ของขวัญจาก..ท่านอาจารย์
โดย คุณย่า  20 พ.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 12420

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
พระสูตร ครั้งที่ ๗๖
๑๐ มกราคม ๒๕๕๒

อ.จ. ก็..ขออนุโมทนา ในกุศลจิตและในศรัทธา ที่มีในการฟังธรรม เพราะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย และไม่ใช่เป็นสิ่งที่หาง่าย กระทั่งธรรมลึกซึ้ง แต่ก็ยังมีความอดทน ที่จะรู้ว่าเป็นสัจจะเป็นความจริง เพราะว่าแม้แต่เกิด มาแล้วก็มีชีวิตอยู่ โดยที่ว่ามีการเห็น การได้ยิน ได้ฟัง ตลอดตั้งแต่ เกิดจนตาย ก็ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นคืออะไร ไม่มีทางรู้ได้เลย จนกว่าจะได้มี โอกาสฟังและมีศรัทธาที่จะสนใจ เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ใน ขณะนี้ เป็นการสนใจที่ไม่เหมือนกับสนใจเรื่องอื่น สนใจเรื่องอื่นไม่ใช่ สนใจที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตไม่เคยขาดไปเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น การที่ได้มีศรัทธา ที่ได้สะสมมาแล้ว ก่อนๆ ในชาติก่อนๆ แต่ปางก่อน เป็นปัจจัยที่มีโอกาส ที่จะได้ฟัง ความละเอียด ความลึกซึ้งของธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพื่อตนที่จะรู้ แจ้ง อริยสัจจธรรม

แต่เพื่อมีความมั่งคงของศรัทธา ที่จะเห็นว่าพระ ธรรมที่แสดง เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย เพราะว่า สะสมความไม่รู้ไม่เข้าใจมานานมาก เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งสภาพธรรมจะ ปรากฏ ไม่มีทางจะเข้าใจได้ทันที ถ้าไม่มีโอกาสสะสมความเห็นถูก ทีละเล็กทีละน้อย แต่เมื่อมีความมั่นคงว่าขณะนี้ เป็นธรรมที่พระผู้มีพระ ภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ก็จะทำให้เรารู้ว่าไม่มีอย่างอื่นแน่นอนที่ จะทำให้เห็นถูกได้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น ก็เป็นการยาก แต่ว่าการสะสมในขณะนี้ ไม่รู้เลยว่าเป็นการปรุงแต่งของ สังขารขันธ์ เมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อนจนถึง ณ วันนี้ แล้วก็ถอยจาก ๒๕๐๐ กว่าปี ไปอีกแสนกัป ก็ไม่ทราบว่า สะสมมาที่จะมีโอกาส ได้ฟังเมื่อ ๒๕๐๐ ปีก่อน แล้วก็ขณะนี้ ปรุงแต่งมาจนถึงขณะนี้ แล้วก็จะปรุงแต่งต่อ ไป ซึ่งสภาพธรรมนี้ไม่ซ้ำ แม้ว่าเป็นรูปที่ปรากฏทางตาก็คนละรูป ตาม เหตุตามปัจจัย ซึ่งเกิดดับไม่ใช่ว่า เมื่อแสนกัปป์ กลับมาได้หรือ เมื่อ ๒๕๐๐ ปีกลับมาได้ หรือต่อไปข้างหน้าสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็จะ กลับไปปรากฏอีกก็ไม่ใช่ เพราะว่าการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม นี้ว่างเปล่าจากสาระ เพราะว่าเพียงปัจจัยเกิดปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ได้ กลับมาอีกเลย แต่การปรุงแต่งของสภาพธรรมนี้ ละเอียดและจิตที่ สะสมมานี้ จะมีความรู้สึก มีความทรงจำ การเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏมาก น้อยแค่ไหน ก็เป็นเรื่องจริงซึ่งต้องเป็นปัญญาอย่างเดียว เพราะว่าถ้าไม่ ใช่ปัญญา จะสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ไหม? ก็ไม่ได้เลย

