[เล่มที่ 10] พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘
พระวินัยปิฎก
เล่ม ๘
ปริวาร
ปัญจวรรค 957
กรรมวรรคที่ ๑ 957
กรรม ๔ 1340/957
วัตถุวิบัติ 1341/957
ญัตติวิบัติ 1342/959
อนุสาวนาวิบัติ 1343/959
สีมาวิบัติ 1344/960
บริษัทวิบัติ 1345/960
กรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทําเป็นต้น 1346/962
อปโลกนกรรมเป็นต้น 1353/968
อรรถวสวรรคที่ ๒ 970
ทรงบัญญัติสิกขาบท 1359/970
ปัญญัติวรรคที่ ๓ 973
ทรงบัญญัติปาติโมกข์เป็นต้น 1360/973
ปัญญัติวรรคที่ ๔ 1361/974
นวสังคหวรรคที่ ๕ 976
สังคหะ ๙ อย่าง 1362/976
ให้บอกเรื่อง 1363/976
พึงรู้วัตถุเป็นต้น 1364/977
หัวข้อประจําวรรค 1365/979
คาถาส่งท้าย 1366/981
ปัญจวัคควัณณนา 983
วินิจฉัยในกรรมวรรค 983
ความต่างแห่งกรรม ๔ 983
กรรมวิบัติโดยวัตถุ 985
กรรมวิบัติโดยญัตติ 988
กรรมวิบัติโดยอนุสาวนา 989
กรรมวิบัติโดยสีมา 993
กรรมวิบัติโดยปริสะ 995
กรรมวิบัติโดยอปโลกนกรรม 996
นิสสารณาและโอสารณา 996
พรหมทัณฑ์ 998
กรรมลักษณะ 999
กรรมลักษณะวินิจฉัย 1001
ญัตติกรรม 1009
ญัตติทุติยกรรม 1012
ญัตติจตุตถกรรม 1013
ประโยชน์แห่งการบัญญัติสิกขาบท 1014
พรรณนาปัญญัตติวัคค์ 1016
อานิสงส์แห่งบัญญัติ 1016
ว่าด้วยประมวล 1017
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 10]
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 957
ปัญจวรรค
กรรมวรรค ที่ ๑
กรรม ๔
[๑,๓๔๐] กรรม ๔ อย่าง คือ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑
ถามว่า กรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมวิบัติโดยอาการเท่าไร
ตอบว่า กรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมวิบัติโดยอาการ ๕ คือ โดยวัตถุ ๑ โดยญัตติ ๑ โดยอนุสาวนา ๑ โดยสีมา ๑ โดยบริษัท ๑.
วัตถุวิบัติ
[๑,๓๔๑] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยวัตถุ อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยวัตถุอย่างนี้คือ กรรมที่ควรทำพร้อมหน้า แต่สงฆ์ทำลับหลัง ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
กรรมที่ควรสอบถามก่อนทำ แต่สงฆ์ไม่สอบถามก่อนทำ ชื่อว่ากรรม ไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
กรรมที่ควรทำตามปฏิญญา แต่สงฆ์ไม่ทำตามปฏิญญา ชื่อว่ากรรม ไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้อมูฬหวินัย แก่ภิกษุผู้ควรสติวินัย ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 958
สงฆ์ทำตัสสปาปิยสิกากรรม แก่ภิกษุผู้ควรอมูฬหวินัย ชื่อว่ากรรมไม่ เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ทำตัชชนียกรรม แก่ภิกษุผู้ควรตัสสปาปิยสิกากรรม ชื่อว่ากรรม ไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ทำนิยสกรรม แก่ภิกษุผู้ควรตัชชนียกรรม ชื่อว่ากรรมไม่เป็น ธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ทำปัพพาชนียกรรม แก่ภิกษุผู้ควรนิยสกรรม ชื่อว่ากรรมไม่เป็น ธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ทำปฏิสารณียกรรม แก่ภิกษุผู้ควรปัพพาชนียกรรม ชื่อว่ากรรม ไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ทำอุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุผู้ควรปฏิสารณียกรรม ชื่อว่ากรรม ไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้ปริวาส แก่ภิกษุผู้ควรอุกเขปนียกรรม ชื่อว่ากรรมไม่เป็น ธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ชักภิกษุผู้ควรปริวาสเข้าหาอาบัติเดิม ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้มานัตแก่ภิกษุผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม ชื่อว่ากรรมไม่เป็น ธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์อัพภานภิกษุผู้ควรมานัต ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้ภิกษุผู้ควรอัพภานอุปสมบท ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติ โดยวัตถุ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 959
สงฆ์ทำอุโบสถในวันมิใช่อุโบสถ ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดย วัตถุ
สงฆ์ปวารณาในวันมิใช่ปวารณา ชื่อว่ากรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดย วัตถุอย่างนี้ กรรมย่อมวิบัติโดยวัตถุ.
