ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๕
~ บรรพชิตต้องไม่ใช่คฤหัสถ์ บรรพชิตจะทำกิจของคฤหัสถ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าได้สละชีวิตทั้งหมดที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาพระธรรมและประพฤติตามพระวินัย ถ้าพระภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมแต่คิดจะทำอย่างอื่นและไม่ประพฤติตามพระวินัย เช่น จะรับเงินและทอง คนนั้นก็ไม่ใช่ภิกษุ
~ ต้องรู้ว่า บวชคืออะไร (เว้นจากความชั่วทุกอย่างออกไปจากความเป็นคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง) และ ต้องตรงต่อความประสงค์ด้วยที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งจะต้องประพฤติตามพระวินัยบัญญัติ ถ้าไม่ประพฤติตามพระวินัยบัญญัติไม่ใช่พระภิกษุแน่นอน
~ คฤหัสถ์กราบไหว้พระภิกษุ ในกุศลจิตของท่านที่มั่นคงที่จะศึกษา (พระธรรม) ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นผู้ที่ต่างจากคฤหัสถ์โดยประการทั้งปวงทำมาหากินไม่ได้ จะไปทำอย่างอื่นเรียนวิชาชีพอะไรๆ ก็ไม่ได้ นอกจาก (ศึกษา) พระธรรมและพระวินัยมีชีวิตอย่างสงบ
~ ถ้าภิกษุอยากจะทำกิจของคฤหัสถ์ ลาสิกขา (สึก) ทำได้ทุกอย่าง เพราะคฤหัสถ์ ต้องเป็นคฤหัสถ์ บรรพชิตต้องเป็นบรรพชิต ไม่ใช่ว่าบรรพชิตจะมาทำกิจของคฤหัสถ์
~ ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดี ก็จะเป็นผู้ทุศีล ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดี ก็จะมีความเห็นผิด ถ้าศึกษาพระอภิธรรมไม่ดี ก็ฟุ้งซ่าน คิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ซึ่งไม่มีอยู่เดี๋ยวนี้
~ ผู้ใดเข้าใจธรรม ผู้นั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคำของพระองค์สักคำ เราจะไม่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย
~ ต้องตรงตั้งแต่คำแรก คือ ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา ต้องสอดคล้องกัน ถ้าตัวตนจะไปปฏิบัติ คือ ไม่สอดคล้องกับธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ผิด ตั้งแต่ต้น
~ แม้ว่าจะให้ทานแก่ภิกษุผู้ทุศีลแล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้เปรต เปรตไม่ได้รับ ไม่อนุโมทนา ไม่เกิดกุศลจิตที่จะอนุโมทนา แต่ว่าถ้าเป็นบุคคลผู้ทรงศีล เป็นพระสาวกของพระสัมมสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระภิกษุสงฆ์ที่จะถวายทานอุทิศให้ การให้กับอุบาสกผู้มีศีล ผู้เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ เปรตนั้นก็จะได้รับอุทิศส่วนกุศลด้วย
~ ภิกษุที่เป็นอยู่ (ด้วยความประมาท) อย่างนี้ เหมือนเปรต เพราะเป็นอยู่ได้ด้วยอาหารที่ได้มาจากบุคคลอื่นที่ขอมาสำหรับประทังชีวิต หรือเพียงแต่ดับความกระวนกระวายทุกขเวทนาของร่างกายเท่านั้น แต่ว่าไม่เป็นผู้ที่เจริญสมณธรรม (ธรรมที่ทำให้ถึงความเป็นผู้สงบจากอกุศล) แล้วก็ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ความเป็นอยู่ของภิกษุเหล่านั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเปรต
~ คนที่กล่าวว่า "ยุคสมัยเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นพระภิกษุต้องรับเงินทอง มิฉะนั้นท่านจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร" เขาเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ผู้ทรงบัญญัติสิกขาบท ซึ่งคำใดที่ตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ ที่ว่าเปลี่ยนไม่ได้ นั้น คือ เป็นไปตามความเป็นจริง