แล้ว..ก็โอกาสพิเศษที่ คุณอรวรรณ กล่าวถึง คุณอรวรรณก็จะ พูดถึงโอกาสพิเศษนี้ ก่อนโอกาสพิเศษ คือว่าจะพูดก่อนวันปีใหม่ แล้ว วันนี้ก็ไม่ใช่ปีก่อนแน่นอนแต่ คุณอรวรรณ ก็พูดถึงปีก่อนซึ่งอยากจะพูดถึง ปีใหม่ถูกไหมค่ะ แต่ปีใหม่ลองคิดดูนะค่ะ หลัง ๒๔ นาฬิกาไปเพียงนิด เดียวเก่ากับใหม่ไม่มีอะไรแตกต่างกันเพียงชั่ว๑ ขณะ แต่ถ้าคิดมากกว่านั้น คือตลอดปี เราทำอะไรบ้าง แทนที่จะคิดถึงปีใหม่จะทำอะไร เพราะว่าการ ที่จะทำอะไร จะเห็นจะได้ยิน จะคิดจะเข้าใจสิ่งที่ปรากฏนี้ ต้องมาจากปี ก่อนที่ได้สะสมมา ถ้าไม่มีธรรมในปีก่อนสะสมมาปรุงแต่ง ที่จะให้เกิดขึ้น เป็นไปในปีใหม่ๆ ก็เป็นเพียงแต่ รู้คิดแต่ไม่รู้จริงๆ ว่าแท้ที่จริง แต่ละขณะ ของปีก่อนๆ ก็เป็นสังขารขันธ์ ที่จะปรุงแต่งให้แต่ละขณะของปีใหม่เกิด ขึ้นเป็นไป จากการที่ไม่เคยฟังธรรมเลยแล้วก็ไม่เข้าใจธรรมแล้วปีก่อนได้ ฟังมามากแค่ไหน จะไม่เห็นความเป็นสังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งอย่างละเอียด มาก ไม่มีเราที่ตั้งใจจะทำความเพียร แต่ความตั้งใจมีเป็นเจตนาเจตสิก ความเพียรมีวิริยเจตสิกไม่ใช่เรา ทั้งหมดนี้ เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง จนกระทั่งสามารถที่จะมีชีวิตต่อไป

ที่..เราใช้คำว่า ในปีนี้ซึ่งเป็นปีใหม่ของปีก่อน ตามการที่ได้ สะสมมาจากปีก่อน เพราะฉะนั้นการที่จะได้มีโอกาสที่จะได้เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น แม้เพียงทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นผู้ที่ตรงไม่ใช่ เป็นผู้ที่รีบร้อน ที่จะหมดกิเลส เพราะว่าพระสูตรที่ทรงแสดงทั้งหมด เป็น สัจจธรรม สามารถที่จะทำให้ถึง อริยสัจจะได้ แม้แต่เรื่องของการพูด หรือ การอยู่ร่วมกัน ต้องมีการพูดใช่ไหมค่ะ คงจะไม่ไปพูดกับคนอื่นหรือที่อื่น ไม่มีคนแน่ๆ และจะพูดกับใคร ก็ต้องพูดกับผู้ที่อยู่ร่วมกันนั้นเอง แต่ว่า ทุกเรื่องที่จะพูด หรือเวลาที่จะพูด แต่เดี๋ยวนี้ ธรรมทั้งหมดต้องเดี๋ยวนี้ เวลาที่อยู่ร่วมกัน ก็พูดถึงว่าใครเป็นผู้ที่ไม่ใช่สัปบุรุษ อ่านมาแล้วใช่ไหม ค่ะ

พระสูตรนี้ ยังไม่มีใครถามเลย แต่ ณ เดี๋ยวนี้ ที่อยู่ร่วมกันนี้ ดูหมิ่นคนอื่นหรือเปล่า แค่นี้แหละค่ะ ไม่ต้องไปไกล ถึงขนาดที่ว่า จะมีวาจาที่ กล่าวด้วยความดูหมิ่นในอกุศลของคนอื่น หรือว่าอะไรอีกมากมายที่ทรง แสดงเหมือนกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ในขณะนี้ ลืมอีกแล้วว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็น จิต เป็นเจตสิก ทั้งหมดค่ะ ไม่มีใครสักคนล้วนแล้วแต่ เป็นจิตทั้งนั้น เจตสิกที่เกิดกับจิตก็ไม่ใช่ใคร เพียงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การอยู่ร่วมกัน ถ้า เป็นสัปบุรุษไม่ดูหมิ่น เดี๋ยวนี้เองนะค่ะดูหมิ่นใครบ้างหรือเปล่า แม้เพียง เล็กน้อยหรือนิดเดียวอาจจะไม่รู้สึกตัว แต่สิ่งที่ไม่รู้นี่ละค่ะเล็กน้อยที่เป็น อกุศล ก็เป็น อกุศล จะเป็นกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ประมาทนะค่ะ ที่ จะคิดถึงข้างหน้าอีกนานแต่ว่าในเดี๋ยวนี้ ขณะนี้เองดูหมิ่นคนอื่นหรือเปล่า มองไปรอบๆ มีบ้างไหม ไม่ชอบใครหรือเปล่า? มีบ้างไหม ทุกๆ วันก็ สะสมไปทุกชาติ ทุกเสาร์ทุกอาทิตย์ แต่ความเป็นจริง ก็คือว่าเตือนให้ เห็นว่า แม้แต่เพียง หิริหรือโอตตัปปะ สำหรับสัปบุรุษ ก็อย่าง ๑ และ สำหรับ อสัปบุรุษ ก็ไม่มี หิริโอตัปปะเมื่ออกุศลเกิดขึ้น

