โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร
ถอดเทป โดย คุณสงวน สุจริตกุล
ท่านวิทยากร ขอร่วมสนทนาในประเด็นเกี่ยวกับ "การได้ลาภอันประเสริฐ"
ก่อนอื่น ก็ต้องแปลคำว่า "ลาภ" เสียก่อน ว่า "ลาภ" คืออะไร "ลาภ" หมายถึง "การได้" หรือ "สิ่งที่พึงได้" ตามความเป็นจริง การได้อะไร จึงจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ การได้ทรัพย์สมบัติ แก้วแหวน เงินทอง ไม่ใช่การได้ที่ประเสริฐเพราะไม่ใช่ "การเจริญขึ้นของปัญญา
การได้ที่ประเสริฐจริงๆ คือ การได้มีโอกาสฟังพระธรรม การได้ศึกษาพระธรรมการได้อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก สะสมความเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงอันนี้ จึงจะเป็นการได้ที่ประเสริฐ เพราะกว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเรื่องยาก ต้องเป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์และเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หลังจากละโลกนี้ไปแล้วซึ่งก็ไม่มีใครทราบได้ว่า จะเป็นวันใด เมื่อใด สามารถเป็นได้ทุกอย่างเลย ไปเกิดในอบายภูมิก็ได้เป็นเปรต สัตว์นรก สัตว์เดรัจจฉาน อสูรกาย ถ้าเป็นผลของอุศลกรรม ถ้าหากประกอบแต่กรรมดี สะสมคุณงามความดีเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็สามารถไปเกิดในสุคติภูมิได้คือ เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๖ ชั้น หรือถ้าเป็นผู้อบรมความสงบของจิต ถึงขั้นที่เป็น "รูปฌาน" ก็สามารถไปเกิดเป็น "รูปพรหม" (ในรูปพรหมภูมิ) ได้ถ้าอบรมความสงบถึงขั้นที่เป็น "อรูปฌาน"ก็สามารถไปเกิดเป็น "อรูปพรหม" ใน "อรูปพรหมภูมิ" ได้
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดถ้าหากว่ามีการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจไปตามลำดับเมื่อปัญญาคมกล้า สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้เด็ดขาดเมื่อนั้น ย่อมไม่มีการเกิดอีกใน "สังสารวัฏฏ์"คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์และ เมื่อปรินิพพานแล้ว ก็ไม่มีการเกิดอีกเลยเป็นการสิ้นทุกข์ในวัฏฏะ โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นการได้ที่ประเสริฐ ก็ต้องเป็นการได้ฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน
"การประกอบ" การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องอาศัย "การประกอบ"
"การประกอบ" ในที่นี้ก็คือ ความตั้งใจที่จะฟัง ศึกษา น้อมที่จะรับฟังพระธรรม เพราะว่า พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด เป็นเรื่องยาก จึงต้องอาศัยความตั้งใจ ความรอบคอบ ความละเอียด ไม่เผินในการฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ปัญญาจะเกิดได้ ต้องอาศัย "การประกอบ" คือ การฟังพระธรรม แต่ในทางตรงข้าม ถ้าหากว่า "ไม่มีการประกอบ" คือ ไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษาพระธรรมเลยนั่นเป็นทางเสื่อมของปัญญา
เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้ฉลาด ท่านรู้ว่า อะไร เป็นการเจริญขึ้นของปัญญาและ อะไร เป็นทางเสื่อมของปัญญาท่านก็จะตั้งตนไว้ใน "ทางที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้"นั่นก็คือ "การตั้งใจฟังพระธรรม"
ท่านอาจารย์ได้กล่าวเตือนในเรื่องของการฟังพระธรรม ว่าศึกษาธรรมะทีละคำแต่ละคำส่องให้เห็น "ความเป็นจริงของสภาพธรรม"ท่านอาจารย์เริ่มจากคำว่า "ธรรมะ" ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างเลย
สิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจาก จิต เจตสิก รูป และ นิพพานนี้คือ "ธรรมะ" และต่อด้วย คำว่า "สังสาระ" "สังสาระ" คืออะไร คือ การท่องเที่ยวไป ถ้าหากว่าไม่มีสังสาระเลยคือ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูปเลย แล้วอะไรจะท่องเที่ยวไป
เพราะฉะนั้น "สังสาระ" ก็คือ ความเป็นไปของสภาพธรรมกล่าวคือ จิต เจตสิก รูป ที่เป็นไปอย่างไม่ขาดสายซึ่งไม่พ้นไปจากขณะนี้ เพราะขณะนี้ กำลังมีจิต (และเจตสิก) ซึ่งเป็น "นามธรรม" เป็นสภาพธรรมท่มีจริง เป็นสภาพรู้ ที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาและมี "รูปธรรม" ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยซึ่งเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการมีโอกาสได้ฟังพระธรรมนั้น จึงเป็นการได้ลาภอันประเสริฐเพราะเป็นไปเพื่อ ความเข้าใจที่ถูกต้องค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ ค่อยๆ เพิ่มพูนความเข้าใจที่ถูกต้องขึ้น ตามลำดับจนกว่าจะมีวันนั้นคือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคล
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เราก็แบกสังขารที่เรายังยึดถือกันอยู่นี่แหละ รักกัน คิดถึงกัน จ๊ะจ๋า ห่วงหากันอยู่ ไม่อาจห่างหายไปได้เลย หมักหมมอยู่ เร้าร้อนอยู่ มืดมนอยู่
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