อยู่คอนโด แล้วมีทั้งเซเว่น บิ๊กซี ร้านอินเทอร์เน็ต ตลาด สิ่งบริการต่างๆ เพียบเลย เวลาอยู่คอนโด ก็นั่งสมาธิไม่ได้ เสียงรถมอเตอร์ไซค์แต่ง พวกแว้น มันดังมากๆ แสบหูเลย นอนก็นอนไม่ค่อยหลับ คนแถวนี้เขาไม่ค่อยนอนเร็วกัน เดี๋ยวผมก็แวบออกไปเซเว่น ไปหาของกิน เดี๋ยวแวบไปร้านหนังสือ เดี๋ยวอดนอน ดูฟุตบอลที่เชียร์ เข้าร้านเน็ต คุยกับเพื่อน มันมีสิ่งยั่วเราตลอด เสาร์-อาทิตย์ ก็ไปเที่ยว บางวันทะเลาะกับแฟน ไม่เป็นอันกินอันนอน
อายุ ๓๐ แล้ว ใกล้ครึ่งชีวิตแล้ว ยังปฏิบัติธรรมระดับอนุบาล หรือแทบไม่ได้ปฏิบัติเลย ฟังธรรมตามวิทยุ ก็ฟังไปพอสงบ พอเกิดศรัทธาประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็ลืมไป กลับไปยุ่งทางโลกเฮฮาเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
แสดงว่าคนที่ปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ ต้อง ๔๐+ ชีวิตไม่ค่อยวุ่นวาย ฮอร์โมน เริ่มแห้ง ไม่มีกระมัง ถึงจะปฏิบัติธรรมง่าย เพราะทุกวันนี้ ผมเห็นคนปฏิบัติธรรมจริงๆ อายุก็ปาไป ๔๐+แล้วแทบทุกคน เป็นส่วนใหญ่
แต่ถ้า อยู่ต่างจังหวัด แถบชนบท คนเขานอนเร็ว คนไม่พลุกพล่าน ปฏิบัติธรรมง่ายกว่า สิ่งล่อใจ ล่อจิตมันน้อยกว่า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ครับ ดังนั้น การศึกษาธรรมก็จะต้องละเอียด และเข้าใจทีละคำ อย่างถูกต้อง แม้แต่คำว่า ปฏิบัติธรรม คืออะไร
ปฏิบัติธรรม คือ ธรรมปฏิบัติ ไม่ใช่เราปฏิบัติ
ธรรมอะไรปฏิบัติ คือ สติและปัญญา ที่ทำหน้าที่ปฏิบัติ ปฏิบัติ รู้ความจริง ความจริงของธรรม ธรรมอะไร ธรรมที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ อะไร คือ ธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส คิดนึก ชอบ โกรธ เกลียด หงุดหงิด ความอยากทานอาหาร เหล่านี้ เป็นธรรมทั้งสิ้น เพราะมีจริง กำลังปรากฏให้รู้ ให้รู้อย่างไร ให้รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ทำไมต้องรู้ เพราะเคยรู้ผิด เข้าใจผิดว่า มีเราที่คิด มีเราที่โกรธ มีเราที่อยากทานอาหาร และความจริงคืออย่างไร ความจริง คือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรม ที่อยากทาน ก็ไม่ใช่เราที่อยากทาน แต่เป็นธรรมที่อยากทาน ไม่ใช่เราที่โกรธ มีแต่ธรรมที่โกรธ ไม่ใช่เราที่มีกิเลส แต่ ... มีแต่ธรรมที่มีกิเลส
ดังนั้นธรรมที่ควรรู้ มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ถามว่ากิเลสที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นธรรมไหม ความจริงเป็น แต่หลงยึดถือว่าเป็นเราที่มีกิเลส เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรม คือ การรู้ความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ที่เกิดขึ้นกับตนเอง ทั้งกิเลส ความชอบ ไม่ชอบ หงุดหงิด โกรธ ความอยาก และ สิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้น รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ในขณะนั้น ขณะใดที่รู้ความจริง ขณะนั้น เป็นการปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมกำลังมีในขณะนี้ กิเลสก็กำลังมี เป็นธรรมด้วย ควรรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่ที่ยังไม่รู้ เพราะ ยังไม่มีปัญญา ธรรมจึงไม่ได้อยู่จำกัดในสถานที่ใด สถานที่หนึ่ง ในป่า ในกรุงเทพ ในเมือง ในชนบท ในป่า ต่างก็มีธรรม แต่หากไม่มีปัญญาแล้ว อยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้ความจริง
และปัญญาจะเกิดได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม แต่สะสมกิเลสมามาก การจะรู้ความจริง ที่เป็นการปฏิบัติ รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็น ธรรม ไม่ใช่เรา ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน เพราะ สะสมปัญญามาน้อย ครับ ที่สำคัญ ปัญญา จะทำหน้าที่ปฏิบัติธรรม และ กิเลสไม่ได้เลือกสถานที่เกิด แม้จะอยู่ในที่เงียบสงัด กิเลสก็เกิดได้ เกิดความกลัว คิดถึงเรื่องนั้น เรื่องนี้ ไม่ปราศจากกิเลสเลย แต่สำคัญที่ปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้ว ย่อมมีความเข้าใจถูก ว่าการปฏิบัติธรรม คือ การรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน พระอริยสาวกในอดีต มากมาย ก็บรรลุธรรมระหว่างถนน ขณะที่ฟังธรรม แม้แต่ในคุก ก็บรรลุธรรม ขณะที่กำลังทำอาหาร ก็บรรลุธรรม แล้วอะไรที่ทำให้บรรลุธรรม สถานที่หรือไม่ ปัญญาต่างหาก ที่ทำให้บรรลุธรรม