ญัตติวิบัติ
[๑,๓๔๒] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ ด้วยอาการ ๕ คือ :-
๑. ไม่ระบุวัตถุ
๒. ไม่ระบุสงฆ์
๓. ไม่ระบุบุคคล
๔. ไม่ระบุญัตติ
๕. ตั้งญัตติภายหลัง
กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ ด้วยอาการ ๕ นี้.
อนุสาวนาวิบัติ
[๑,๓๔๓] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา ด้วยอาการ ๕ คือ :-
๑. ไม่ระบุวัตถุ
๒. ไม่ระบุสงฆ์
๓. ไม่ระบุบุคคล
๔. ทิ้งญัตติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 960
๕. สวดในกาลไม่ควร
กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา ด้วยอาการ ๕ นี้.
สีมาวิบัติ
[๑,๓๔๔] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ อย่าง คือ :-
๑. สมมติสีมาเล็กเกิน
๒. สมมติสีมาใหญ่เกิน
๓. สมมติสีมามีนิมิตขาด
๔. สมมติสีมาใช้เงาเป็นนิมิต
๕. สมมติสีมาไม่มีนิมิต
๖. ภิกษุอยู่ภายนอกสีมาสมมติสีมา
๗. สมมติสีมาในนที
๘. สมมติสีมาในสมุทร
๙. สมมติสีมาในชาตสระ
๑๐. คาบเกี่ยวสีมาด้วยสีมา
๑๑. ทับสีมาด้วยสีมา
กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ อย่างนี้.
บริษัทวิบัติ
[๑,๓๔๕] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยบริษัท อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยบริษัทด้วยอาการ ๑๒ อย่าง คือ :-
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 961
๑. ในกรรมอันสงฆ์ จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เช้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา ภิกษุ อยู่พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๒. ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๓. ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่พร้อม หน้ากันคัดค้าน
๔. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๕. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๖. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๗. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 962
๘. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๙. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๐. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๑. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๒. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน.
กรรมย่อมวิบัติโดยบริษัท ด้วยอาการ ๑๒ นี้
กรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำเป็นต้น
[๑,๓๔๖] ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๔ รูป เป็น ผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้น เป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นไม่ใช่เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 963
ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๕ รูป เป็นผู้เข้า กรรม ปกตัตตะนอกนั้น เป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุ นั้นไม่ใช่เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๑๐ รูป เป็นผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้น เป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นไม่ใช่ เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๒๐ รูป เป็นผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้น เป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นไม่ใช่ เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม.
กรรม ๔
[๑,๓๔๗] กรรม ๔ คือ ๑. อปโลกนกรรม ๒. ญัตติกรรม ๓. ญัตติทุติยกรรม ๔. ญัตติจตุตถกรรม
ถามว่า กรรม ๔ นี้ ย่อมวิบัติ โดยอาการเท่าไร
ตอบว่า กรรม ๔ นี้ ย่อมวิบัติ โดยอาการ ๕ คือ :-
๑. โดยวัตถุ
๒. โดยญัตติ
๓. โดยอนุสาวนา
๔. โดยสีมา
๕. โดยบริษัท.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 964
วัตถุวิบัติ
[๑,๓๔๘] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยวัตถุ อย่างไร
ตอบว่า สงฆ์ให้บัณเฑาะก์อุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติ โดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนไถยสังวาสอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้เข้ารีตเดียรถีย์อุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติ โดยวัตถุ
สงฆ์ให้ดิรัจฉานอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ฆ่ามารดาอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ฆ่าบิดาอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ฆ่าพระอรหันต์อุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติ โดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ประทุษร้ายภิกษุณีอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ทำลายสงฆ์อุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดย วัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้ยังพระโลหิตห้ออุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติ โดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้สองเพศอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
สงฆ์ให้คนผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท ชื่อว่ากรรมเป็นอธรรม วิบัติโดยวัตถุ
อย่างนี้ กรรมย่อมวิบัติโดยวัตถุ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 965
ญัตติวิบัติ
[๑,๓๔๙] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ อย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ ด้วยอาการ ๕ คือ :-
๑. ไม่ระบุวัตถุ
๒. ไม่ระบุสงฆ์
๓. ไม่ระบุบุคคล
๔. ไม่ระบุญัตติ
๕. ตั้งญัตติภายหลัง
กรรมย่อมวิบัติโดยญัตติ ด้วยอาการ ๕ นี้.
