ได้อ่านในหนังสือ กรรมตอนที่ 1 ท่าน อ.สุจินต์ กล่าวว่า
"จิตทุกดวงต้องมีอารมณ์ และโดยเฉพาะปฏิสนธิจิตของชาติต่อไป จะต้องมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตของชาตินี้ ซึ่งไม่มีใคร สามารถจะรู้ได้ว่า จุติจิตของใครจะเกิดขึ้นในขณะไหน หลังเห็น หลังได้ยิน หรือหลังคิด นึกเรื่องราวต่างๆ ถ้าขณะนี้ท่านผู้ใดกำลังนึกคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดทางมโนทวารวิถี แล้ว จุติจิตเกิดต่อทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ สิ้นชีวิตลง บุคคลนั้นมีกรรมเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่าคิดถึง ระลึกถึงกรรมหนึ่งกรรมใด เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่า กรรมอารมณ์ หรือกรรมนิมิตอารมณ์ หรือคตินิมิตอารมณ์เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า เป็นอารมณ์ของจิตใกล้จะจุติ ซึ่งจะเป็นอารมณ์ของ ปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป แต่เหมือนเดี๋ยวนี้ ไม่ต่างก้นเลย กรรมนิมิตก็คือในขณะที่เห็น ได้ยิน ในขณะนี้เอง แล้วจุติจิตเกิด เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นกรรมนิมิตปฎิสนธิจิตในชาติหน้า" นั้น
ขอเรียนถามว่า
1. การเห็น ได้ยิน คิดนึก เรื่องราวที่เป็นอกุศลบ่อยๆ เนืองๆ คืออาจิณกรรม มีผลให้เป็นกรรมอารมณ์ได้ใช่ไหมคะ
2. ความห่วงใย ฝักใฝ่ ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งทรัพย์สิน ตำแหน่ง ญาติมิตร ก็เป็นกรรมอารมณ์ด้วยใช่ไหมคะ
3. ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ไม่สูงอายุ จึงควรสำรวมในการเห็น การคิด การได้ยิน ที่จะเป็นเหตุของอกุศลจิต อกุศลกรรม ใช่ไหมคะ
4. การเห็น ได้ยิน ในชีวิตประจำวัน โดยไม่เจริญสติปัฎฐาน เป็นการสะสมความเห็นผิดใช่ไหมคะ กรณีความฝันขณะนอนหลับ มีทั้งเรื่องงาน เรื่องคนนั้น คนนี้ ทั้งที่อยู่และจากไปแล้ว เป็นเพราะการสะสมความเห็นผิดว่า เป็นคน สัตว์ ใช่ไหมคะ
5. ใจที่จดจ่อเรื่องราว ข่าวสารทางทีวี เชียร์ฝ่ายนั้น ไม่ชอบฝ่ายนี้ ประกอบด้วยจิตอกุศล มีสิทธิ์เป็นกรรมนิมิต คตินิมิตที่ไม่ดี ได้ใช่ไหมคะ แม้กระทั่งการชมกีฬาต่างๆ พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง หากผู้ที่ยังต้องการติดตามเรื่องราว หรือชมกีฬา ดนตรี ภาพยนต์นั้นๆ จะอ้างว่า เจริญสติปัฎฐานไปด้วย จะเป็นไปได้ง่ายไหมคะ มีโอกาสมากหรือน้อยระหว่างเกิดกุศลจิต หรืออกุศลจิต
6. ขอคำแนะนำสำหรับท่านผู้สูงอายุในการสะสมเหตุปัจจัยที่จะเป็นกรรมอารมณ์ที่ดี การใส่บาตรตอนเช้า สวดมนต์ตอนเช้ามืด และรับรู้เรื่องราวที่เป็นเรื่องไม่พอใจ พอใจในเวลากลางวันทั้งวัน เป็นจิตคนละขณะ คนละประเภทใช่ไหมคะ มีทางเลือกให้เรื่องใด อารมณ์ใดเป็นกรรมอารมณ์ก่อนจุติจิตไหมคะ