~ คฤหัสถ์ ดูแลพระภิกษุได้ ตามสมควร แต่ไม่ใช่ให้เงินแก่พระภิกษุ
~ เป็นความจริง เรื่องของการที่จะต้องจาก เรื่องของการที่จะพลัดพรากไปหมดสิ้นด้วยความตาย ในชีวิตนี้ขณะนี้ ท่านก็พอจะระลึกได้ว่า ผู้เป็นที่รักเหล่านั้น ใครจากพรากไปบ้างแล้ว แล้วก็หายไปไหน ไม่เหลือเลย เหลือแต่เยื่อใย หรือว่าความผูกพัน ซึ่งก็จะเป็นความผูกพัน เป็นความติดข้อง เป็นโลภะ เป็นสภาพธรรมที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่ง ชาติหนึ่ง เรื่อยๆ
~ ถ้าเป็นความเห็นผิดเกิดขึ้น ก็เป็นปัจจัยให้กาย วาจาผิด ถ้าเป็นความเห็นถูก ก็เป็นปัจจัย ให้กาย วาจาประพฤติในทางที่ถูก
~ ธรรมทั้งหมดหลั่งไหลจากพระผู้มีพระภาค โดยทรงแสดงแก่พุทธบริษัท ตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งปรินิพพาน เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจพระธรรม ก็รู้ว่าพระธรรมนั้นมาจากไหน ที่ใดเป็นกายของพระธรรม คือ ที่ประชุมของพระธรรม ก็ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม ประโยชน์ที่ได้รับก็คือความเข้าใจในพระธรรมเพิ่มขึ้น
~ ทรัพย์ที่ทุกท่านมีอยู่จะถือเอาไปโลกอื่นได้ไหม? ถ้าไม่รู้วิธี ก็เอาไปไม่ได้เลย แต่ว่าถ้ารู้วิธี ก็สามารถที่จะเอาไปได้ด้วย คือด้วยวิธีบำเพ็ญบุญกุศล
~ อธิษฐานบารมี การตั้งใจมั่นในกุศล ไม่เปลี่ยนใจไปตามกิเลส ซึ่งถ้าจะสังเกตดูในวันหนึ่ง บางทีคิดเรื่องกุศล แต่อกุศลทำให้เปลี่ยนใจอยู่ได้ บางครั้งก็บ่อยๆ หรือเรื่อยๆ เคยมีไหมที่ตั้งใจว่า จะทำกุศล อาจจะเป็นการฟังธรรม หรือการเกื้อกูลสงเคราะห์ อนุเคราะห์บุคคลอื่น แต่พอมีอกุศลเกิดขึ้นแทรกแซง ทำให้เปลี่ยนใจไปตามอกุศลนั้นอย่างรวดเร็ว ลืมเรื่องกุศลที่คิดไว้ หรือว่าตั้งใจไว้แล้ว เพราะฉะนั้น อธิษฐานบารมี คือ การตั้งใจมั่นในกุศล ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ปัญญายังไม่คมกล้า ก็ไม่สามารถจะสู้กับกิเลสอกุศลได้
~ เป็นธรรมทุกขณะ อย่าลืม ไม่มีขณะไหนเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม หลายท่านทีเดียวอยากจะพบธรรม อยากจะเห็นธรรม แสวงหาธรรม แต่ว่าธรรมกำลังมีอยู่ในขณะนี้ กำลังปรากฏทุกหนทุกแห่ง เป็นสภาพธรรมทั้งหมด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแสวงหาธรรมเลย เพราะธรรมกำลังปรากฏอยู่แล้ว จะรู้ธรรม ก็รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริง จะเห็นธรรม จะเข้าใจธรรม ก็ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าที่ไหน
~ ความต้องการในทรัพย์ มีขีดขั้นพอไหม ได้มาแล้วก็ยังไม่พออีก จนกระทั่งว่าผู้ที่เต็มไปด้วยความยินดี ความต้องการในทรัพย์สมบัตินั้น ถึงแม้ว่าจะได้ครองโลก คือพื้นแผ่นดินทั้งสิ้นที่เต็มไปด้วยทรัพย์นี้ แล้วเป็นของบุคคลนั้นเพียงคนเดียว ไม่มีคนอื่นครอบครอง ก็ยังไม่หมดความปรารถนา ยังไม่หมดความต้องการ บุคคลนั้นก็ยังต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไปทั้งๆ ที่ยังพอใจอยู่ แล้วก็ได้ครองทรัพย์สมบัตินั้นอยู่ แต่ก็ไม่สามารถที่จะครอบครองได้ตลอดไป ก็จะต้องทิ้งทรัพย์สมบัตินั้นไป
~ สุคติและทุคติในสังสารวัฏฏ์ เป็นที่พักชั่วคราว นี่ก็เป็นความจริง เพราะคงจะไม่มีท่านผู้ใดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปในโลกนี้ ทุกภพ ทุกภูมิ แล้วแต่ว่าจะอยู่มาก อยู่น้อย อยู่นาน อยู่เร็ว ก็เป็นแต่เพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น
