[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 52
ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
ปารายนวรรค
ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒
ว่าด้วยปัญหาของท่านติสสเมตเตยยะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 67]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 52
ติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒
ว่าด้วยปัญหาของท่านติสสเมตเตยยะ
[๑๐๐] (ท่านติสสเมตเตยยะทูลถามว่า)
ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี ใครรู้สิ้นสุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
[๑๐๑] คำว่า ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความว่า ใครพอใจ คือ ชอบใจ มีความดำริบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใครยินดีแล้วในโลกนี้.
บทว่า อิติ ในอุเทศว่า "อิจฺจายสฺมา ติสฺสเมตเตยฺโย" ดังนี้ เป็นบทสนธิ คือ เป็นบทเกี่ยวเนื่อง เป็นบทยังเนื้อความให้บริบูรณ์ เป็นความประชุมแห่งอักขระ เป็นความสละสลวยแห่งพยัญชนะ.
บทว่า อิติ นี้ เป็นไปตามลำดับบท.
คำว่า อายสฺมา เป็นเครื่องกล่าวด้วยความรัก เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ.
คำว่า อายสฺมา นี้ เป็นเครื่องกล่าวถึงเป็นไปกับด้วยความเคารพและความยำเกรง.
คำว่า ติสฺสเมตฺเตยฺโย เป็นชื่อ เป็นเครื่องนับ เป็นเครื่องหมายรู้ เป็นบัญญัติ เป็นเครื่องร้องเรียก เป็นนาม เป็นการตั้งชื่อ เป็นเครื่องทรงชื่อ เป็นภาษาที่ร้องเรียกกัน เป็นเครื่องแสดงให้ปรากฏ เป็นเครื่องกล่าวเฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า "อิจฺจายสฺมา ติสฺสเมตฺเตยฺโย."
[๑๐๒] คำว่า ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี ความว่า ความหวั่นไหวเพราะตัณหา ความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิ ความหวั่นไหวเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 53
มานะ ความหวั่นไหวเพราะกิเลส ความหวั่นไหวเพราะกรรม ความหวั่นไหวเหล่านี้ของใครย่อมไม่มี คือ ไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ คือ ความหวั่นไหวอันใครละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว มีความไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี.
[๑๐๓] คำว่า ใครรู้ส่วนสุดทั้งสองแล้ว ความว่า ใครรู้จัก คือ ทราบ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งส่วนสุดทั้งสอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใครรู้จักส่วนสุดทั้งสองแล้ว.
[๑๐๔] คำว่า ไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา ความว่า ไม่ติด คือ ไม่เข้าไปติด ออกไป สลัดออกไป หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้อง มีใจปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา.
[๑๐๕] คำว่า พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ ความว่า พระองค์ตรัสเรียกใคร คือตรัสใคร ทรงสำคัญใคร ทรงชมเชยใคร ทรงเห็นใคร ทรงบัญญัติใครว่าเป็นมหาบุรุษ คือเป็นอัครบุรุษ บุรุษสูงสุด บุรุษวิเศษ บุรุษประธาน อุดมบุรุษ บุรุษประเสริฐ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระองค์ตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ.
[๑๐๖] คำว่า ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้ ความว่า ใครล่วงแล้ว คือ เข้าไปล่วงแล้ว ก้าวล่วงแล้ว พ้นแล้ว เป็นไปล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
เพราะเหตุนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 54
ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ความหวั่นไหวของใครย่อมไม่มี ใครรู้ส่วนสุดทั้งสองแล้ว ย่อมไม่ติดในท่ามกลางด้วยปัญญา พระองค์ย่อมตรัสเรียกใครว่าเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
[๑๐๗] (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเมตเตยยะ) ภิกษุมีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ ทราบแล้ว ดับแล้ว ไม่มีความหวั่นไหว ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสอง และท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่ เราเรียกภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นล่วงเสียแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
[๑๐๘] โดยอุทานว่า กามา ในอุเทศว่า "กาเมสุ พฺรหฺมจริยวา" ดังนี้ กามมี ๒ อย่าง คือ วัตถุกาม ๑ กิเลสกาม ๑ ฯลฯ เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกาม ฯลฯ เหล่านี้เรียกกิเลสกาม คำว่า มีพรหมจรรย์ ความว่า ความงด ความเว้น ความเว้นขาด ความขับไล่เวร กิริยาที่ไม่กระทำ ความไม่ทำ ความไม่ต้อง ความไม่ล่วงแดน ซึ่งความถึงพร้อมด้วยอสัทธรรมเรียกว่าพรหมจรรย์.
