ความรู้ขั้นการฟังนั้น ก็ละความไม่รู้ของการฟัง
โดย chatchai.k  6 ก.ย. 2565
หัวข้อหมายเลข 43691

เวลานี้ รูปารมณ์หรือสีที่กำลังเห็น ก็เกิดดับนับไม่ถ้วน นามที่เห็นในขณะนี้ที่รู้สึกว่าติดต่อกัน ก็เกิดดับนับไม่ถ้วน แต่ว่าผู้ที่ยังไม่มีความสมบูรณ์ของปัญญา ไม่รู้ความจริงในข้อนี้ เพราะเหตุว่าความรู้ขั้นการฟังนั้น ก็ละความไม่รู้ของการฟัง แต่ว่าที่จะให้ละคลายความยึดถือนามและรูปที่กำลังปรากฏนั้น ก็จะต้องเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านรู้โลกในพระวินัยของพระอริยะ ก็ไม่มีอวิชชาที่จะปิดบังที่จะกั้นไม่ให้สัมมาวายามะ ความเพียรที่จะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนั้นเกิดขึ้นได้เลย

อย่างบางท่านชีวิตประจำวันทุกๆ วันนี้ ก็อาจจะรู้สึกว่าคงจะมีลักษณะที่ต่างกับชีวิตประจำวันในครั้งพุทธกาล เพราะเหตุว่าโลกก็เปลี่ยนไป สถานที่ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป เครื่องใช้อะไรต่างๆ ก็อาจจะเปลี่ยนรูปร่างลักษณะไป แต่ถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากมายสักเท่าไรก็ตาม โลกในพระวินัยของพระอริยเจ้านั้นไม่เปลี่ยน เพราะเหตุว่า จะต้องมีเพียง ๖ โลกหรือว่า ๖ ทางเท่านั้น อย่างเวลาที่กำลังโทรศัพท์ ขอยกตัวอย่างสักนิดหนึ่งเพื่อว่าบางท่านก็อาจจะคิดว่า ไม่น่าจะเจริญสติปัฏฐานได้ หรือว่าสิ่งเหล่านี้คงจะไม่มีในครั้งพุทธกาล ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน แต่ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นของใหม่จากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้ากำลังจับโทรศัพท์แล้วมีสติ คำว่ามีสติคือระลึกได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ จะเป็นลักษณะหนึ่งลักษณะใดทางตา ทางหูก็ได้ หรือว่าทางกายก็ได้ เพราะว่าถ้าจับโทรศัพท์ ก็รู้สึกว่าแข็ง เวลานี้มีแข็ง จับอะไรก็แข็งทั้งนั้น ลองจับดูก็ได้ ที่กำลังนั่งก็แข็งไม่ใช่ไม่แข็ง แล้วต่างกันอย่างไรกับโทรศัพท์ ก็เป็นแต่เพียงความแข็งเท่านั้นเอง แต่ความแข็งนั้น ท่านอาจคิดว่ากระทบที่มือแล้ว โลกใช้คำสมมติบัญญัติว่าโทรศัพท์ แต่โลกในพระวินัยของพระอริยเจ้านั้น ทางกายไม่ว่าจะเย็นหรือร้อนหรืออ่อนหรือแข็ง ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้แล้วก็ดับ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ท่านสามารถจะยึดถือว่าเป็นตัวตนได้เลยสักอย่างเดียว แต่เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็เอามาเชื่อมโยงเป็นวัตถุสิ่งต่างๆ แต่โลกในวินัยของพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่มีความต่างกันเลย กระทบโทรศัพท์ กระทบเก้าอี้ กระทบอะไรก็แข็งเท่านั้นเอง แล้วเมื่อมีการพูด ไม่ว่าจะพูดธรรมในพระวิหารเชตวัน ในอดีตหลายพันปีมาแล้วก็ตาม หรือว่ามีการพูดในขณะที่จับโทรศัพท์ ก็รู้ที่ลักษณะหนึ่งลักษณะใดที่กำลังปรากฏ ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง โดยที่ว่าไม่จำเป็นจะต้องจงใจจำกัดปัญญาให้รู้เฉพาะตรงนี้หรือตรงนั้น นั่นเป็นการจำกัดปัญญา และโดยลักษณะนั้น ปัญญาจะเจริญขึ้นไม่ได้เลย

ฉะนั้น ผู้เจริญสติไม่ต้องกลัวว่าขณะนี้เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ขณะนั้นเจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ระลึกได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ สำหรับในพระสูตรก็มีมากทีเดียว ที่แสดงให้เห็นว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นการเจริญสติ รู้ลักษณะของชีวิตจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด ถ้าเป็นเพศภิกษุ พระภิกษุท่านก็มีชีวิตจริงๆ ที่ดำเนินไปทุกๆ วันตามพระวินัยบัญญัติ ฉะนั้น ฆราวาสที่เจริญสติปัฏฐานก็เหมือนกัน ที่จะต้องพิจารณานามและรูปที่เป็นชีวิตจริงๆ ที่ดำเนินไปทุกๆ วัน ไม่สับสนกัน แล้วถ้าท่านศึกษาในพระวินัย ท่านจะเห็นจริงๆ ว่า เป็นชีวิตปกติ เพราะว่าในตอนแรกนั้น พระผู้มีพระภาคก็ยังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบทข้อหนึ่งข้อใด เมื่อท่านเหล่านั้นมีสัทธาที่จะประพฤติตาม พระองค์ก็ทรงแสดงข้อประพฤติปฏิบัติ ให้เจริญสติปัฏฐาน เพื่อที่จะให้รู้แจ้งธรรม แต่ว่าเมื่อมีสัทธาบวชกันมากขึ้น แต่ละอัธยาศัยก็ต่างกัน ฉะนั้น ก็อาจจะมีความประพฤติทางกาย ทางวาจา สำหรับบางท่านที่อาจจะไม่เป็นที่น่าเลื่อมใส หรือไม่อุปการะแก่การกำจัดอาสวะ พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงบัญญัติพระวินัยเพิ่มขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับสมณเพศ แต่ข้อสำคัญที่ควรจะต้องพิจารณาก็คือว่า พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบังคับ ไม่ว่าพระภิกษุท่านจะไปที่ไหนก็มิได้ทรงบังคับ ไม่ว่าพระภิกษุท่านจะสนทนาธรรม หรือว่าจะทำกิจประการหนึ่งประการใด ในเรื่องของปัจจัย ๔ ในเรื่องของการดำเนินชีวิตไป พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงบังคับ แต่ทรงบัญญัติสิ่งที่เหมาะที่ควรแก่สมณเพศ


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 19