ขอเรียนถามเกี่ยวกับ วิรตีเจตสิก ทั้ง ๓ (ทางวาจา การกระทำ การอาชีพ) ที่ไม่เกิดพร้อมกัน ในสติปัฏฐาน และในโลกียมรรค (มีองค์ ๕ หรือ ๖) ที่ว่า ไม่เกิดพร้อมกันนั้น
ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคล เพราะไม่เกิด การวิรัติทุจริตทั้งสามพร้อมกัน อย่างนั้น หรืออย่างไร ครับ และ จะหมายถึงว่า อาจยังมีทุจริตทางใดทางหนึ่งได้ในสามอย่าง หรืออย่างไร ครับ
ที่สงสัยเพราะคิดเอาเองว่า ถ้าสติปัฏฐานเกิด หรือมรรคจิต ที่เป็นโลกียมรรคเกิด ก็ขณะนั้นเป็นกุศลจิต ก็คงไม่มีทุจริตทางใดทางหนึ่ง ในสามอย่างเกิด
และถ้าเป็นพระโสดาบัน ท่านมีศีลครบ เมื่อสติปัฏฐานท่านเกิด และวิรตีเจตสิกทั้งสาม ก็ไม่เกิดพร้อมกัน จะหมายถึงว่า ไม่มีเจตสิกที่จะเกิดมาวิรัติอกุศลทั้ง ๓ ได้พร้อมกัน
หรือว่าไม่มีอกุศลเจตสิกทั้งสามเกิดให้วิรัติเลยครับ
แล้วขณะที่เป็นมรรคจิต ที่เป็นโลกียมรรค ก็เช่นกันเดียวกันนี้ใช่ไหมครับ
หากคำถามคลุมเครือ ขออภัยด้วยครับ ด้วยปัญญาอันน้อยนิด
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ก่อนอื่นก็เข้าใจ วิรตีเจตสิกให้ละเอียดก่อนครับว่า คือ อะไร
วิรตีเจตสิก วิรตี (การงด, การเว้น, การวิรัติ) + เจตสิก (สภาพที่เกิดกับจิต)
เจตสิกที่ทำให้เกิดการงดเว้นจากบาป หมายถึง โสภณเจตสิก ๓ ดวง คือ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑
๑. สัมมาวาจาเจตสิก เป็นสภาพที่งดเว้นจากวาจาทุจริต ๔
๒. สัมมากัมมันตเจตสิก เป็นสภาพที่งดเว้นจากกายทุจริต ๓
๓. สัมมาอาชีวเจตสิก เป็นสภาพที่งดเว้นจากอาชีพทุจริต ที่เป็นไปทางวาจา ๔ และ ทางกาย ๓
ดังนั้น ในขณะที่เป็นกุศลขั้นศีล วิรตี ทำหน้าที่ งดเว้น จากทุจริตทาง กาย วาจา และ อาชีพ คือ จะต้องมีการงดเว้นจากบาป ครับ จึงมีวิรตีเจตสิกเกิดขึ้น ดังนั้น ขณะที่เป็นกุศลจิต เช่น ให้ทาน เป็นต้น ขณะนั้น ก็ไม่ได้มีการทำทุจริตทางกาย วาจา และ อาชีพใช่ไหม ครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีวิรตีเจตสิก เพราะ ขณะนั้น ไม่มีการงดเว้นจากบาปทางกาย วาจา ในขณะนั้น ครับ เพียงแต่คิดจะให้ แต่ ขณะที่เห็นและงดเว้นจะไม่ตบยุง มีเจตนางดเว้นจากบาป คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ก็เป็น วิรตีเจตสิกเกิดขึ้น คือ สัมมากัมมันตะ ในขณะนั้น ครับ
โดยทำนองเดียวกัน ขณะที่สติปัฏฐานเกิด เป็นกุศลจิต แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีวิรตีเจตสิก แม้ขณะนั้น ไม่ได้ทำบาป ไม่ได้มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มีการงดเว้นจากบาป จึงไม่จำเป็นจะต้องมีวิรตีเจตสิก ครับ
วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงนี้ เกิดได้กับจิตเพียง ๑๖ ดวงเท่านั้น คือ เกิดได้ กับมหากุศลจิต ๘ ดวง และโลกุตตรจิต ๘ดวง
วิรตีที่เกิดกับมหากุศลจิต จะเกิดได้ทีละดวง ซึ่งเป็นไปในกุศลขั้นศีล เพราะ อารมณ์ของวิรตีทั้ง ๓ นั้น ต่างกัน จึงเกิดไม่พร้อมกัน
ส่วนวิรตีที่เกิดกับโลกุตตรจิตจะต้องเกิดพร้อมกันทั้ง ๓ ดวง เพราะเป็นองค์ของอธิศีลสิกขา ซึ่งทำกิจประหารกิเลสเป็นสมุจเฉท และเพราะมีอารมณ์ คือ พระนิพพานอย่างเดียวกัน
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
วิรตีเจตสิกเกิดกับมหากุศล ๘ และ โลกุตตรจิต ๘
วิรตีเจตสิก ๓ ดวง
วิรตีเจตสิก
มรรคสมังคี
ขอบพระคุณครับ
วิรตี ที่เกิดกับมหากุศลจิต จะเกิดได้ทีละดวง ซึ่งเป็นไปในกุศล ขั้นศีล เพราะ อารมณ์ของวิรตีทั้ง ๓ นั้น ต่างกัน จึงเกิดไม่พร้อมกัน นี่เอง
แต่ก็ยังไม่ได้ศึกษาละเอียดนะครับว่า อารมณ์ของวิรตีทั้งสาม นั้น เป็นอะไรบ้าง (ที่เป็นปรมัตถธรรม) ที่ว่าต่างกัน ถ้าจะกรุณายกตัวอย่าง หรือขยายความ ก็จะขอบพระคุณมากครับ เช่น จะเป็นรูปธรรมที่ปรากฏทางทวารทั้งห้า แล้วไม่ชอบ แต่แล้วสติเกิดพร้อมสัมมาวาจาเจตสิก แล้วงดเว้นทุจริตทางวาจาได้ อย่างนี้หรือเปล่าครับ
ขออนุโมทนา
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
อารมณ์ต่างกัน ในที่นี้ มุ่งหมายถึง อารมณ์ในการงดเว้นจากบาป เช่น สัมมากัมมันตะ คือ การงดเว้นจากบาปทางกาย ๓ แต่ ถ้าเป็น สัมมาวาจา จะเป็นการงดเว้นจากบาปทางวาจา ๔ ส่วน สัมมาอาชีวะ คือ การงดเว้นจากบาป อันเนื่องด้วยศีล
ดังนั้น อารมณ์ ต่างกันในที่นี้ มุ่งหมายถึง ทาง กาย วาจา และ อาชีพ ที่ต่างกัน ครับ ขณะที่งดเว้นทางกาย ก็ไม่ไ่ด้งดเว้นทางวาจา เป็นต้น
ขออนุโมทนา ครับ
ขอบพระคุณครับ
ขออนุโมทนา