7. ตอนเช้ากราบระลึกพระคุณ 5 ฟังพระธรรม ไปใส่บาตรบ้าง กลางวันทำงานเป็นเรื่องเป็นราวเป็นคนนั้นคนนี้ มากกว่าจะเป็นรูปเป็นนาม กลับบ้านฟังพระธรรมต่อจนดึก แถมนานๆ ครั้งก็ฝันเป็นเรื่องคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องตลกๆ บ้าง ประหลาดๆ บ้าง ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ก็เป็นคนละขณะจิตใช่ไหมคะ หากจะจุติในวันนั้น หลังจากผ่านเรื่องราวตั้งแต่เช้าจนหมดวัน กรรมอารมณ์ก็เลือกไม่ได้ใช่ไหมคะ หากจุติจิตเกิดขณะทำงาน หรือหน้าทีวีที่มีเสียงฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ตะโกนใส่กัน จะต่างกับขณะกราบพระรัตนตรัยที่หน้าหิ้งพระอย่างสงบเปี่ยมด้วยศรัทธาในตอนเช้าหรือไม่คะ
จิตที่ทำบุญตอนเช้า ก็ดับไปไม่มีแล้ว จะสงเคราะห์ตอนจุติจิตได้อย่างไรคะ หรือต้องช่วยตัวเองใหม่ในเวลานั้น ด้วยการมีสติระลึกถึงสภาวะที่มีจริงเป็นจริงในขณะนั้น ว่าไม่ใช่เรา เกิดแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป (จากความรู้ที่สะสมจากการฟังพระธรรมผสมกับการประจักษ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ) พอได้ไหมคะ
8. จุติจิตขึ้นไม่ครบวิถีจิต จึงอ่อนมากถูกไหมคะ แล้วจะมีสิทธิระลึกตามข้อ7 วรรคท้ายหรือไม่
9. ขอเมตตาแนะนำเหตุของกรรมอารมณ์สำหรับท่านผู้เตรียมเดินทางไกลข้ามภพใหม่ทั้งผู้สูงวัย และอ่อนวัย
กราบขอบพระคุณท่านผู้ชี้แนะเป็นอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1. การเห็น ได้ยิน คิดนึก เรื่องราวที่เป็นอกุศลบ่อยๆ เนืองๆ คือ อาจิณกรรม มีผลให้เป็นกรรมอารมณ์ได้ใช่ไหมคะ
กรรมอารมณ์ คือ การระลึกถึงกรรมที่ได้ทำแล้ว ทางใจ ซึ่ง มีทั้งฝ่ายกุศล และอกุศล ซึ่งอาศัยการทำกรรมดีบ่อยๆ ก็ทำให้เป็นกรรมอารมณ์ได้ และอาศัยการทำกรรมชั่วบ่อยๆ ก็ทำให้ เป็นกรรมอารมณ์ก่อนใกล้ตายได้ หากแต่ว่า กรรมทั้งฝ่ายดี และไม่ดี จะต้องถึงกรรมบถ ที่เป็นกรรมที่มีกำลัง ครับ
2. ความห่วงใย ฝักใฝ่ ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งทรัพย์สิน ตำแหน่งญาติมิตร ก็เป็นกรรมอารมณ์ด้วยใช่ไหมคะ
กรรมอารมณ์ จะต้องถึงกรรมบถ ไม่ใช่เพียงการนึกคิด ห่วงใยทางใจ ครับ
3. ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่ไม่สูงอายุ จึงควรสำรวมในการเห็น การคิด การได้ยิน ที่จะเป็นเหตุของอกุศลจิต อกุศลกรรม ใช่ไหมคะ
อกุศลจิต เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ และเกิดมากด้วย ไม่ว่าวัยไหน และไม่มีใครจะสามารถบังคับให้อกุศลไม่เกิดได้เลย เพราะเป็นอนัตตา แม้ขณะต่อไปก็ไม่รู้แล้วว่า จิตอะไรจะเกิด ไม่ต้องกล่าวถึงขณะที่ใกล้ตาย ครับ
4. การเห็น ได้ยิน ในชีวิตประจำวัน โดยไม่เจริญสติปัฎฐาน เป็นการสะสมความเห็นผิดใช่ไหมคะ กรณีความฝันขณะนอนหลับ มีทั้งเรื่องงาน เรื่องคนนั้น คนนี้ ทั้งที่อยู่ และจากไปแล้ว เป็นเพราะการสะสมความเห็นผิดว่า เป็นคน สัตว์ ใช่ไหมคะ