อีกอย่างหนึ่ง โดยตรงท่านเรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ว่าพรหมจรรย์ ภิกษุใดเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า มีพรหมจรรย์ เขาเรียกบุคคลว่า มีทรัพย์ เพราะทรัพย์ เรียกกันว่า มีโภคะ เพราะโภคะ เรียกกันว่ามียศ เพราะยศ เรียกกันว่า มีศิลป เพราะศิลป เรียกกันว่ามีศีล เพราะศีล เรียกกันว่า มีความเพียร เพราะความเพียร เรียกกันว่ามีปัญญา เพราะปัญญา เรียก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 55
กันว่ามีวิชชา เพราะวิชชาฉันใด ภิกษุใดเข้าไป เข้าไปพร้อม เข้ามา เข้ามาพร้อม เข้าถึง เข้าถึงพร้อม ประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ ภิกษุนั้นท่านก็เรียกว่า มีพรหมจรรย์ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์นั้นโดยโคตรว่า ดูก่อนเมตเตยยะ. คำว่า ภควา เป็นเครื่องกล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนเมตเตยยะ.
[๑๐๙] รูปตัณหา... ธรรมตัณหา ชื่อว่า ตัณหา ในอุเทศว่า "ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ" ภิกษุใดละตัณหานี้ขาดแล้ว คือ ตัด ขาดแล้ว สงบแล้ว มีความไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือ ญาณ ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า ปราศจากตัณหา คือสละตัณหาแล้ว คายตัณหาแล้ว ปล่อยตัณหาแล้ว ละตัณหาแล้ว สละคืนตัณหาแล้ว มีราคะไปปราศจากแล้ว สละราคะแล้ว คายราคะแล้ว ปล่อยราคะแล้ว ละราคะแล้ว สละคืนราคะแล้ว เป็นผู้ไม่มีความหิว เป็นผู้ดับแล้ว เย็นแล้ว เสวยสุข มีตนเป็นเพียงดังพรหมอยู่.
คำว่า สทา ความว่า ทุกเมื่อ คือ ทุกสมัย ตลอดกาลทั้งปวง กาลเป็นนิตย์ กาลยั่งยืน ติดต่อ เนืองๆ เนื่องกัน ต่อลำดับไม่สับสนกัน ไม่ว่าง ประกอบด้วยความพร้อมเพรียง ถูกต้องกัน กาลเป็นปุเรภัต กาลเป็นปัจฉาภัต ตลอดยามต้น ตลอดยามกลาง ตลอดยามหลัง ในข้างแรม ในข้างขึ้น ในฤดูฝน ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ในตอนวัยต้น ในตอนวัยกลาง ในตอนวัยหลัง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 56
คำว่า มีสติ ความว่า มีสติด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ ชื่อว่ามีสติ เพราะเป็นผู้เจริญสติปัฏฐาน คือการพิจารณาเห็นกายในกาย ๑... การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ๑... การพิจารณาเห็นจิตในจิต ๑... การพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ๑ ฯลฯ ภิกษุนั้นท่านเรียกว่า ผู้มีสติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ.
[๑๑๐] ญาณ ปัญญา กิริยาที่รู้ ความเลือกเฟ้นฯ ลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ปัญญาอันเห็นชอบ ชื่อว่า สังขา ในอุเทศว่า สงฺขาย นิพฺพุโต ภิกฺขุ.
คำว่า ทราบแล้ว ความว่า ทราบ คือ รู้ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้งแล้ว คือทราบ... ทำให้แจ่มแจ้งแล้วว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง... สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์... ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา.
อีกอย่างหนึ่ง ทราบ... ทำให้แจ่นแจ้งแล้วโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง... เป็นทุกข์... เป็นโรค... เป็นดังหัวฝี... เป็นดังลูกศร ฯลฯ โดยไม่มีอุบายเครื่องออกไป.
คำว่า ดับแล้ว ความว่า ชื่อว่าดับแล้ว เพราะเป็นผู้ดับราคะ โทสะ โมหะ... มทะ ปมาทะ กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือดร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง.
คำว่า ภิกฺขุ ความว่า ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ทำลายธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 57
๗ ประการฯ ลฯ ภิกษุนั้น... อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีภพใหม่สิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ... ทราบแล้ว ดับแล้ว.
