อยากมีแฟน หรือคนรักที่ชอบ ศึกษาปฏิบัติธรรมะ คิดผิดหรือเปล่าครับ
บางท่านแนะนำว่า หากอยากได้มรรคผล ในทางการศึกษา หรือปฏิบัติธรรม ควรเลือกอยู่เป็นโสดดีกว่า ปัญหาน้อย อาจเหงา แต่ ต้องฝืนใจทำนองนั้น เพราะมีครอบครัว มีแฟน ล้วนมีปัญหามากปฏิบัติได้ผลยาก เพราะยังตัดกามราคะไม่ได้ แล้วก็ยังหามาเพิ่มอีกทำนองนั้น และหากตั้งใจแล้วว่า จะไม่มีแฟน ไม่มีครอบครัว จะดีกว่าไหมเนื่องจากตั้งใจว่า
1. จะศึกษาอภิธรรมให้เข้าใจให้รู้มากที่สุดก่อนตาย เพื่อความรู้ความเข้าใจนี้จะได้ติด ภพติดชาติไปในภายหน้า และจะได้มีปัญญาพาเอาตัวออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เร็วขึ้น เพราะมีพื้น มีความเข้าใจจากการศึกษาธรรมมาแล้ว (ไม่ทราบว่าความรู้ความเข้าใจ ในอภิธรรมฯ จะต่อยอดไปในชาติหน้าได้หรือไม่ครับ เพราะเข้าใจว่า เราควรสร้าง เหตุปัจจัย ไปเรื่อยๆ เท่านั้น ไปอยากอะไรมากไม่ได้เลย เขาว่าเดี๋ยวกิเลสมันเข้า หากจะบรรลุอะไร เวลาเต็มรอบของการปฏิบัติ มันจะรู้เอง จริงไหมครับ)
2. ช่วงที่ศึกษาอภิธรรม ผมควรหาโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมในสำนักด้วยหรือไม่ จำเป็นต้องเข้าสำนักปฏิบัติด้วยหรือไม่ครับ คือ ตั้งใจว่าเมื่อศึกษาอภิธรรมพอเข้าใจบ้าง แล้วจะเข้าไปปฏิบัติที่สำนักวิปัสสนาของอาจารย์แนบ มหานีรานนท์ที่พุทธมณฑล สาย 5 นะครับ หรือว่าเพียงการศึกษาอ่านฟัง ธรรมบรรยาย อภิธรรม คือแค่เข้าใจ ก็เพียงพอแล้วครับ
3. กรณีที่จะเข้าปฏิบัติในสำนักนั้น ครูอาจารย์ที่สอบอารมณ์กรรมฐานก็มีความสำคัญ มาก อาจารย์ท่านใดเป็นที่ยอมรับว่าสุดยอดในปัจจุบันนี้ มีใครบ้าง กรุณาแนะนำด้วยครับ
การที่เราจะเลือกการดำรงชีวิตแบบไหนอย่างไร คือ เป็นนักบวช หรือ ฆราวาส ฆรา-วาสที่เป็นโสดหรือมีคู่ครอง ทั้งหมดนี้แล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละท่าน ซึ่งจะมีเหตุปัจจัยสิ่งแวดล้อม และเหตุผลความจำเป็นที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าการเป็นบรรพชิตดีที่สุด เพราะไม่มีภาระไม่ต้องยุ่งเรื่องกิจการงานมาก ไม่มีเครื่องกังวลมากเหมือนฆราวาส ส่วนฆราวาสที่ไม่แต่งงานย่อมดีกว่าเพราะไม่ต้องรับภาระเรื่องบุตรภรรยาและปัญหาน้อยกว่า การแต่งงานกับผู้ที่มีฉันทะอัธยาศัยศึกษาธรรมเหมือนกันย่อมดีกว่าแต่งกับผู้ที่แต่งกับคนไม่ศึกษาธรรม ทั้งหมดย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยและอัธยาศัยของแต่ละคนที่สะสมมา ชีวิตของพระอริยสาวกในสมัยครั้งพุทธกาลท่านก็มีทั้งที่เป็นบรรพชิตและฆราวาสทั้งครองเรือนหรือไม่ครองเรือน แต่ท่านก็เป็นคนดีมีคุณธรรมตามเพศที่ท่านเป็น เพราะฉะนั้น จะมีชีวิตแบบไหนอย่างไรก็ได้ แต่ที่สำคัญคือการเป็นคนดีมีคุณธรรมไม่ประมาทในการอบรมปัญญายิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนการจะบรรลุที่ไหนเมื่อไหร่ย่อมอยู่ที่เหตุและปัจจัยที่สมควรแก่การบรรลุ
เรื่องการปฏิบัติธรรม ส่วนมากเราจะติดในคำว่าต้องไปทำที่สำนักต่างๆ คำว่า "ปฏิบัติ" หมายถึง การถึงเฉพาะ ที่ไหน เมื่อไหร่ ทวารไหนก็ได้ อยู่ที่ความเข้าใจ ว่าโดยปรมัตถธรรมขณะที่มหากุศลญาณสัมปยุตจิตเกิดขึ้น สติและสัมปชัญญะทำกิจเรียกว่า ปฏิบัติธรรม คือ ขณะที่สติระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เรียกว่า ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เราไปทำปฏิบัติ และสิ่งสำคัญที่เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ไม่ควรละเลยคือการเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นญาติที่ดีของญาติ เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เป็นประชาชนที่ดีของประเทศและโลก เป็นพุทธบริษัทที่ดี และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ อย่างนี้เรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติม...
ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม [อรรถกถามหาปรินิพพานสูตรที่ ๓]
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)