เท่าที่มีประสบการณ์ในศรีลังกา หญิงที่บวชแม้ในสยามนิกาย นุ่งห่มผ้าสีคล้ายพระ แต่เขาเรียกตนเองว่า ศีลมาตา แต่ถือศีล ๑๐ เท่าเณร หรืออย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กฏเกณฑ์ฬนการบวชเป็นพระภิกษุณี มีหลายประการดังนี้ครับ
- ต้องบวชกับคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายภิกษุสงฆ์ ๑ ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ๑
- ต้องถือครุธรรม ๘ ประการตลอดชีวิต
- สำหรับสตรีที่จะไปขอบวช ต้องเป็นนางสิกขมานา รักษาศีล ๖ ข้อไม่ขาดเลย ๒ปี จึงจะบวชเป็นพระภิกษุณีได้ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งต้องเริ่มนับใหม่ให้ได้ ๒ ปี จึงจะบวชได้ครับ
ศีล ๖ ข้อที่ต้องถือห้ามขาด ตลอด ๒ ปี คือ
1. งดเว้นจากปาณาติบาต
2. งดเว้นจากอทินนาทาน
3. งดเว้นจากอพรหมจรรย์ อันมีการเสพเมถุน เป็นต้น
4. งดเว้นจากมุสาวาท
5. งดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย
6. งดเว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาลคือหลังเที่ยง
เมื่อไม่มีภิกษุณีแล้วก็ไม่สามารถบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีได้ เพราะฉะนั้น การบวชภิกษุณีในปัจจุบัน ก็เป็นโมฆะ คือ ไม่ใช่ภิกษุณีจริงๆ เพราะผิดหลัก ขัดหลักพระธรรมวินัย ตามที่กล่าวมา ครับ
ก่อนอื่นก็ขอเล่าประวัติความเป็นมาของภิกษุณีในประเทศศรีลังกา ว่ามีความเป็นมาอย่างไรบ้าง ครับ
สำหรับประวัติการมีภิกษุณีในศรีลังกา เมื่อหลังพระพุทธปรินิพพานได้สองร้อยกว่าปี ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้มีผู้ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา บวชและได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พระเจ้าอโศกส่งพระมหินเถระ ไปเผยแพร่พระ พุทธศาสนาที่ประเทศศรีลังกา ชาวศรีลังกาเกิดความเลื่อมใสมากมาย ผู้ชายก็ขอบวช และก็ได้บรรลุธรรม น้องชายของกษัตริย์ศรัลังกา ชื่อ พระอภัยราชกุมาร ได้บวชพร้อมกับชาวเมือง ต่อมาพระชายา ของพระอภัยราชกุมาร ชื่อ พระนางอนุฬาเทวี มีความประสงค์จะบวชด้วย จงได้ไปกราบทูลพระราชาว่าต้องการจะบวช พระราชาได้กล่าวกับท่านพระมหินเถระว่า พระนางอนุฬาเทวีและบริวารที่เป็นสตรีอีก ๑๐๐๐ ต้องการจะบวช ท่านพระมหินเถระ กล่าวว่า อาตมาไม่สามารถจะบวชให้ได้ เพราะ ต้องถึงพร้อมด้วยสงฆ์สองฝ่าย คือ มีพระภิกษุณีด้วย จึงจะบวชให้ได้ แต่น้องสาวของอาตมา ชื่อ พระนางสังฆมิตตา สามารถบวชให้ได้ จึงได้เชิญพระนางสังฆมิตตา และ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ มาจากอินเดีย และ พระนางสังฆมิตตาก็ได้บวชพระนางอนุฬาเทวี และ บริวารหนึ่งพันผู้เป็นสตรีและท่านเหล่านั้นก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ต่อมา พระพทธศาสนาก็เสื่อมลงจากประเทศศรีลังกา แม้แต่ฝ่ายพระภิกษุก็เสื่อม ไม่ต้องกล่าวถึงพระภิกษุณี เพราะฉะนั้น พระภิกษุณีจึงหมดไปจากประเทศศรีลังกา เพราะการบวชได้ยาก เมื่อขาดพระภิกษุณีแล้ว ก็ไม่สามารถบวชพระภิกษุณีได้อีกครับ
ซึ่งในความยากในการบวชพระภิกษุณีนั้น แม้ตัวพระภิกษุณีผู้เป็นอุปัชฌาย์จะบวชสตรีอื่นตามความพอใจไม่ได้ คือ หนึ่งปีบวชได้ ๑ รูปเท่านั้น สำหรับสตรีที่จะไปขอบวช ต้องเป็นนางสิกขมานา รักษาศีล ๖ ข้อ ไม่ขาดเลย ๒ ปี จึงจะบวชเป็นพระภิกษุณีได้ และมีพระวินัยอื่นๆ ที่ทำให้ภิกษุณีอยู่ลำบาก
ดังนั้น ปัจจุบันจึงไม่มีภิกษุณี เพราะจะเป็นพระภิกษุณีจะต้องได้รับการบวชจากสงฆ์สองฝ่าย เมื่อเป็นดังนั้น แม้จะกล่าวอ้าง หรือ แต่งชุดเป็นภิกษุณีก็ไม่ใช่ภิกษุณี หรือ แม้จะถือศีลตามภิกษุณี ก็ไม่ใช่ภิกษุณีอีกเช่นกัน ก็เป็นเพียงคฤหัสถ์ที่ถือศีลเพิ่มขึ้นเท่านั้น
การบรรลุธรรมจึงไม่ใช่อยู่ที่เพียงเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ แต่สำคัญที่ปัญญา ความเข้าใจถูก คฤหัสถ์ก็สามารถบรรลุธรรมได้ เพียงแต่มีการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรก็ประเสริฐ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อไม่มีภิกษุณีแล้ว ก็ไม่มีสตรีท่านใดสามารถที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้ เพราะการบวชเป็นภิกษุณี ต้องบวชจากสงฆ์สองฝ่าย แม้ในยุคนี้สมัยนี้จะมีผู้หญิงบวช นั่นก็ไม่ใช่ภิกษุณี ไม่ใช่บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับผู้ที่เป็นผู้หญิงนุ่งห่มผ้าเหลือง โดยที่ท่านอาจารย์ขออนุญาตไม่เรียกว่าภิกษุณี เพราะยุคนี้สมัยนี้ ไม่มีภิกษุณีแล้ว และเป็นที่น่าพิจารณาว่า การเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องบวชเท่านั้นถึงจะเจริญได้ แม้ไม่ได้บวชก็สามารถเจริญได้เช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นประโยชน์ของกุศลและการได้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลในเพศคฤหัสถ์ก็มีมากทีเดียว เป็นเรื่องการสะสมของแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง ในเมื่อเป็นเป็นผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็ควรที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ แม้จะไม่บวชเป็นบรรพชิต ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถึงเขาจะเรียกกันว่าภิกษุณี แต่ก็ไม่ได้เป็นภิกษุณี เพราะยุคนี้สมัยนี้ไม่มีแล้ว มีแต่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ก็สามารถอบรมปัญญาได้ ทำความดีได้ทุกวัย ไม่จำกัดค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณครับอาจารย์ แต่บางคนก็ต้องการเป็นภิกษุณีอยู่ดี เป็นแม่ชีก็ดีอยู่แล้ว เหมือนแม่ชีสันสนี
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