[๑๑๑] คำว่า ตสฺส ในอุเทศว่า "ตสฺส โน สนฺติ อิญฺชิตา" ความว่า พระอรหันตขีณาสพไม่มีความหวั่นไหว คือ ความหวั่นไหวเพราะตัณหา ความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิ ความหวั่นไหวเพราะมานะ ความหวั่นไหวเพราะกิเลส ความหวั่นไหวเพราะกรรม ความหวั่นไหวเหล่านี้ย่อมไม่มี ได้แก่ ไม่ปรากฏ ไม่ประจักษ์ แก่ภิกษุนั้น คือ ความหวั่นไหวเหล่านี้ภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ไม่อาจเกิดขึ้นอีก เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นไม่มีความหวั่นไหวทั้งหลาย.
[๑๑๒] คำว่า ที่สุด ในอุเทศว่า "โส อุภนฺตมภิญฺาย มชฺเฌ มนฺตา น ลิมฺปติ" ดังนี้ ความว่า ผัสสะเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง เหตุให้เกิดผัสสะเป็นส่วนสุดที่สอง ความดับผัสสะเป็นท่ามกลาง อดีตเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง อนาคตเป็นส่วนสุดที่สอง ปัจจุบันเป็นท่ามกลาง. สุขเวทนาเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ทุกขเวทนาเป็นส่วนสุดที่สอง อทุกขมสุขเวทนาเป็นท่ามกลาง. นามเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง รูปเป็นส่วนสุดที่สอง วิญญาณเป็นท่ามกลาง. อายตนะภายใน ๖ เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง อายตนะภายนอก ๖ เป็นส่วนสุดที่สอง วิญญาณเป็นท่ามกลาง. สักกายะเป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง เหตุให้เกิดสักกายะเป็นส่วนสุดที่สอง ความดับสักกายะเป็นท่ามกลาง.
ปัญญา ความรู้ทั่ว กิริยาที่รู้ฯ ลฯ ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม ปัญญาอันเห็นชอบ เรียกว่า มนฺตา.
ความติด ๒ อย่าง คือ ความติดเพราะตัณหา ๑ ความติดเพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 58
ทิฏฐิ ๑ ชื่อว่า เลปา. ความติดเพราะตัณหาเป็นไฉน การทำเขต การทำแดน การทำส่วน การทำความกำหนด ความหวงแหน ความยึดถือ โดยส่วนแห่งตัณหาว่า นี้ของเรา นั่นของเรา เท่านี้ของเรา ประมาณเท่านี้ของเรา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เครื่องลาด เครื่องนุ่งห่ม ทาสี ทาส แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ไร่ นา ที่ดิน เงิน ทอง บ้าน นิคม ราชธานี แว่นแคว้น ชนบท ฉางข้าว คลังของเรา บุคคลย่อมยึดถือเอามหาปฐพีแม้ทั้งสิ้นว่าเป็นของเรา ด้วยสามารถแห่งตัณหาและตัณหาวิปริต ๑๐๘ นี้เป็นความติดเพราะตัณหา.
ความติดเพราะทิฏฐิเป็นไฉน สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ มิจฉาทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ อันตคาหิกทิฏฐิมีวัตถุ ๑๐ ความเห็น รกชัฏคือทิฏฐิ ทางกันดารคือทิฏฐิ เสี้ยนหนามคือทิฏฐิ ความดิ้นรนคือทิฏฐิ ความประกอบไว้คือทิฏฐิ ความถือ ความถือเฉพาะ ความถือมั่น ความลูบคลำ ทางชั่ว ทางผิด ความเป็นผิด ลัทธิแห่งเดียรถีย์ ความถือด้วยความแสวงหาผิด ความถืออันวิปริต ความถืออันวิปลาส ความถือผิด ความถือในวัตถุอันไม่จริงว่าวัตถุจริง ทิฏฐิ ๖๒ เท่าใด นี้เป็นความติดเพราะทิฏฐิ.
คำว่า ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญา แล้วไม่ติดอยู่ ความว่า ภิกษุนั้นรู้ยิ่ง ทราบ เทียบเคียง พิจารณา เจริญ ทำให้แจ่มแจ้ง ซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ คือไม่เข้าไปติด ไม่ทา ไม่เปื้อน ออกไป สละไป หลุดพ้น ไม่เกี่ยวข้องแล้ว มีจิตปราศจากเขตแดนอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุนั้นรู้ยิ่งซึ่งส่วนสุดทั้งสองและท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วไม่ติดอยู่.
