สวัสดีครับ มีเรื่องสงสัยจะมาถาม คือเคยเปิดเจอกระทู้หนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับสตรีเมื่อหลายปีที่แล้ว แล้วมีคนบอกไว้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า
“....ดูก่อนอานนท์ มาตุคาม (สตรี) มักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูก่อนอานนท์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้”
แต่ดูในสภาพปัจจุบันนี้ ผู้หญิง ที่ทำงานชิ้นใหญ่ๆ เป็นหัวหน้าผู้ชายก็เยอะแยะ เดินทางตัวคนเดียว ทำงานตัวคนเดียวได้อย่างสบาย ควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่กลับกันผู้ชายปัจจุบัน (บางคน) มีความริษยามาก มีความตระหนี่ก็เยอะ (สองอย่างนี้ง่ายๆ ก็ปัญหา บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศเรา) มีข่าวการข่มขืน ทำร้ายร่างกายส่วนใหญ่ก็เกิดจาก ชาย ตระกูลผมผู้หญิงเยอะ แต่ เรื่องที่ไม่ดี ที่เป็นตำหนิแก่วงศ์ตระกูลส่วนใหญ่ก็เกิดจากผู้ชาย เช่นหลงในสุรา เป็นต้น ไม่ได้เกิดจากผู้หญิงเลย เลยอยากถามว่าเพราะเหตุใดพระองค์ถึงตรัส ไว้แบบเช่นนั้น? มีความนัยอะไรแอบแฝงไว้หรือไม่
แล้วผมก็เคยได้ยินว่า ผู้หญิงมีตัณหามาก กว่า ชาย จริงหรือ?
เพราะแม่ของผม ไม่เคยจะชอบของที่สวยงาม ไม่ชอบซื้อเสื้อผ้า ที่ดูดีมาใส่ คือใส่อะไรก็ใส่ได้หมด แม่ของผมทั้งทำงาน (อยู่กับบ้าน ทำหลายอย่าง เหนื่อยมากๆ ) ทั้งดูแลครอบครัว
เวลาท่านมีเงิน ก็ไม่ได้เอาไปซื้ออะไรฟุ่มเฟือยเลย ชอบแบ่งปันให้ผู้อื่น บริจาคก็เยอะ ไม่เคยคิดอิจฉาใคร (เท่าที่ผมรู้จักมาทั้งชีวิต) มีแต่ยินดีที่ผู้อื่นประสบความสำเร็จ เสียใจเมื่อเขาไม่ได้ดี แม้จะเป็นศัตรูก็ตาม แต่กลับกัน สังคมที่ผมโตมา (ไม่ใช่ที่บ้าน) ที่โรงเรียน สังคมวัยรุ่นปัจจุบัน ดูได้จากอินเตอร์เน็ตเว็บไซด์ต่างๆ ผู้ชายกลับมีความริษยา ต่างๆ มากพอพอกับผู้หญิงวัยรุ่นผู้หญิงปัจจุบันก็ หลงกิเลส เยอะเช่นกัน แต่ผมแค่สงสัยว่า ปัจจุบันนี้ ผู้ชายรักสวยรักงาม หันมาคบเพศเดียวกัน (ไม่ได้ดูถูกเพศที่สาม) หันมาแข่งแต่งตัว กันกับผู้หญิงกันมากขึ้นอย่างสังเกตุได้ชัด แม้ว่าจะเป็นผู้ชายแท้ๆ ก็ตาม จะหาผู้ชายแบบสมัยก่อนนั้นก็ไม่ค่อยมี
ขออนุโมทนาค่ะ
“....ดูก่อนอานนท์ มาตุคาม (สตรี) มักโกรธ มักริษยา มีความตระหนี่ มีปัญญาทราม ดูก่อนอานนท์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้มาตุคามนั่งในสภาไม่ได้ ประกอบการงานใหญ่ๆ ไม่ได้ ไปนอกเมืองไม่ได้
จากข้อความข้างบนเป็นจริงค่ะ ก็มีหลายสาเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงเป็นอย่างนั้น
ในสังสารวัฎฎ์ที่ยาวนานนับชาติไม่ได้ บางชาติเราก็เคยเกิดมาเป็นผู้หญิง
บางชาติเราก็เกิดมาเป็นผู้ชาย เราสะสมทั้งความดีและความไม่ดี ก็แล้วแต่
ว่าชาตินั้นเราได้คบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ ก็ทำให้เรามีคุณธรรม
มีปัญญา แต่ตรงกันข้าม ถ้าเราคบคนพาล ก็ทำให้เราเสื่อมจากคุณธรรมค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม เมื่อแสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแล้ว ย่อมไม่มีสัตว์บุคคลตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น แม้แต่ในเรื่องของความโกรธ ความริษยา ความตระหนี่ ความเป็นผู้ไม่มีปัญญา ก็เช่นเดียวกันทั้งหมด เป็นธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมฝ่ายที่เป็นอกุศลธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะเกิดกับใคร ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ก็มีโทษ เป็นโทษ เป็นภัย (ภายใน) ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้วการที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต เพราะจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ให้เบาบางลงและสามารถดับได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จาก ความคิดเห็นที่ 2
".....สรุปได้ว่าเรื่องเพศหญิงเพศชายไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับคุณธรรมคุณความดี
และความรู้ ความสามารถ ถ้าเป็นผู้ชายที่ไม่ดี เป็นผู้หญิงที่ดี ดีกว่าครับ...."
เห็นด้วยค่ะ
ขออนุโมทนา
ผมอยากถามปัญหาเกี่ยวกับผู้หญิงบ้างครับ [ไม่ได้ทะลึ่งนะครับอยากรู้จริงๆ ]
การที่มีภรรยาเคยทำงานเป็นหญิงโสเภณีแต่ปัญจุบันเลิกแล้ว อันนี้จะผิดคำสอนของ
พระพุทธศาสนาข้อไหนบ้างไหมครับ
เรียนความเห็นที่ 8
หากจะผิดคำสอนก็คือผิดศีล เป็นต้น หากแต่ว่าผู้หญิงเป็นเจ้าของตนเองคือไมไ่ด้มี
สามีแล้วในขณะที่ทำอาชีพอยู่ ก็ไม่ล่วงศีล แต่หากหญิงนั้นมีสามีแล้ว ไปทำอาชีพนั้น
ตัวเองไมไ่ด้เป็นเจ้าของตัวเองแล้ว แต่สามีเป็นเจ้าของ ผู้หญิงก็ผิด ล่วงศีลได้ครับ
เพราะฉะนั้นคำว่าผิดคำสอนหรือไม่ อกุศลทุกประเภทพระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญ
เป็นสิ่งที่ไม่ใช่คำสอน แม้อกุศลเพียงเ็ล็กน้อย แต่เลือกไม่ได้ ห้ามไมไ่ด้ แม้ใน
อดีตกาล ในชาติก่อนที่จะได้บรรลุเป็นพระเถรี ท่านก็เคยทำอาชีพนี้แต่ไมไ่ด้ล่วงศีล
และเมื่อท่านเลิกอาชีพนี้แล้วท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์ ในบรรดาพระถรีทั้งหลายที่ได้
บรรลุครับ ขออนุโมทนา