เพราะ.. ฉะนั้นการพบปะหรือการจะอยู่ร่วมกันกับใครก็ตาม ใหม่หรือเก่า พึ่งพบพึ่งรู้จัก หรือว่าเห็นกันบ่อยๆ เป็นเครื่องเตือนนะค่ะ ว่า ขณะนั้นนะค่ะ มีหิริโอตัปปะไหม มีการดูหมิ่นบุคลนั้น ทาง ๑ ทางใด แม้ ว่าไม่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด ถ้ามีคนที่เราคิดว่าไม่ดีขณะนั้นน่ะ ดูหมิ่นหรือ เมตตาเขาไม่ดีน่าเห็นใจ ถ้าเราสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลได้ ด้วยประการ ใดๆ ที่จะทำให้เขาดี ควรกระทำไหม มีหิริโอตตัปปะเมื่อมีเมตตาที่หวังดี ต่อคนอื่นไม่เลือกด้วยว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้นแต่ละคนที่ฟังธรรมทุกคนก็ จะเห็นอัธยาศัยที่ต่างๆ กันไป บางอัธยาศัยคนที่มีอัธยาศัยไม่เหมือนกัน ก็ไม่ชอบเลย ถูกต้องไหมค่ะ และอาจจะคิดว่า ดีกว่าคนนั้นด้วยไม่เป็น อย่างคนที่ไม่ดี ขณะนั้นมีหิริโอตตัปปะหรือเปล่า ไม่ต้องไปคิดมากถึงหิริ โอตตัปปะ ที่ไม่ใช่ในขณะนั้นเลย

อดีตก็หมดไปแล้ว อนาคตก็ยัง ไม่ได้มาถึง แต่สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่เหมือนกระจก พระธรรมทั้งหมดจะส่องให้ถึงใจ เพราะว่าในวันนี้ ทุกคนส่องกระจกแล้ว เห็นแต่รูปไม่ถึงใจ ถ้ามีพระธรรม เพราะฉะนั้น พระธรรมนี่ สามารถจะ เกื้อกูล ใช้คำว่าเพลิดเพลิน ในการฟังสัจจะ ในการฟังสิ่งที่จริงรู้ว่าสิ่ง นั้นนะไพเราะน่าฟัง เพราะว่ากล่าวถึงความจริงทั้งหมด แล้วไม่ใช่ความ จริงธรรมดา แต่เป็นความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแต่รับ ฟังว่าจริง แล้วก็เพิกเฉยก็แสดงว่า แม้แต่พระองค์จะทรงมีพระมหากรุณา แสดงพระธรรมโดยประการทั้งปวง ตลอด ๔๕ พรรษา ก็ยังไม่สามารถที่ จะเปลี่ยนใจคนที่ไม่มีหิริโอตตัปปะให้เกิดหิริโอตตัปปะได้ และคนนั้นก็ไม่ ใช่คนอื่น เลิกคิดถึงคนอื่น เพราะว่าใจของแต่ละคนย่อมเป็นไปตามการ