[๑๑๓] คำว่า ตํ พฺรูมิ มหาปุริโส ความว่า เราย่อมเรียก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 59
กล่าว สำคัญ บอก เห็น บัญญัติภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ คือ เป็นอัครบุรุษ บุรุษสูงสุด บุรุษวิเศษ บุรุษเป็นประธาน อุดมบุรุษ บุรุษประเสริฐ.
ท่านพระสารีบุตรทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า มหาบุรุษ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นมหาบุรุษ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนสารีบุตร เรากล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิตหลุดพ้น เราไม่กล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้น้อมจิตเชื่อ ดูก่อนสารีบุตร ก็ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างไร ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายเป็นภายใน มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ภิกษุเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย... ในจิต... เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุนั้นพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่น ดูก่อนสารีบุตร ภิกษุเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้แล ดูก่อนสารีบุตร เรากล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว เราไม่กล่าวว่าเป็นมหาบุรุษ เพราะเป็นผู้น้อมจิตเชื่อ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า "เราย่อมเรียกภิกษุนั้นว่า มหาบุรุษ."
[๑๑๔] คำว่า ภิกษุนั้นล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้ ความว่า ตัณหา ราคะ สาราคะ ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 60
ตรัสว่า ตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ ตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้นั้น อันภิกษุใดละแล้ว ตัดขาดแล้ว สงบแล้ว ระงับแล้ว ไม่อาจเกิดขึ้นอีก เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ ภิกษุนั้นล่วงแล้ว คือเข้าไปล่วงแล้ว ล่วงไปแล้ว ล่วงเลยไปแล้ว ซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นจึงชื่อว่า ล่วงแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ภิกษุมีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย ปราศจากตัณหา มีสติทุกเมื่อ ทราบแล้ว ดับแล้ว ไม่มีความหวั่นไหว ภิกษุนั้นรู้ส่วนสุดทั้งสอง และท่ามกลางด้วยปัญญาแล้วย่อมไม่ติดอยู่ เราเรียกภิกษุนั้นว่าเป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นล่วงเสียแล้วซึ่งตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บไว้ในโลกนี้.
[๑๑๕] พร้อมด้วยเวลาจบพระคาถา ธรรมจักษุ (โสดาปัตติมรรค) ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เกิดขึ้นแล้วแก่เทวดาและมนุษย์หลายพัน ผู้มีฉันทะร่วมกัน มีประโยคร่วมกัน มีความประสงค์ร่วมกัน มีความอบรมวาสนาร่วมกันกับติสสเมตเตยยพราหมณ์นั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา และจิตของติสสเมตเตยยพราหมณ์นั้นพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นหนังเสือ ชฎา ผ้าคากรอง ไม้เท้า ลักจั่นน้ำ ผม และหนวดของติสสเมตเตยยพราหมณ์หายไปแล้ว พร้อมด้วยการบรรลุพระอรหัต. ติสสเมตเตยยพราหมณ์นั้นเป็นภิกษุครองผ้ากาสายะเป็นบริขาร ทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร เพราะการปฏิบัติตามประโยชน์ นั่งประนมอัญชลีนมัสการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 61
พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้.
จบติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒
อรรถกถาติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยในติสสเมตเตยยสุตตนิทเทสที่ ๒ มีบทเริ่มต้นว่า โกธ สนฺตุสิโต ใครยินดีแล้วในโลกนี้ ดังนี้.
ก็เมื่อ อชิตสูตร (๑) จบแล้ว โมฆราชมาณพเริ่มจะทูลถามอย่างนี้ว่า มัจจุราชย่อมไม่เห็นผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า อินทรีย์ของโมฆราชมาณพนั้นยังไม่แก่พอ จึงตรัสห้ามว่า หยุดก่อนโมฆราช คนอื่นจงถามเถิด. ลำดับนั้น ติสสเมตเตยยะเมื่อจะทูลถามความสงสัยของตน จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า โกธ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โกธ สนฺตุสิโต คือ ใครยินดีแล้วในโลกนี้.
บทว่า อิญฺชิตา ความหวั่นไหว คือ ความดิ้นรนด้วยตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า อุภนฺตมภิญฺาย คือ ใครรู้ส่วนสุดทั้งสอง.
