อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูป ใช่ไหม
โดย สารธรรม  29 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 44347

. รู้อย่างไร เร็วเหลือเกิน จับไม่ได้สักที

สุ. อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูปใช่ไหม

ถ. ใช่ครับ

สุ. โดยที่ไม่เจริญสติหรือ

ถ. มีสติสักแค่ไหน

สุ. ไม่ใช่สติแค่ไหน แต่หมายความว่า ปัญญารู้ชัดเพิ่มขึ้นโดยที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาก็รู้ว่าเป็นนาม

ถ. เป็นธรรมชาติคนละอย่าง

สุ. ธรรมชาติคนละอย่าง แต่อาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาจะรู้ว่าเป็นนามไม่ได้ ถ้าไม่เจริญสติ จะรู้ไม่ได้เลย

การเจริญสติจริงๆ นั้น ต้องพิจารณาแล้วก็เทียบเคียงเสมอ ถ้าท่านเริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามทางหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามทางอื่น เป็นต้นว่า ถ้าท่านเริ่มระลึกรู้ลักษณะของได้ยินว่า เป็นสภาพรู้ทางหู แต่ว่าทางตายังไม่ได้เริ่มระลึกรู้เลย ท่านเองจะต้องเป็นผู้ที่พิจารณาธรรมเทียบเคียงธรรมว่า ทางหูขณะที่กำลังได้ยิน เป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น ทางตาที่กำลังเห็น สภาพรู้ก็คือการเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้นั่นเอง เทียบเคียงกับทางอื่น แล้วท่านก็สามารถจะระลึกได้ว่า ขณะที่กำลังเห็นนี้ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง

หรือว่า ทางกายก็เหมือนกัน บางท่านเวลาที่ระลึกรู้รูปเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหวทางกาย ท่านบอกว่าไม่ได้รู้นามทางกายเลย เวลาที่ระลึกรู้ที่กายทีไรก็ระลึกรู้แต่ลักษณะของรูปที่อ่อนบ้าง ที่แข็งบ้าง ที่เย็นบ้าง ที่ร้อนบ้างเท่านั้นเอง ไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามที่รู้เย็น ที่รู้ร้อน ที่รู้อ่อน ที่รู้แข็ง ที่รู้ตึง ที่รู้ไหว ความไม่รู้มีมาก ความสงสัยในลักษณะของนามของรูปมีมาก การที่จะยึดถือนามรูปนั้นก็ยังอีกมากมายนักที่สติจะต้องระลึกรู้โดยที่ข้ามไม่ได้

เพราะฉะนั้น เวลาที่จะระลึกรู้ลักษณะของสราคจิต คือ โลภมูลจิต จะเห็นว่าตรงกับที่ได้ทรงแสดงไว้โดยขั้นของปริยัติ เพราะเหตุว่าตลอดเวลาในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นนอน ถ้าไม่ใช่เป็นไปในกุศล ก็จะต้องมีสราคจิต โลภมูลจิตเกิดมาก เกิดบ่อย แล้วก็มีอกุศลจิตประเภทอื่นเกิดด้วย แต่ทำไมสติไม่ค่อยจะระลึกถึงลักษณะของความต้องการ หรือจิตที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้กายไหวไปกระทำสิ่งนั้นบ้าง กระทำสิ่งนี้บ้าง

ระลึกยากใช่ไหม เคยระลึกบ้างไหม เพราะฉะนั้น ที่จะระลึกได้ว่า ถึงแม้สภาพนี้เป็นอกุศลจิต แต่เป็นอกุศลจิตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเพราะมีความต้องการเกิดร่วมด้วย

เพราะฉะนั้น วิธีที่จะระลึกรู้ขั้นต้น เวลาปกติธรรมดาในวันหนึ่งๆ ก็มีอกุศลมากมาย เช่น โลภมูลจิตก็มี โทสมูลจิตก็มี โมหมูลจิตก็มี ผู้ที่เจริญสติจะทราบได้อย่างไรว่า ขณะนั้นจิตกำลังเป็นสภาพของสราคจิตหรือโลภมูลจิต หรือเป็นสภาพของโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิต แต่เวลาที่เป็นสราคจิตที่จะรู้ได้ จะสังเกตได้จากเวทนา คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

เวลาที่เห็นก็ตาม ได้ยินก็ตาม เกิดความปีติ ความโสมนัส ความดีใจ ความชอบมาก ขณะนั้นก็เป็นโสมนัสสสหคตัง เป็นโลภมูลจิต


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 131