สะสมของแต่ละคนเปลี่ยนก็ไม่ได้ ขอยืมก็ไม่ได้ ขอร้องก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ ไม่ได้สักอย่าง ๑ นอกจากเมื่อมีปัญญา เมื่อไรจึงจะมีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงธรรมโดย ละเอียดยิ่ง เพราะว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เราอยู่กันคนอื่นและขณะ ใดก็ตามที่ใช้คำว่าดูหมิ่น ไม่มีหิริโอตตัปปะ เพราะว่าขณะนั้นไม่เมตตา แล้วเราก็พูดถึงการเจริญเมตตา ใช่ไหมค่ะ แล้วจะเจริญเมื่อไหร่ วันไหน ขณะไหน ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มี แล้วเป็นผู้ที่อยู่ในที่ๆ ได้สะสมบุญมาแล้วทั้งนั้น ที่จะฟังพระธรรมร่วมกันฟังพระธรรม แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่ชอบคนนี้ ยังดู หมิ่นคนนั้น แล้วการฟังพระธรรมประโยชน์เพื่ออะไร

ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ เป็นตัวเราที่ฟัง แต่ถ้าฟังเพื่อที่จะรู้ว่าจิตที่สะสมมาไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ ของใคร แต่ว่าสะสมอกุศลมามากมาย จนกระทั่งไม่มีที่จะเก็บ ถ้าเป็นรูป จักรวาลก็ไม่พอ แต่เพราะว่าเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ก็สะสมทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดดับสืบต่อมาโดยที่ว่าถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะไม่มีหน ทางที่จะทำให้จิตนี้ มีหิริโอตตัปปะและเป็นกุศลเพิ่มขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ถ้า เข้าใจว่าการฟังพระธรรมเพื่อละความไม่ดี คิดไหมค่ะ เพื่อละความไม่ดี และเพื่อให้มีความดีเพิ่มขึ้น แต่ทั้งหมดไม่อยู่ในการบังคับบัญชา ต้องเป็น ปัญญา แม้จะฟังเรื่อง หิริโอตตัปปะ บังคับได้ไหมค่ะวันนี้จะดีจะไม่ดูหมิ่น ใคร จะมีเมตตาจะไม่ว่าเขา จะเป็นใคร มาจากไหนอยู่ที่นี่หรือที่อื่นที่ใดก็ ตามแต่ ความเป็นมิตรและมิตรแท้จริงๆ ความหวังดีจริงๆ ให้สิ่งที่ดีโดย เฉพาะคือให้ความเห็นถูกเข้าใจถูกในธรรม เพราะว่าอกุศล ทั้งหลายมา จากความไม่รู้และความเห็นผิด ทำให้มีการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด เป็นบุคคลต่างๆ

เพราะ..ฉะนั้นตราบใดที่มีความไม่รู้ ก็เป็นไปตามความไม่ รู้ แต่เมื่อมีความรู้เพิ่มขึ้น หิริโอตตัปปะก็เพิ่มขึ้น กุศลก็เพิ่มขึ้น แล้วก็รู้ ด้วยว่าการฟังธรรมเพื่อละความไม่ดี พร้อมหรือยังค่ะ พร้อมเดี๋ยวนี้แล้ว แต่ก็ไม่พร้อมอีกแล้ว ก็เพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญา เพราะฉะนั้นให้เห็น ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาไม่สามารถจะเห็นธรรมใดๆ ตามความเป็นจริงได้เลย เมื่อไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง อกุศลก็ ต้องเพิ่มขึ้น ไม่มีการที่จะสามารถหวังได้เลย ว่าความไม่ดีนั้นจะหมดไป ได้ มีแต่ความไม่ดีนั้นจะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมนี้ จะต้อง เป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ มีความมั่นคงไม่ใช่ฟังแล้ว เมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจจ ธรรม ธรรมขณะนี้กำลังเกิดดับ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยค่ะ ถ้าไม่ใช่ ปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็มีความมั่นคงขึ้นด้วยว่าปัญญา ไม่ใช่ อย่างอื่นเลย เห็นถูก เข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะ ถึงแม้จะเข้าใจว่าทำดีขณะใด ที่มีหิริโอตตัปปะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ก็คือ ไม่สามารถที่จะดับความไม่ดีได้เลย ก็เป็นแต่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็ ไม่มีทางที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์ เพราะว่าการที่มีสภาพธรรม ขณะนี้ ก็เพราะยังมีความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏ....