ขณะที่เห็นผิด ขณะนั้นจะต้องเกิดความเห็น อย่างใดอย่างหนึ่งว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคล เที่ยง เป็นสุข มีความเห็นว่า กรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี เป็นต้น แต่ขณะที่เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ไม่ได้มีความเห็นอะไร ไม่ได้มีความเห็นผิด เพราะแม้พระอริยบุคคล ก็เห็นเป็นสัตว์ บุคคล ครับ
5. ใจที่จดจ่อเรื่องราว ข่าวสารทางทีวี เชียร์ฝ่ายนั้น ไม่ชอบฝ่ายนี้ ประกอบด้วย จิตอกุศล มีสิทธิ์เป็นกรรมนิมิต คตินิมิต ที่ไม่ดี ได้ใช่ไหมคะ แม้กระทั่งการชมกีฬาต่างๆ พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง หากผู้ที่ยังต้องการติดตามเรื่องราว หรือชมกีฬา ดนตรี ภาพยนตร์นั้นๆ จะอ้างว่า เจริญสติปัฎฐานไปด้วย จะเป็นไปได้ง่ายไหมคะ มีโอกาสมากหรือน้อยระหว่างเกิดกุศลจิต หรืออกุศลจิต
ตามที่กล่าวแล้ว กรรมนิมิต จะต้องเป็นกรรมที่มีกำลังถึงกรรมบถ การกระทำทางกาย วาจา มีดูทีวี เป็นต้น ไมได้เป็นกรรมที่มีกำลัง จึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นกรรมอารมณ์ก่อนใกล้ตาย ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน สามารถจะเจริญได้ในชีวิตประจำวัน แต่สำคัญว่า จะเกิดหรือไม่ ซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้ ครับ
6. ขอคำแนะนำสำหรับท่านผู้สูงอายุในการสะสมเหตุปัจจัย ที่จะเป็นกรรมอารมณ์ที่ดี การใส่บาตรตอนเช้า สวดมนต์ตอนเช้ามืด และรับรู้เรื่องราวที่เป็นเรื่องไม่พอใจ พอใจในเวลากลางวันทั้งวัน เป็นจิตคนละขณะ คนละประเภทใช่ไหมคะ มีทางเลือกให้เรื่องใด อารมณ์ใดเป็นกรรมอารมณ์ก่อนจุติจิตไหมคะ
ไม่มีใครเลือกอะไรได้เลย แม้แต่ขณะที่ใกล้ตาย แม้แต่ขณะนี้ก็ไม่รู้วาจิตอะไรจะเกิดต่อไป ที่สำคัญก็ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เจริญกุศลเท่าที่ทำได้ ส่วนจะเป็นอย่างไร ในขณะใกล้ตายนั้นก็เป็นอนัตตา ครับ
7. ตอนเช้ากราบระลึกพระคุณ 5 ฟังพระธรรม ไปใส่บาตรบ้าง กลางวันทำงานเป็นเรื่องเป็นราวเป็นคนนั้นคนนี้ มากกว่าจะเป็นรูปเป็นนาม กลับบ้านฟังพระธรรมต่อจนดึก แถมนานๆ ครั้งก็ฝันเป็นเรื่องคนนั้นคนนี้ เป็นเรื่องตลกๆ บ้าง ประหลาดๆ บ้างที่ไม่เคยคิดมาก่อน ก็เป็นคนละขณะจิตใช่ไหมคะ หากจะจุติในวันนั้น หลังจากผ่านเรื่องราวตั้งแต่เช้าจนหมดวัน กรรมอารมณ์ก็เลือกไม่ได้ใช่ไหมคะ หากจุติจิตเกิดขณะทำงาน หรือหน้าทีวีที่มีเสียงฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ตะโกนใส่กัน จะต่างกับขณะกราบพระรัตนตรัยที่หน้าหิ้งพระอย่างสงบเปี่ยมด้วยศรัทธาในตอนเช้าหรือไม่คะจิตที่ทำบุญตอนเช้า ก็ดับไปไม่มีแล้ว จะสงเคราะห์ตอนจุติจิตได้อย่างไรคะ หรือต้องช่วยตัวเองใหม่ในเวลานั้น ด้วยการมีสติระลึกถึงสภาวะที่มีจริงเป็นจริงในขณะนั้นว่าไม่ใช่เรา เกิดแล้ว ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป (จากความรู้ที่สะสมจากการฟังพระธรรมผสมกับการประจักษ์บ้างเล็กๆ น้อยๆ ) พอได้ไหมคะ