บทว่า มนฺตา น ลิมฺปติ คือ ย่อมไม่ติดด้วยปัญญา.
บทว่า ปริปุณฺณสงฺกปฺโป มีความดำริบริบูรณ์ คือ มีความปรารถนาบริบูรณ์ด้วยเนกขัมมวิตกเป็นต้น.
บทว่า ตณฺหิญฺชิตํ คือ ความหวั่นไหวเพราะตัณหา. แม้ในความหวั่นไหวเพราะทิฏฐิเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า กามิญฺชิตํ ความหวั่นไหว เพราะกาม คือ ความหวั่นไหวดิ้นรนเพราะกิเลสกาม. ปาฐะว่า กมฺมิญฺชิตํ บ้าง. บทนั้นไม่ดี.
บุรุษใหญ่ ชื่อว่า มหาบุรุษ. บุรุษสูงสุด ชื่อว่า
(๑) อรรถกถาใช้คำว่า สูตร แทนปัญหา ทั้ง ๑๖ ปัญหา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 62
อัครบุรุษ. บุรุษเป็นประธาน ชื่อว่า เสฏฐบุรุษ. บุรุษไม่ลามก ชื่อว่า วิสิฏฐบุรุษ. บุรุษผู้ใหญ่ชื่อว่า ปาโมกขบุรุษ. บุรุษไม่ต่ำ ชื่อว่าอุตตมบุรุษ. บุรุษผู้ถึงความเป็นยอดของบุรุษ ชื่อว่า เป็นบุรุษประธาน. บุรุษผู้อันคนทั้งหมดต้องการ ชื่อว่า บวรบุรุษ.
บทว่า สิพฺพนิมจฺจคา คือ ล่วงตัณหาอันเป็นเครื่องเย็บ.
บทว่า อุปจฺจคา คือ ล่วงตัณหา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงพยากรณ์ความนั้นแก่ติสสเมตเตยยมาณพนั้น จึงตรัสสองคาถาว่า กาเมสุ ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กาเมสุ พฺรหฺมจริยวา ภิกษุมีพรหมจรรย์ในเพราะกามทั้งหลาย คือ มีพรหมจรรย์มีกามเป็นนิมิต. อธิบายว่า เห็นโทษในกามทั้งหลาย แล้วประกอบด้วยมรรคพรหมจรรย์ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความเป็นผู้สันโดษ. ทรงแสดงความเป็นผู้ไม่หวั่นไหว.
ด้วยบทมีอาทิว่า วีตตณฺโห คือ เป็นผู้ปราศจากตัณหา.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สงฺขาย นิพฺพุโต พิจารณาแล้วดับ คือ พิจารณาธรรมทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นแล้ว ดับด้วยการดับราคะเป็นต้น.
บทว่า อสทฺธมฺมสมาปตฺติยา ความถึงพร้อมด้วยอสัทธรรม คือ ประกอบด้วยธรรมต่ำ.
บทว่า อารตี ความงด คือ ไกลความยินดี.
บทว่า วิรติ ความเว้น คือ เว้นจากความยินดีนั้น.
บทว่า ปฏิวิรติ ความเว้นขาด คือ เว้นขาดจากความยินดีนั้น.
บทว่า เวรมณี ความขับไล่เวร คือ ให้เวรพินาศไป.
บทว่า อกิริยา กิริยาที่ไม่กระทำ คือ ตัดขาดกิริยา.
บทว่า อกรณํ ความไม่ทำ คือ ตัดขาดการกระทำ.
บทว่า อนชฺฌาปตฺติ คือ ความไม่ต้อง.
บทว่า เวลาอนติกฺกโม คือ ความไม่ล่วงแดน.
บทที่เหลือชัดดีแล้ว เพราะมีนัยได้กล่าวไว้แล้วในที่นั้นๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้า 63
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้ ด้วยธรรมเป็นยอด คือ พระอรหัตด้วยประการฉะนี้. เมื่อจบเทศนา พราหมณ์แม้นี้พร้อมด้วยอันเตวาสิกหนึ่งพันได้ตั้งอยู่ในพระอรหัต. ธรรมจักษุเกิดขึ้นแล้วแก่ชนเหล่าอื่นอีกหลายพัน.
บทที่เหลือเช่นเดียวกันกับบทก่อนนั้นแล.
จบอรรถกถาติสสเมตเตยยมาณวกปัญหานิทเทสที่ ๒