ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อไหร่ที่ความทุกข์เกิดขึ้นเป็นปัจจัยน้ำตาก็ไหลได้ ... บังคับบัญชาไม่ได้
มีใครบ้างที่คิดถึงจิต? ... ไม่มี ... ภายในที่สุด เพราะฉะนั้นใกล้แค่ไหนอยู่ตรงนี้ก็ไม่รู้ เพราะไม่รู้จักธาตุรู้ ตรงนี้ที่ได้ยินก็ไม่รู้จักธาตุรู้ มันไม่มีอะไรที่จะใกล้กว่านี้เลย ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ แต่ไม่มีใครคิดถึงจิต ... จิตเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่ได้ฟังต้องคิดอีกจนกว่าจะถึงตัว!!!
จะเห็นได้ว่าการฟังจะค่อยๆ ละเอียดด้วยความคิดไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ฟังแล้วในความลึกซึ้ง ถ้าไม่มีคำของพระพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ แต่พอได้ยินแล้วประมาทไม่ได้ ... จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมและการฟังทีละคำแต่ละคำได้แต่พูดถึงจิต แต่ตัวจิตแท้ๆ ก็ไม่ได้ปรากฏเพราะอะไร? เราต้องรู้เลยว่าเพราะอะไรจึงไม่ปรากฏ!! เมื่อปรากฏจึงไม่ใช่อย่างที่เป็นอย่างนี้ ... จึงไม่ประมาทโดยการฟังละเอียด
ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแน่ๆ แต่สภาพรู้ต้องมี และธาตุรู้ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ... เห็นไหม? แล้วเราจะไปหาจิตตอนไหน?! เมื่อตอนนี้จิตเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏ แล้วเราจะไปหาจิตนึกที่ไหนมารู้?! เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏกำลังปรากฏ
จิตคือธาตุรู้ เริ่มตั้งแต่ขณะแรกเลย ... ตั้งแต่เกิดมาถ้าไม่มีจิตไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิต แล้วก็ไม่ปรากฏเลยทั้งๆ ที่มีจิต ... เพราะฉะนั้นเมื่อจิตขณะแรกมีแต่ไม่ปรากฏฉันใด เดี๋ยวนี้จิตขณะนี้ก็ไม่ปรากฏฉันนั้น มันเนิ่นนานมาตั้งแต่เกิดก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นกว่าจะปรากฏเราต้องคิดถึงจิตใช่ไหม ... ก่อนอื่นต้องเข้าใจความเป็นธาตุรู้ใช่ไหมว่ามันน่าอัศจรรย์ที่มันไม่มีอะไรเลยนอกจากรู้ เกิดขึ้นเป็นธาตุรู้เปล่าๆ ไม่มีรูปร่างใดเจือปนเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นแหละจึงเป็นธาตุรู้ที่แท้จริง
เพราะฉะนั้นกว่าจะไปถึงตัวธาตุรู้ได้ไม่ใช่ตัวเราพยายาม แต่ฟังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ จนกว่ามั่นคง และเขาทำหน้าที่ของเขา เพราะฉะนั้นวันนี้ที่เราฟังจะไม่ถึงเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิดที่จะรู้ว่านั่นคือสติ แต่พอเป็นสติสัมปชัญญะที่สามารถเข้าใจว่านี่แหละที่ต้องรู้ เพราะขณะนี้ที่แข็ง ... อย่างอื่นไม่มี ... เห็นไหมกว่าจะเหลือหนึ่งขณะแต่ละหนึ่งสภาพธรรมะ และก็นี่เป็นความเข้าใจในขั้นที่มั่นคงว่า ต้องมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ แต่ไม่เคยใส่ใจ พอได้ยินปุ๊บไม่เมินเฉยต่อแข็งแล้ว แต่ไม่ใช่ไปจงใจรู้แข็ง เห็นไหมความลึกซึ้งของเขา ... ไม่เมินเฉยแต่ไม่ใช่จงใจ !!! แล้วแต่ว่าฟังไปๆ ๆ แล้วเกิดเหมือนอย่างนี้ ... ฟังไปๆ ๆ ได้ยินเกิด ... คิดเกิด ... เราไม่ได้เตรียมตัว เพราะฉะนั้นเวลานนั้นขณะนั้นเราก็เตรียมตัวไม่ได้ จึงสามารถที่จะค่อยๆ ละความเป็นตัวตน ค่อยๆ เข้าใจถึงความไม่ใช่เราที่จะไปคิดทำอะไรทั้งสิ้น ห้ามคิดไม่ได้ ... คิดแล้ว ... แต่มันไม่ใช่ขณะที่ไม่ได้คิดแต่กำลังรู้ธาตุรู้!!! ไม่อย่างนั้นไม่มีนามรูปปริเฉทญาณ!!!