อนุสาวนาวิบัติ
[๑,๓๕๐] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนาอย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา ด้วยอาการ ๕ คือ :-
๑. ไม่ระบุวัตถุ
๒. ไม่ระบุสงฆ์
๓. ไม่ระบุบุคคล
๔. ทิ้งญัตติ
๕. สวดในกาลไม่ควร
กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา ด้วยอาการ ๕ นี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 966
สีมาวิบัติ
[๑,๓๕๑] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมาอย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ อย่าง คือ :-
๑. สมมติสีมาเล็กเกิน
๒. สมมติสีมาใหญ่เกิน
๓. สมมติสีมามีนิมิตขาด
๔. สมมติสีมาใช้เงาเป็นนิมิต
๕. สมมติสีมาไม่มีนิมิต
๖. ภิกษุอยู่ภายนอกสีมาสมมติสีมา
๗. สมมติสีมาในนที
๘. สมมติสีมาในสมุทร
๙. สมมติสีมาในชาตสระ
๑๐. คาบเกี่ยวสีมาด้วยสีมา
๑๑. ทับสีมาด้วยสีมา
กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ อย่างนี้.
บริษัทวิบัติ
[๑,๓๕๒] ถามว่า กรรมย่อมวิบัติ โดยบริษัทอย่างไร
ตอบว่า กรรมย่อมวิบัติโดยบริษัท ด้วยอาการ ๑๒ อย่าง คือ :-
๑. ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมีจำนวน เท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่พร้อมหน้า กันคัดค้าน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 967
๒. ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมีจำนวน เท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่พร้อมหน้า กันคัดค้าน
๓. ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมีจำนวน เท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่พร้อมหน้า กันคัดค้าน
๔. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๕. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๖. ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรมมี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๗. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๘. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 968
๙. ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๐. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอยังไม่มา ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๑. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว แต่ไม่นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
๑๒. ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุทั้งหลายที่เข้ากรรม มี จำนวนเท่าไร พวกเธอมาแล้ว นำฉันทะของภิกษุผู้ควรฉันทะมา แต่อยู่ พร้อมหน้ากันคัดค้าน
กรรมย่อมวิบัติโดยบริษัท ด้วยอาการ ๑๒ นี้.
อปโลกนกรรมเป็นต้น
[๑,๓๕๓] ถามว่า อปโลกนกรรมถึงฐานะเท่าไร ญัตติกรรมถึงฐานะ เท่าไร ญัตติทุติยกรรมถึงฐานะเท่าไร ญัตติจตุตถกรรมถึงฐานะเท่าไร
ตอบว่า อปโลกนกรรมถึงฐานะ ๕ อย่าง ญัตติกรรมถึงฐานะ ๙ อย่าง ญัตติทุติยกรรมถึงฐานะ ๗ อย่าง ญัตติจตุตถกรรมถึงฐานะ ๗ อย่าง.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 969
ฐานะแห่งอปโลกนกรรม
[๑,๓๕๔] ถามว่า อปโลกนกรรมถึงฐานะ ๕ เป็นไฉน ตอบว่า โอสารณา นิสสารณา ภัณฑุกรรม พรหมทัณฑ์ ทั้งกรรม ลักษณะเป็นคำรบ ๕ อปโลกนกรรมถึงฐานะ ๕ นี้.
