุปัจจัยและอนัตตาครับ..
..ฟังพระธรรมในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน ในเรื่องของสภาพธรรม
ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิดในอนาคต
เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น สำคัญที่อบรมเหตุครับ.."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
วิถีจิตทางมโนทวารรับรู้ได้ทุกอารมณ์ คือ ทั้งรูปธรรม นามธรรม และบัญญัติ รูปที่รู้ทางเฉพาะทางมโนทวาร ได้แก่ ปสาทรูป สขุมรูป นามธรรมรู้ได้ทางใจอย่างเดียวบัญญัติรู้ได้ทางใจอย่างเดียว และนอกจากนั้นยังรับรู้อารมณ์ต่อจากทางปัญจทวารด้วย ฉะนั้น ทางมโนทวารรู้อารมณ์ได้ทุกอย่าง แต่ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวของปรมัตถ์ คือ ไม่ใช่ลักษณะปรมัตถ์นั้นจริงๆ เช่น ปสาทรูป ภาวรูป ชีวิตรูป เป็นต้นขณะที่จิตรู้รูปเหล่านั้นเป็นเพียงการรู้ในอาการของรูปเท่านั้น (ข้อความเขียนโดย study) คลิกอ่านได้ที่เรื่องราวที่คิดนึกทางมโนทวาร เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------ดังนั้นประโยคที่ว่ารู้ลักษณะของนามธรรมทางมโนทวารคือรู้ลักษณะของจิตที่เป็นสภาพรู้ในขณะนั้น..เป็นต้น
จนเมื่อสติเกิดขึ้นบ่อยๆ สติก็จะเกิดจนรู้ทั่วในสภาพธรรมทั้ง 6 ทวาร
คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รวมถึงการะลึกรู้ลักษณะของจิตทางมโนทวารด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณหมอ, คุณpadermและ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
มโนทวารรู้อารมณ์ทุกอย่าง รู้ปรมัตถ์และบัญญัติ สติปัฏฐานเกิดหรือไม่รู้ได้เฉพาะตนค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่ว่าจะเป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ หรือ จะเป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารทั้ง ๖ นี้เลย ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงเป็นปรมัตถธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เพราะจิตไม่ว่าจะเป็นจิตประเภทใดก็ตามมีลักษณะรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า จิต เป็น ธัมมารมณ์ คือ เป็นอารมณ์ที่รู้ได้ทางใจ เท่านั้น ไม่สามารถรู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และ ทางกาย ครับ ...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณและอนุโมทนา คุณเผดิม คุณเมตตา คุณคำปั่น และทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