เชิงฟัง ณ กาลครั้งหนึ่ง สนทนาธรรมที่บ้านซ.พัฒนเวศม์ บ่าย 22/11/66
youtu.be/5KT-Naedvnw?si=oq_dgOXx_HMpV1r9
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ธาตุรู้มีแต่ไม่ปรากฏ รู้แต่สิ่งที่จิตรู้ ... เตือนให้รู้ว่ายังไม่รู้อะไรใช่ไหม?! ถ้าไม่พูดถึงเลยจะคิดถึงไหม?! ถ้าไม่คิดถึงไม่มีทาง!!!
จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ... เตือนไหมขณะที่ฟัง ... ทุกขณะของเราถึงพร้อมตอนไหน? ... จะเอาตอนโน้นจะเอาตอนนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยแค่เห็นสิ่งที่ปรากฏที่จิตรู้ ... แต่ไม่ได้รู้ ... เพราะฉะนั้นความเข้าใจความถูกต้องความรู้นี่มันต่างกับความไม่รู้
ทุกอย่างที่มีไม่รู้อะไรเลย มันมืดมาตั้งแสนโกฏกัป เพราะฉะนั้นแต่ละคำนี่เพิ่งได้ยินนะ ได้ยินกว่าจะเข้าใจนะ ในความต่างจริงๆ นะ ของสีที่ปรากฏว่ามันไม่ใช่ธาตุรู้นะ ที่มันปรากฏทางตา ... แต่ถ้าไม่พูดถึงธาตุรู้เลยมันก็ไม่รู้!!! จะไปคิดได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้พูดถึง ... พูดถึงแต่สิ่งที่ปรากฏ และความเป็นเราอยู่ตรงนั้นเพียบ ฟังเท่าไหร่ก็ยังเป็นเราเห็น ตอกย้ำให้ไม่ประมาทที่จะศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องฟังเท่าไหร่ ไม่ต้องหวัง แค่ไปในทางที่ถูก ไม่ไปในทางที่ผิดนี่ก็บุญแล้ว ... ทางผิดมันง่ายมาก
มรรคคืออะไร? มรรคคือหนทางที่จะดับกิเลส แล้วจะดับอะไร ... อะไรดับ?ต้องมีการฟังคือการเจริญมรรคแล้ว ... ถ้าฟังแล้วไม่เข้าใจก็ต้องฟังซ้ำ ... ถ้าไม่เข้าใจไม่ได้ดับหรอกกิเลสน่ะ ... ฟังไปเถอะ!! ... อยู่ที่ความเข้าใจ!!! เริ่มต้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ... ความเข้าใจ ... เห็นไหม?มรรคมีองค์แปด ... ความเข้าใจถูก แสดงว่าทุกวันมันไม่มีเพราะมันเป็นเรา นั่นเป็นเก้าอี้แล้วมันถูกตรงไหนล่ะ?! ถ้าไม่รู้ว่ามันผิด ไม่มีทางรู้ว่าตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติเราไม่ได้รู้ความจริง ... แล้วเราเกิดมานานเกินแสนโกฏกัป แล้วจะรู้สิ่งที่มันสะสมมาด้วยความไม่รู้จนไม่เหลือหรือ ... คิดดูสิ?? ... จะมีทางไหนบ้าง ... นอกจากความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ต้องค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำทีละตัวธรรมะ เป็นธรรมะทั้งนั้นแต่นะคำ ... นี่แหละกำลังสะสมความเข้าใจ ถ้าเริ่มต้นจะเข้าใจถึงระดับไหนเขาปรากฏเอง
เพราะฉะนั้นเราไม่คำนึงเลยที่เราฟังวันนี้เราเข้าใจแค่ไหน ... ไม่ต้องไปคิดถึง เขาเป็นอย่างนั้น ... เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น ... มันเป็นปกติแต่ไม่รู้ก็เลยผิดปกติ ... จะให้เป็นปกติอีกแล้ว.. แต่มันเป็นปกติ!!!