ฐานะแห่งญัตติกรรม
[๑,๓๕๕] ถามว่า ญัตติกรรมถึงฐานะ ๙ เป็นไฉน ตอบว่า โอสารณา นิสสารณา อุโบสถ ปวารณา สมมติ การให้ การรับ การเลื่อนปวารณาออกไป ทั้งกรรมลักษณะเป็นคำรบ ๙ ญัตติกรรม ถึงฐานะ ๙ นี้.
ฐานะแห่งญัตติทุติยกรรม
[๑,๓๕๖] ถามว่า ญัตติทุติยกรรม ถึงฐานะ ๗ อย่าง เป็นไฉน
ตอบว่า โอสารณา นิสสารณา สมมติ การให้ การถอน การแสดง ทั้งกรรมลักษณะเป็นคำรบ ๗ ญัตติทุติยกรรมถึงฐานะ ๗ นี้.
ฐานะแห่งญัตติจตุตถกรรม
[๑,๓๕๗] ถามว่า ญัตติจตุตถกรรม ถึงฐานะ ๗ อย่าง เป็นไฉน
ตอบว่า โอสารณา นิสสารณา สมมติ การให้ นิคคหะ สมนุภาสน์ ทั้งกรรมลักษณะเป็นคำรบ ๗ ญัตติจตุตถกรรมถึงฐานะ ๗ นี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 970
กรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำเป็นต้น
[๑,๓๕๘] ในกรรมอันสงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๔ รูป เป็น ผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้นเป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุ นั้นไม่ใช่เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
ในกรรมอันสงฆ์ปัญจวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๕ รูป เป็นผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้นเป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นไม่ใช่เป็น ผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
ในกรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๑๐ รูป เป็นผู้เข้ากรรม ปกตัตตะนอกนั้นเป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นไม่ใช่ เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม
ในกรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ภิกษุปกตัตตะ ๒ รูป เป็นผู้เข้า กรรม ปกตัตตะนอกนั้นเป็นผู้ควรฉันทะ สงฆ์ทำกรรมแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้น ไม่ใช่เป็นผู้เข้ากรรม และไม่ควรฉันทะ แต่เป็นผู้ควรกรรม.
กรรมวรรคที่ ๑ จบ
อรรถวสวรรคที่ ๒
ทรงบัญญัติสิกขาบท
[๑,๓๕๙] พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจ ๒ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 971
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้ พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็น ที่รัก ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันเวรอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดเวรอันจัก บังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันโทษอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดโทษอัน จักบังเกิดในอนาคต ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 972
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันภัยอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดภัยอันจัก บังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันอกุศลธรรมอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัด อกุศลธรรมอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่ออนุเคราะห์คฤหัสถ์ ๑ เพื่อเข้าไปตัดฝักฝ่ายของพวกภิกษุ ผู้มีความปรารถนาลามก ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใส ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 973
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้.
อรรถวสวรรค ที่ ๒ จบ
ปัญญัติวรรคที่ ๓
ทรงบัญญัติปาติโมกข์เป็นต้น
[๑,๓๖๐] พระตถาคตทรงบัญญัติปาติโมกข์แก่สาวก อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๒ ประการ ... ทรงบัญญัติปาติโมกขุทเทศ ทรงบัญญัติการงด ปาติโมกข์ ทรงบัญญัติปวารณา ทรงบัญญัติการงดปวารณา ทรงบัญญัติ ตัชชนียกรรม ทรงบัญญัตินิยสกรรม ทรงบัญญัติปัพพาชนียกรรม ทรงบัญญัติ ปฏิสารณียกรรม ทรงบัญญัติอุกเขปนียกรรม ทรงบัญญัติการให้ปริวาส ทรง บัญญัติการชักเข้าหาอาบัติเดิม ทรงบัญญัติการให้มานัต ทรงบัญญัติอัพภาน ทรงบัญญัติโอสารนียกรรม ทรงบัญญัตินิสสารนียกรรม ทรงบัญญัติการ อุปสมบท ทรงบัญญัติอปโลกนกรรม ทรงบัญญัติญัตติกรรม ทรงบัญญัติ ญัตติทุติยกรรม ทรงบัญญัติญัตติจตุตถกรรม.