ความคิดเห็น 1    โดย suwit02  วันที่ 20 พ.ค. 2552

สาธุ

ขอกราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย arin  วันที่ 20 พ.ค. 2552

กราบอนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย ประสาน  วันที่ 21 พ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาเจริญธรรม


ความคิดเห็น 5    โดย orawan.c  วันที่ 21 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 6    โดย นายเรืองศิลป์  วันที่ 21 พ.ค. 2552

กราบอนุโมทนา


ความคิดเห็น 7    โดย yupa  วันที่ 21 พ.ค. 2552

เป็นของขวัญล้ำค่า ฟังการบรรยายธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ มาหลายปี ไม่เคยได้ยินสักประโยคเดียว ที่อาจารย์จะพูดเรื่องไร้สาระ ท่านมีเจตนาที่เป็นกุศลต่อผู้ฟังเสมอ

ข้าพเจ้า ขอกราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์สุจินต์ มา ณ ที่นี้


ความคิดเห็น 8    โดย สุภาพร  วันที่ 21 พ.ค. 2552

ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย natnicha  วันที่ 21 พ.ค. 2552

เป็นของขวัญที่มีค่ามาก ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 21 พ.ค. 2552

การได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์...เป็นของขวัญที่ลำค่ายิ่งขอกราบอนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 11    โดย captpok  วันที่ 21 พ.ค. 2552
ขออนุโมทนาตรับ

ความคิดเห็น 12    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 21 พ.ค. 2552

เพราะ.. ฉะนั้นการพบปะหรือการจะอยู่ร่วมกันกับใครก็ตาม ใหม่หรือเก่า พึ่งพบพึ่งรู้จัก หรือว่าเห็นกันบ่อยๆ เป็นเครื่องเตือนนะค่ะ ว่าขณะนั้นนะค่ะ มีหิริโอตัปปะไหม มีการดูหมิ่นบุคลนั้น ทาง ๑ ทางใด แม้ว่าไม่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด

แต่สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่เหมือนกระจก พระธรรมทั้งหมดจะส่องให้ถึงใจ เพราะว่าในวันนี้ ทุกคนส่องกระจกแล้ว เห็นแต่รูปไม่ถึงใจ

ขอกราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย พุทธรักษา  วันที่ 21 พ.ค. 2552

เพราะว่า "สะสมความไม่รู้" และ "ไม่เข้าใจ" มานานมาก เพราะฉะนั้น แม้กระทั่ง สภาพธรรมจะปรากฏ (ก็) ไม่มีทางจะ "เข้าใจ" ได้ทันที ถ้าไม่มีโอกาส "สะสมความเห็นถูก" ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่เมื่อ "มีความมั่นคง" ว่า ขณะนี้ เป็นธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง ก็จะทำให้เรารู้ว่า ไม่มี "อย่างอื่น" แน่นอนที่ จะทำให้ "เห็นถูก" ได้ ตามความเป็นจริง ว่าเป็น "ธรรม ซึ่ง ไม่ใช่เรา"

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมนี้ จะต้อง "เป็นผู้ที่ละเอียด" จริงๆ "มีความมั่นคง" ไม่ใช่ฟังแล้ว เมื่อไรจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
ด้วยความเคารพอย่างสูง ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

(ขออนุโมทนาท่าน...ผู้เอื้อเฟื้อรูปภาพ ค่ะ)


ความคิดเห็น 14    โดย คุณ  วันที่ 22 พ.ค. 2552
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 15    โดย อิสระ  วันที่ 22 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย ING  วันที่ 23 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 17    โดย nida  วันที่ 24 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 18    โดย nida  วันที่ 29 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 19    โดย อภิรดี  วันที่ 31 ธ.ค. 2552

มีสิ่งของ ของขวัญมากมายที่ได้รับ สิ่งที่ท่านแสดงให้ฟัง ให้เห็น ให้ความรู้ ความเข้าใจ รับได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เหลือเกินตามฐานะ

กราบเท้าท่านอาจารย์และอาจารย์ทุกท่านด้วยความเคารพ

และกราบอนุโมทนา


ความคิดเห็น 20    โดย pamali  วันที่ 13 ต.ค. 2553

กราบขอบพระคุณท่านอจ. สุจินต์ด้วยความมเคารพอย่างยิ่ง และขออนุโมทนาด้วยค่ะสาธุ


ความคิดเห็น 21    โดย เข้าใจ  วันที่ 10 ธ.ค. 2556

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่ง

ขอเก็บพระธรรมอันซาบซึ๊งเอาไว้ในหทัย ด้วยเคารพอย่างยิ่ง

ขอกราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 22    โดย peem  วันที่ 27 ก.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย chatchai.k  วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