เพราะฉะนั้น แทนที่จะแสวงหา สถานที่ปฏิบัติธรรมที่สงบ เงียบสงัด ก็ควรแสวงหาปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูก ก็จะทำให้นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อลได้ในอนาคต ครับ ธรรมมีอยู่ทุกที่ ขาดแต่เพียงปัญญาที่ไปรู้เท่านั้น
เชิญคลิกอ่านที่นี่เพิ่มเติม ครับ
การอยู่ในที่เงียบสงัด หรือใกล้ป่าใกล้เขาเหมาะปฏิบัติธรรมจริงหรือไม่
ขออนุโมทนาผู้ร่วมสนทนา
อาจารย์คำปั่น, อาจารย์วรรณี และ ทุกท่านๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่ปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่ปราศจากธรรม มีธรรมอยู่ตลอดเวลา สามารถเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ จึงต้องเริ่มต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งทุกคำ ทุกพยัญชนะ เป็นไป เพื่ออุปการะเกื้อกูลต่อความเจริญขึ้นของปัญญาที่สามารถเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่า ยังไม่ได้ศึกษาอะไรเลย มีใครชักชวนให้ไปทำ ไปปฏิบัติ ก็ไป ก็ไปทำด้วยความไม่รู้ อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งไม่มีประโยชน์เลย มีแต่เพิ่มกิเลสให้กับตนเองมากยิ่งขึ้น
และประการที่สำคัญ การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบ ไม่ได้มีข้อจำกัดด้วยเวลา แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจถูกเห็นถูกเท่านั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จะอยู่ในกรุงเทพหรืออยู่ที่มีคนเยอะก็ไม่เป็นอุปสรรคกับการเจริญธรรมะ เราไม่ได้ทำสมาธิ ถึงต้องไปอยู่ที่เงียบๆ ในป่าที่ๆ ไม่มีคนมาก
ที่สำคัญ สมาธิก็มีทั้งมิจฉาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ ถ้าเราเจริญผิดไม่เจริญดีกว่า เป็นอันตรายเหมือนความเห็นผิด ค่ะ
แบบนี้คงต้องปริยัติไปก่อนแล้วครับ ปฏิบัติจะนั่งสมาธิ เดินจงกรมไม่ได้เลย เสียงมันดังอยู่ตลอด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ ก็สามารถปฎิบัติธรรมได้เพราะธรรมมีอยู่ทุกที่"
"ถ้าเริ่มต้นด้วยความไม่รู้เริ่มต้นด้วยการไปทำอะไรด้วยความเห็นผิด ด้วยความจดจ้องต้องการ นั่นไม่ใช่หนทางที่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา"
"หากอยู่ในสำนักปฏิบัติ ในที่เงียบสงัด มีในป่า เป็นต้น แต่ไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้"
"แทนที่จะแสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรมที่สงบเงียบสงัด ก็ควรแสวงหาปัญญา ด้วยการฟังพระะรรม ศึกษาพระธรรมในหนทางที่ถูก ก็จะทำให้นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องได้ในอนาคต ครับ"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของอ.ผเดิม อ.คำปั่นและทุกๆ ท่านครับ
เรียนความเห็นที่ 4
ถูกต้องครับ ควรเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เป็นสำคัญ ครับ ซึ่ง ปัญญาจากขั้นการฟัง ที่สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อปัญญาถึงพร้อม ก็ย่อมทำให้ถึงปฏิบัติได้
ซึ่ง ปฏิบัติ ไม่ใช่การนั่งสมาธิ เดินจงกรม ตามที่เข้าใจ แต่การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ขณะนั้น คือ ปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องอาศับปริยัติ คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
พระไตรปิฎก
ฟังธรรม
วีดีโอ
ซีดี
หนังสือ
กระดานสนทนา
การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)