ปัญญัติวรรค ที่ ๓ จบ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 974
ปัญญัติวรรค ที่ ๔
[๑,๓๖๑] พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบทที่ยังมิได้บัญญัติ ทรง บัญญัติเพิ่มเติมสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว ทรงบัญญัติสัมมุขาวินัย ทรง บัญญัติสติวินัย ทรงบัญญัติอมูฬหวินัย ทรงบัญญัติปฏิญญาตกรณะ ทรงบัญญัติ เยภุยยสิกา ทรงบัญญัติตัสสปาปิยสิกา ทรงบัญญัติติณวัตถารกะ คือ เพื่อ ความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็น ที่รัก ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัด อาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันเวรอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดเวรอัน จักบังเกิดในอนาคต ๑
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 975
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันโทษอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดโทษ อันจักบังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันภัยอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดภัยอันจัก บังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อป้องกันอกุศลธรรมอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัด อกุศลธรรมอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่ออนุเคราะห์คฤหัสถ์ ๑ เพื่อตัดฝักฝ่ายของผู้ปรารถนาลามก ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 976
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการ คือ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑
พระตถาคตทรงบัญญัติติณวัตถารกะแก่สาวก อาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ ประการนี้.
ปัญญัติวรรค ที่ ๔ จบ
นวสังคหวรรค ที่ ๕
สังคหะ ๙ อย่าง
[๑,๓๖๒] สังคหะมี ๙ อย่าง คือ วัตถุสังคหะ ๑ วิบัติสังคหะ ๑ อาบัติสังคหะ ๑ นิทานสังคหะ ๑ บุคคลสังคหะ ๑ ขันธสังคหะ ๑ สมุฏฐานสังคหะ ๑ อธิกรณสังคหะ ๑ สมถสังคหะ ๑.
ให้บอกเรื่อง
[๑,๓๖๓] เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคู่ความทั้งสองมาถึง สงฆ์พึง ให้ทั้งสองบอกเรื่อง ครั้นแล้วพึงฟังปฏิญญาทั้งสอง แล้วพึงพูดกะคู่ความทั้ง สองว่า เมื่อพวกเราระงับอธิกรณ์นี้แล้ว ท่านทั้งสองจักยินดี หรือ ถ้าทั้งสอง
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 977
รับว่า ข้าพเจ้าทั้งสองจักยินดี สงฆ์พึงรับอธิกรณ์นั้นไว้ ถ้าบริษัทมีอลัชชีมาก สงฆ์พึงระงับด้วยอุพพาหิกา ถ้าบริษัทมีคนพาลมาก สงฆ์พึงแสวงหาพระวินัยธร อธิกรณ์นั้นจะระงับ โดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสน์ใด สงฆ์พึง ระงับอธิกรณ์นั้น โดยอย่างนั้น.
พึงรู้วัตถุเป็นต้น
[๑,๓๖๔] พึงรู้วัตถุ พึงรู้โคตร พึงรู้ชื่อ พึงรู้อาบัติ
คำว่า เมถุนธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า อทินนาทาน เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า มนุสสวิคคหะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า อุตริมนุสธรรม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า ปาราชิก เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า สุกกวิสัฏฐิ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า กายสังสัคคะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า ทุฏฐุลลวาจา เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 978
คำว่า อัตตกาม เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า สัญจริตตะ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า ให้ทำกุฎีด้วยอาการขอเอาเอง เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า ให้ทำวิหารใหญ่ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า ตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิกไม่มีมูล เป็น ทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า ถือเอาเอกเทศบางอย่างแห่งอธิกรณ์อันเป็นเรื่องอื่นให้ เป็นเพียงเลศ แล้วตามกำจัดภิกษุด้วยธรรมมีโทษถึงปาราชิก เป็นทั้ง วัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า การที่ภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุ- ภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า การที่ภิกษุทั้งหลาย ผู้ประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็น ทั้งโคตร
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 979
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า การที่ภิกษุผู้ว่ายากไม่สละกรรม เพราะสวดสมนุภาสน์ ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า การที่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลไม่สละกรรม เพราะสวด สมนุภาสน์ครบ ๓ จบ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า สังฆาทิเสส เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติ
คำว่า การอาศัยความไม่เอื้อเฟื้อถ่ายอุจจาระปัสสาวะหรือ บ้วนเขฬะลงในน้ำ เป็นทั้งวัตถุ เป็นทั้งโคตร
คำว่า ทุกกฏ เป็นทั้งชื่อ เป็นทั้งอาบัติแล.