กุศลก็เป็นกุศล อกุศลก็เป็นอกุศล ก็แล้วแต่ว่า ขณะจิตใกล้ตาย จะเป็นอะไร ซึ่งควรเข้าใจว่า โดยมากก็เป็นอกุศลจิต แต่ไม่ถึงอกุศลกรรมบถ ก็ใช้ชีวิตเป็นปกติ พร้อมๆ กับการอบรมปัญญา เจริญกุศลต่อไป โดยไม่ต้องห่วงใยกังวล เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ครับ
8. จุตติจิตขึ้นไม่ครบวิถีจิต จึงอ่อนมากถูกไหมคะ แล้วจะมีสิทธิระลึกตามข้อ7 วรรคท้ายหรือไม่
เมื่อไหร่ที่จะทำ จะจัดการ นั่นผิด ไม่ใช่พระธรรมที่ถูกต้อง จึงเป็นอนัตตา ถ้าทุกคนบังคับได้ ก็คงไม่ต้องเกิดกันในอบายภูมิแน่นอน ครับ จึงไม่สามารถบังคับได้เลย ครับ
9. ขอเมตตาแนะนำเหตุของกรรมอารมณ์สำหรับท่านผู้เตรียมเดินทางไกลข้ามภพใหม่ ทั้งผู้สูงวัย และอ่อนวัย
การเจริญกุศลทุกๆ ประการ และอบรมปัญญา ศึกษาพระธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ PADERM เป็นอย่างสูงค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรัหนตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นขอให้ชัดเจนในคำ ๓ คำนี้ก่อน ครับ กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ และคตินิมิตอารมณ์ จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผู้ถาม ทำไมถึงชื่อว่ากรรมนิมิตอารมณ์
อ.สุจินต์ เพราะเหตุว่าเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมายที่จะให้กรรมนั้นทำให้ ปฏิสนธิเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าจิตทุกดวงต้องมีอารมณ์ และโดยเฉพาะ ปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปจะต้องมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิต ของชาตินี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า จุติจิตของใครจะเกิดขึ้นในขณะ ไหน หลังเห็น หลังได้ยิน หรือ หลังนึกคิดเรื่องราวต่างๆ ถ้าขณะนี้ ท่านผู้ใดกำลังนึกคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใดทางมโนทวารวิถี แล้วจุติจิตก็เกิดต่อ ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ สิ้นชีวิตลง บุคคลนั้นมีกรรมเป็นอารมณ์ เพราะเหตุว่าคิดถึง ระลึกถึงกรรมหนึ่งกรรมใด เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่า กรรมอารมณ์ หรือกรรมนิมิตอารมณ์ หรือ คตินิมิตอารมณ์ เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเป็นอารมณ์ของจิตใกล้จะจุติ ซึ่งจะเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป แต่เหมือนเดี๋ยวนี้ ไม่ต่างกันเลย กรรมนิมิต ก็คือในขณะที่เห็น ได้ยิน ในขณะนี้เอง แล้วจุติจิตเกิด เพราะ ฉะนั้นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นกรรมนิมิตของปฏิสนธิจิตในชาติหน้า
