ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ ถ้าอีกขั้นหนึ่ง ก็คือ หิริ โอตตัปปะ ขณะใดทึ่สติปัฏฐานเกิด ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นก็เป็น หิริ โอตัปปะ ของขั้น อบรมเจริญ ปัญญา เพื่อที่จะดับกิเลสเป็นสมุจเฉท แต่ถ้าใครยังไม่เห็นกำลังขออหิริกะ อโนตตัปปะคนนั้นก็คงจะคิดว่า ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใครเลย มีชีวิตวันหนึ่งๆ เป๋นสุขสบายดี เพราะฉะนั้นก็ไม่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม เพื่อที่จะศึกษาให้ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน
เพราะฉะนั้น วิริยารัมภกถาที่จะให้เกิดความเพียร ที่สติจะระลึกลักษณะของสภาพธรรมคือชี้แจงให้เห็นโทษของอกุศล และให้เห็นกำลังของอกุศลซึ่งแทบจะกล่าวได้ว่าตลอดทั้งวันและตลอดทั้งคืนด้วย ติดตามไปถึงความฝัน กลางวันก็เต็มไปด้วยอกุศลแล้ว เวลาที่เห็น ที่ได้ยิน รู้สี่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ทางใจนอนหลับพักผ่อนแล้ว อหิริกะ อโนตตัปปะก็ยังติดตามไปถึงความฝันด้วย มีใครไม่ฝันบ้างไหม พระอรหันต์ไม่ฝัน เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ฝัน เพราะว่ายังมี อหิริกะ อโนตตัปปะ เวลาฝันนี้เป็นโลภมูลจิตบ้าง โทสมูลจิตบ้างใช่ไหม ใครที่ฝันเป็นกุศลได้ทุกคืนๆ หรือว่าในฝันเรื่่องหนึ่ง ซึ่งคืนหนึ่ง นี้ ฝันหลายเรื่อง แล้วในฝันเรื่องหนึ่งๆ นี้ เป็นกุศลกี่ครั้ง หรือว่าฝันด้วยอกุศลท้งนั้น ตื่นเต้นสนุกสนานเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ถึงสี่งที่เห็นมาแล้วบ้างหรือว่าเคยลี้มรสมาแล้วต่างๆ เหล่านั้น
เพระฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่า อหิริกะ อโนตตัปปะ นอกจากจะมีมากในเวลากลางวันแล้วก้ยังติดตามไปจนถึงกลางคืน แม้ในขณะที่กำลังพักผ่อนหลับนอนด้วย มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านก็อยากปฏิบัติมากเหลือเกิน ซึ่งก็คงจะไม่ใช่ท่านผู้ฟังท่านนี้ท่านเดียว ก็คงจะมีอีกหลายท่านทีเดียว ที่ อยากจะข้ามธรรมทั้งหมด เพื่อที่จะปฏิบัติเสียทีๆ รู้สึกว่ามีความตั้งใจรีบร้อนที่จะปฏิบัติ แต่ว่าถ้าการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เพื่อรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงจะมีประโยชน์ไหม ไม่รู้ว่าอกุศลเกิดในขณะไหนบ้าง กุศลเกิดในขณะไหนบ้าง วันหนึ่งมีกุศลมากหรืออกุศลมาก ถ้าไม่รู้อย่างนี้ แล้วอยากจะปฏิบัติทันทีโดยไม่รู้อะไรทั้งหมด ในเรื่องของสี่งที่ปรากฏทางตา ... กาย ทางใจ ก็เท่ากับว่าไม่เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้จักตนเอง เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไร แต่ถ้าได้ฟังพระธรรมและการปฏิบัติ ก็คือสติระลึกลักษณะของสภาพธรรมทีไม่เคยรู้
แต่เคยยึดถือว่าเป็นเรา และ เรี่มเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงขึ้น อันนั้นย่อมเป็นประโยชน์ เพราะว่าเมี่อเห็นอกุศลตามความเป็นจริงย่อมเกิดความละอาย ความรังเกียจ และอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่จะคลายอกุศล จนสมารถที่จะดับได้เป็นสมุจเฉท เห็นกำลังของอหิริกะ อโนตัปปะไหม วันหนึ่งๆ มีมากแค่ไหน และทุกวันเป็นอย่างนี้ในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นการที่ อหิริกะและอโนตตัปปะ จะลดกำลังไปได้ ก็ต่อเมื่อ หิริ และ โอตตัปปะ มีกำลังขึ้น
เพราะว่าเมี่อเห็นอกุศลตามความเป็นจริง ย่อมเกิดความละอาย ความรังเกียจ และอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่จะคลายอกุศล
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
(ตอนนี้เพียงแต่รู้ว่ายังไม่เห็นอกุศลตามความเป็นจริง ความละอายและความรังเกียจจึงน้อยอยู่มาก ต้องทำความเข้าใจความเป็นจริงต่อไปอีกมากครับ)
เรื่องของหิริ และโอตตัปปะ เป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ ...
ขอขอบพระคุณคุณหมอและขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
"..ถ้าการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เพื่อรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จะมีประโยชน์ไหม ไม่รู้ว่าอกุศลเกิดในขณะไหนบ้าง กุศลเกิดในขณะไหนบ้าง วันหนึ่งมีกุศลมากหรืออกุศลมาก ถ้าไม่รู้อย่างนี้ แล้วอยากจะปฏิบัติทันที โดยไม่รู้อะไรทั้งหมด ในเรื่องของสี่งที่ปรากฏทางตา ... กาย ทางใจ ก็เท่ากับว่าไม่เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้จักตนเอง เพราะฉะนั้นจะมีประโยชน์อะไร .."
ขอบพระคุณ และขออนุโทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