นวสังคหวรรค ที่ ๕ จบ
หัวข้อประจำวรรค
[๑,๓๖๕] อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ วัตถุ ๑ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๑ สีมา ๑ บริษัท ๑ พร้อมหน้า ๑ สอบถาม ๑ ปฏิญญา ๑ ควรสติวินัย ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ ญัตติ ๑ ตั้งญัตติภายหลัง ๑ วัตถุ ๑ สงฆ์ ๑ บุคคล ๑ สวดประกาศ ๑ สวดในกาลไม่ควร ๑ สีมาเล็กเกิน ๑ สีมาใหญ่เกิน ๑ สีมามี
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 980
นิมิตขาด ๑ สีมาใช้เงาเป็นนิมิต ๑ สีมาไม่มี นิมิต ๑ อยู่นอกสีมาสมมติสีมา ๑ สมมติสีมา ในนที ๑ ในสมุทร ๑ ในชาตสระ ๑ คาบ เกี่ยวสีมา ๑ ทับสีมาด้วยสีมา ๑ กรรมอันสงฆ์ จตุวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์ปัญจวรรค พึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์ทสวรรคพึงทำ ๑ กรรมอันสงฆ์วีสติวรรคพึงทำ ๑ ไม่นำฉันทะ มา ๑ นำฉันทะมา ๑ บุคคลผู้เข้ากรรม ๑ ผู้ควรฉันทะ ๑ ผู้ควรธรรม ๑ อปโลกนกรรม ๕ สถาน ๑ ญัตติกรรม ๙ สถาน ๑ ญัตติทุติยกรรม ๗ สถาน ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๗ สถาน ๑ ความรับว่าดี ๑ ความ ผาสุก ๑ บุคคลผู้เก้อยาก ๑ ภิกษุมีศีลเป็น ที่รัก ๑ อาสวะ ๑ เวร ๑ โทษ ๑ ภัย ๑ อกุศลธรรม ๑ คฤหัสถ์ ๑ บุคคลผู้ปรารถนาลามก ๑ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ ชุมชน ที่เลื่อมใสแล้ว ๑ ความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม ๑ อนุเคราะห์พระวินัย ๑ ปาติโมกขุ- เทศ ๑ งดปาติโมกข์ ๑ งดปวารณา ๑ ตัชชนียกรรม ๑ นิยสกรรม ๑ ปัพพาชนิยกรรม ๑ ปฏิสารณียกรรม ๑ อุกเขปนียกรรม
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 981
๑ ปริวาส ๑ อาบัติเดิม ๑ มานัต ๑ อัพภาน ๑ โอสารณา ๑ นิสสารณา ๑ อุปสมบท ๑ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑ ยังมิได้ทรง บัญญัติ ๑ ทรงบัญญัติซ้ำ ๑ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ เยภุยยสิกา ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ วัตถุ ๑ วิบัติ ๑ อาบัติ ๑ นิทาน ๑ บุคคล ๑ ขันธ์ ๑ สมุฏฐาน ๑ อธิกรณ์ ๑ สมถะ ๑ สังคหะ ๑ ชื่อ ๑ และอาบัติ ๑ ดังนี้แล.