ผู้ถาม ถ้าคิดถึงกรรมที่ทำมาแล้ว ก็เป็นกรรมอารมณ์ ใช่ไหมครับ
อ.สุจินต์ ค่ะ ถ้าคิดถึงกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นกรรมอารมณ์ ถ้าเห็นสถานที่ที่จะเกิด ขณะนั้นก็เป็นคตินิมิตอารมณ์ บางคน อาจจะเห็นเป็นไฟนรก บางคนก็อาจจะเห็นเป็นสวนนันทวันที่รื่นรมย์ หรือ แล้วแต่ว่าจะปฏิสนธิในภพใดภูมิใด อุปมาเหมือนกับเห็นในฝัน ซึ่งดูเหมือน จริง เพราะฉะนั้น ก็เป็นคตินิมิตสำหรับผู้ที่จะปฏิสนธิหลังจากที่จุติจิต ของบุคคลนั้นดับลง แต่ให้ทราบว่า ก็คืออารมณ์ตามปกติธรรมดาอย่างนี้เอง แต่ที่ใช้คำว่า คตินิมิตบ้าง กรรมนิมิตบ้าง หรือกรรมอารมณ์บ้าง เพื่อ แสดงให้เห็นว่าเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติหน้า เพราะเหตุว่าเป็น อารมณ์ของ ชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตของชาตินี้ ขณะนี้เห็น จุติจิตยังไม่ เกิด เพราะฉะนั้นก็เป็นรูปารมณ์ แต่ถ้าเห็นแล้วจุติจิตเกิด ก็เป็นกรรมนิมิต ของปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป
ผู้ถาม คตินิมิตทางทวารทั้ง ๖ ใช่ไหมครับ
อ.สุจินต์ ทางมโนทวารอย่างเดียว ถึงได้ว่าเหมือนเห็นในความฝัน
ผู้ถาม ๓ คำนี้ คือ กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต ผมยังเข้าใจสับสนอยู่ กรรมนี่หมายความว่า เวลาจะจุติ นึกถึงการกระทำที่ได้เคยกระทำมาแล้ว ส่วนกรรมนิมิตนึกถึงเรื่องราวที่กระทำอย่างนั้นหรือเปล่า
อ.สุจินต์ กรรมนิมิตเกิด ได้ทั้ง ๖ ทวาร ถ้าเป็น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะนี้ เสียงก็เป็นกรรมนิมิตได้ กลิ่นก็เป็นกรรมนิมิตได้ แล้วแต่ว่าในขณะที่ได้กลิ่นแล้ว จุติจิตเกิด แล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดต่อ เพราะฉะนั้น กลิ่นนั้นก็เป็นกรรมนิมิตได้ หรือว่า จะเป็นการนึกถึงเครื่องหมาย สิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงกรรมก็ได้ เป็นนิมิตของกรรมได้ทางมโนทวาร เช่น นึกถึงปืน ถ้าเคยเป็นฆาตกร หรืออาวุธร้ายต่างๆ ที่ใช้ อาจจะคิดถึงเหตุการณ์ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ แต่ว่าไม่ได้คิดถึงเป็นเรื่อง แต่เห็นสิ่งที่ปรากฏ ที่ เป็นการกระทำ หรืออาจจะคิดถึงสบง จีวร ที่เคยทอดกฐิน อย่างนั้นก็เป็นกรรมนิมิตได้ เพราะฉะนั้น กรรมนิมิตเป็นได้ทั้ง ๖ ทวาร ส่วนคตินิมิตเป็นได้ เฉพาะทางมโนทวารอย่างเดียว คตินิมิตไม่ใช่การนึก แต่เป็นการเห็น ทางมโนทวารเหมือนฝันเห็น เหมือนเห็นในความฝันเพราะเหตุว่าเป็น ทางมโนทวาร
ผู้ถาม เช่น เห็นรูปปราสาทราชวัง หรือเห็นเป็นเปลวไฟอะไรอย่างนั้น แต่คล้ายๆ เป็นฝันอย่างนั้นใช่ไหม กรรมกับกรรมนิมิตเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร ใช่ไหมครับ
อ.สุจินต์ ถ้าเป็นกรรมอารมณ์ ระลึกถึงกรรม ต้องเฉพาะมโนทวาร แต่ที่ใช้คำว่า กรรมนิมิตนี่ทั้ง ๖ ทวาร
ผู้ถาม คตินิมิตเกิดได้ทาง...