~ เดินไปด้วยโลภะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ เดินไปด้วยความปรารถนา ความต้องการในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เดินไปด้วยโทสะที่จะเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน ประเสริฐไหมเดินอย่างนั้น? เดินอยู่เรื่อยทุกวัน ถ้าจะเป็นผู้ที่ประเสริฐ ก็คือ ผู้ที่อบรมเจริญ สติปัฏฐาน (ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง) เพื่อจะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ เป็นไท (อิสระ) หรือยัง หรือว่ายังเป็นทาสของกิเลส ยังเป็นไปตามความยินดียินร้าย ต่างๆ เพราะฉะนั้น ที่จะเป็นไท เป็นอิสระพ้นได้จากอำนาจของกิเลสที่จะไม่หวั่นไหวไป ก็ต้องเป็นไทโดยลำดับ คือจากการที่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริง นี่คือความเป็นไทเป็นอิสระขั้นแรก ไม่อย่างนั้นไม่มีหนทางเลยที่จะเป็นอิสระ
~ ความเป็นผู้ตรง คือ ตรงต่อความถูกต้อง
~ ให้โทษหรือเปล่า ถ้าเราจะกล่าวถึงพระธรรมวินัย ตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง ตามความถูกต้อง?
~ ไม่มีอะไรที่จะบริสุทธิ์เท่ากับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้ว
~ ถ้าเราทำความดี กลัวอะไร คนอื่นจะติเตียนเรื่องของเขา คนอื่นไม่ชอบ ก็เรื่องของเขา คนอื่นจะคิดอย่างไร เรื่องของเขา แต่สิ่งที่เราทำเป็นประโยชน์หรือเปล่า ถ้าเป็นประโยชน์ควรทำไหม? ถ้าเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ ก็ควรทำ
~ ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรม เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นโทษ โลภะ รัก เป็นโทษไหม โทสะ ชัง เป็นโทษไหม โมหะ ไม่รู้ไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง เป็นโทษไหม ก็ไม่รู้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่ดี ต้องไม่ดี ไม่ว่าใครทั้งสิ้น
~ ปัญญานำไปในกิจทั้งปวง กิจทั้งปวง คือ กุศล
~ ชาวพุทธคือผู้ได้ฟังพระธรรมและมีความเข้าใจตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ฟังธรรมทุกคำด้วยความเข้าใจขึ้น
~ สิ่งที่มีค่าที่สุดในสังสารวัฏฏ์ คือ เข้าใจความจริง
~ ฟังพระธรรมจนตลอดชีวิต จนกว่าจะเข้าใจขึ้น
~ ผิดไหม พาคนไปทำสิ่งที่ไม่รู้? ผิด
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียดยิ่งเพื่อให้พ้นจากอกุศล, กิเลสมากๆ สะสมมาแสนโกฏิกัปป์ ถ้าจะเปรียบเทียบทั้งจักรวาลก็ไม่มีที่จะบรรจุ แล้วการขัดเกลาก็ต้องขัดเกลาด้วยความรู้ความเข้าใจ
~ ฟังธรรม เข้าใจธรรม ละคลายอกุศล
~ ความเห็นผิด เกิดเมื่อไหร่ เป็นโทษ เมื่อนั้น
~ ความไม่รู้ นำมาซึ่งความไม่รู้ต่อๆ ไป ชีวิตก็ดำเนินไปด้วยความไม่รู้
~ ฟังสิ่งซึ่งคิดว่า มีค่าที่สุด มีประโยชน์ที่สุด (คือ พระธรรม) แล้วค่อยๆ เข้าใจไปตามลำดับ ไม่ใช่ข้ามขั้น
~ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็เป็นไปตามอกุศล นี้แน่นอน ไม่มีอะไรที่จะอารักขา (รักษา) ให้พ้นจากอกุศลได้เลย
~ การเกิดเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเสียเลย มิดีกว่าหรือ ลองคิดดีๆ กับการที่อยากมีทุกสิ่งทุกอย่าง กำลังมีแล้วก็ยังอยากมีต่อไป แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว มี เพื่อทุกข์ มี เพื่อติดข้อง มี เพื่อลำบาก.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๔
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอนอบน้อมบูชาพระรัตนตรัยและกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์ทุกท่านค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