อ่านเพิ่มเติม ธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ ปรากฏแต่สิ่งที่ถูกรู้
เราฟังเรื่องธรรมะ แต่เราไม่ทิ้งเรา!! ก็ฟังไว้จะได้สะสมความเข้าใจถูก ไม่ต้องไปนั่งทบทวนว่าเราไม่รู้โน่นรู้นี่ ฟังเข้าใจก็คือเข้าใจ ... จบ ... กว่าจะปล่อย กว่าจะละ กว่าจะวางความเป็นเรา ... ฟังธรรมะไม่ได้เข้าใจธรรมะแล้วจบ ... ต่างกันไหม ... ฟังแล้วเข้าใจแล้วนี่ไม่ใช่เรา ... นี่เรายังมานั่งไม่เข้าใจอย่างนั้นอย่างนี้
ฟังแล้วเข้าใจ ... จบไหม? และเวลาเราคิดถึงที่เราได้ฟังอีก แต่เราไม่ได้คิดถึงตัวเรา ... เราคิดถึงที่เราฟัง ... ที่จะไตร่ตรอง!!! แต่ฟังแล้วเราไม่ได้เข้าใจแล้วจบ ... ตัวเราต่ออยู่เรื่อย
เป็นธรรมดาความคิดถึงตัวเรานี่มันเป็นเราอยู่แล้ว.. แน่นอนที่สุด ... มันเป็นเราอยู่แล้ว ยังเพิ่มความคิดถึงตัวเราโดยไม่รู้ตัวเลยว่าความคุ้นเคยกับความเป็นเราน่ะมันไม่ออกไปจากเราเลย ... ละเสีย ... วางเสีย ... อย่าไปพูด ... ความเข้าใจมีไหม? ถ้าไม่มี ... เราละอะไร ... เราวางอะไร? เพราะฉะนั้นฟังไป ... เข้าใจไป ... แล้วจบๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็ฟังอีก!!
เมื่อมีโอกาสได้พบกัน ประโยชน์คืออะไร? มีโอกาสได้เกื้อกูลกันและกันให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม
พูดตรงนี้ เข้าใจตรงนี้ ไม่ลืมตรงนี้ เฉพาะคำนั้นลึกซึ้งถูกต้องมั่นคง นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมะไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้น แต่ให้เข้าใจความลึกซึ้งให้มั่นคง
ปัญญาเราน้อยมาก น้อยนิดเดียวแล้วยังจะไปคิดเรื่องอื่นมากลบ กับการที่น้อยแล้วค่อยๆ มั่นคง และตามกำลังที่จะเข้าใจได้ ตามกำลังของเราเองว่าเราสะสมมากแค่ไหน พยายามเที่ยวไปรู้ไม่รู้จบเพราะมันไม่มีทางจบและปัญญาของเราสามารถรู้ได้แค่ไหน แล้วเสียเวลาไหมถ้าเราพยายามไปรู้สิ่งที่เรารู้ไม่ได้ กับสิ่งที่เดี๋ยวนี้มันรู้ได้ไหม มันถึงจะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกิดตามปัจจัย
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