อ.สุจินต์ มโนทวาร ทวารเดียว
สรุป กรรมอารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็นกรรมที่ได้กระทำแล้วในอดีต ถ้าก่อนตายคือ ก่อนจุติจะเกิดขึ้น ระลึกถึงกรรมใดที่ได้กระทำแล้วในอดีต กรรมนั้นเป็นอารมณ์ของชวนสุดท้ายก่อนจุติและกรรมนั้น ก็เป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติต่อไปด้วย การระลึกถึงกรรม ต้องเป็นเฉพาะทางมโนทวาร เท่านั้น
กรรมนิมิตอารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็นนิมิตของกรรมที่จะทำให้ชวนจิตเกิดก่อนตาย คือ ก่อนจุติจิตจะเกิดขึ้น ชวนจิตเกิดขึ้น มีสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือบัญญัติ เป็นอารมณ์ อารมณ์นั้น ก็เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ เช่น เห็นสีแล้ว จุติจิตเกิด สีนั้นก็เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ คิดถึงอาวุธปืน ที่ใช้ในการประกอบอกุศลกรรม เรื่องของปืน ก็เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ คิดถึงเรื่องสบงจีวร ที่เคยได้ถวายในการทอดกฐิน เรื่องของสบงจีวร ก็เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ เป็นได้ทั้ง ๖ ทวาร ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นอารมณ์ประเภทใด คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือ บัญญัติ
คตินิมิตอารมณ์ คือ อารมณ์ที่เป็นคติที่จะไปเกิด เป็นการเห็นทางมโนทวาร เช่น เห็นวิมาน เห็นสวนนันทวัน หรือเห็นไฟนรก เป็นต้น คตินิมิตอารมณ์ เป็นอารมณ์เฉพาะทางมโนทวารเท่านั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
- ถ้าเสพคุ้นในสิ่งที่ผิดบ่อยๆ ก็พอกพูนกิเลสอกุศลให้มากขึ้น เมื่อมีกำลัง มากขึ้นๆ ก็สามารถล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ ไม่ควรเห็นว่า อกุศลไม่มีโทษ เพราะจริงๆ แล้ว อกุศลไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็มีโทษ ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย
- ความเห็นผิดไม่ได้เกิดตลอดเวลา แม้จิตจะเป็นอกุศล โดยปกติแล้วก็เป็นไปกับด้วยความติดข้องยินดีพอใจเป็นส่วนใหญ่ สำหรับในขณะที่ฝันก็คือ วิถีจิตทางมโนทวาร เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง ตามความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตในขณะนั้น ตามการสะสมของแต่ละบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
- ขณะใดที่ความดีเกิดขึ้นเป็นไปนั้น อกุศลเกิดขึ้นไม่ได้เลย การสะสมความดีเป็นสิ่งที่ดี ความดีเป็นความดี ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ก็เป็นความดี ควรสะสม เพราะกุศลไม่เคยนำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้ใครเลย
- จุติจิต จะเกิดขึ้นตอนไหน ก็ไม่มีใครทราบได้ จุติจิตไม่ใช่วิถีจิต (แต่ชวนจิตก่อนตายซึ่งกำลังอ่อนมาก มี ๕ ขณะ นั้นเป็นวิถีจิต) เมื่อจุติจิตเกิดขึ้น ก็ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสหมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ตายแล้วก็เกิดทันที
- การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ ยังอีกยาวไกล การดับกิเลสจนหมดสิ้น ตัดภพชาตินั้น เป็นเรื่องที่ไกลมาก ไม่ใช่จะถึงในชาตินี้ หรือชาติหน้า และจะถึงได้ก็ต้องด้วยการอบรมเจริญปัญญา เท่านั้น ดังนั้น ก็ควรตั้งต้นที่ขณะนี้ คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะเหตุว่า ความเข้าใจจะมากได้ ก็ต้องมาจากการค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตอนใกล้ตายก็แล้วแต่ว่ากรรมใดจะให้ผล ค่ะ
ขอนุโมทนาคะ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ KHAMPAM.A และกัลยาณมิตรทุกท่านเป็นอย่างสูงค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