คัมภีร์ปริวาร จบ
คาถาส่งท้าย
[๑,๓๖๖] ก็พระวินัยธร ผู้เรืองนาม มีปัญญามาก ทรงสุตะ มีวิจารณญาณ สอบ สวนแนวทางของท่านบุรพาจารย์ในที่นั้นๆ แล้วคิดเขียนข้อพิสดาร และสังเขปนี้ในสาย กลาง ตามแนวทางที่วางไว้ ซึ่งจะนำความ สะดวกมาให้แก่เหล่าศิษย์ คัมภีร์นี้เรียกว่า ปริวาร มีทุกเรื่องพร้อมทั้งลักษณะ มีอรรถ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 982
โดยอรรถในสัทธรรม มีธรรมโดยธรรมใน บัญญัติ ห้อมล้อมพระศาสนาดุจสาครล้อม รอบชมพูทวีป ฉะนั้น
พระวินัยธรเมื่อไม่รู้คัมภีร์ปริวาร ไฉนจะวินิจฉัยโดยธรรมได้ ความเคลือบแคลงของพระวินัยธรใดที่เกิดในวิบัติ วัตถุ บัญญัติ อนุบัญญัติ บุคคล เอกโตบัญญัติ อุภโตบัญญัติ โลกวัชชะ และปัณณัตติวัชชะ ย่อมขาดสิ้นไปด้วยคัมภีร์ปริวาส พระเจ้า จักรพรรดิ สง่างามในกองทัพใหญ่ฉันใด ไกรสรสง่างามในท่ามกลางฝูงมฤคฉันใด พระอาทิตย์แผ่ซ่านด้วยรัศมี ย่อมสง่างาม ฉันใด พระจันทร์สง่างามในหมู่ดาราฉันใด พระพรหมสง่างามในหมู่พรหมฉันใด ท่านผู้ นำสง่างามในท่ามกลางหมู่ชนฉันใด พระสัทธรรมวินัยย่อมงามสง่าด้วยคัมภีร์ปริวาร ฉันนั้นแล.
พระวินัยปิฎก จบบริบูรณ์
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 983
ปัญจวัคควัณณนา
วินิจฉัยในกัมมวรรค
พึงทราบดังนี้ :-
ความแตกต่างกันแห่งกรรม ๔ อย่าง ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วในสมถขันธกะแล. แม้ได้กล่าวแล้วก็จริง ถึงกระนั้น กรรมวินิจฉัยนี้ เมื่อได้กล่าวมา ตั้งแต่ต้น ย่อมเป็นวินิจฉัยที่ชัดเจน, เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักกล่าวข้อที่ควร กล่าว ในกัมมวรรคนี้ จำเดิมแต่ต้นทีเดียว.
คำว่า จตฺตาริ นี้ เป็นคำบอกกำหนดจำนวนแห่งกรรมทั้งหลาย.
คำว่า กมฺมานิ เป็นคำชี้กรรมที่กำหนดไว้แล้ว.
[ความต่างแห่งกรรม ๔]
กรรมที่ต้องยังสงฆ์ผู้ตั้งอยู่ในสีมาให้หมดจด นำฉันทะของภิกษุผู้ควร ฉันทะมา สวดประกาศ ๓ ครั้ง ทำตามอนุมัติของสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง ชื่อว่า อปโลกนกรรม.
กรรมที่ต้องทำด้วยญัตติอย่างเดียว ตามอนุมัติของสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง ตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่าญัตติกรรม.
กรรมที่ต้องทำด้วยอนุสาวนา มีญัตติเป็นที่ ๒ อย่างนี้ คือ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๑ ตามอนุมัติของสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่าญัตติทุติยกรรม.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 984
กรรมที่ต้องทำด้วยอนุสาวนา ๓ มีญัตติเป็นที่ ๔ อย่างนี้ คือ ญัตติ ๑ อนุสาวนา ๓ ตามอนุมัติของสงฆ์ผู้พร้อมเพรียง โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ชื่อว่าญัตติจตุตถกรรม.
บรรดากรรมเหล่านั้น อปโลกนกรรม พึงทำเพียงอปโลกน์, ไม่ ต้องทำด้วยอำนาจญัตติกรรมเป็นต้น. อนึ่ง ญัตติกรรม พึงทำตั้งญัตติอย่าง เดียว, ไม่ต้องทำด้วยอำนาจอปโลกนกรรมเป็นต้น.
ส่วนญัตติทุติยกรรม ที่ต้องอปโลกน์ทำก็มี ไม่ต้องอปโลกน์ทำก็มี. ใน ๒ อย่างนั้น กรรมหนัก ๖ อย่างนี้ คือ สมมติสีมา ถอนสีมา ให้ผ้ากฐิน รื้อกฐิน แสดงที่สร้างกุฎี แสดงที่สร้างวิหาร ไม่ควรอปโลกน์ทำ; พึง สวดญัตติทุติยกรรมวาจาทำเท่านั้น.
กรรมเบาเหล่านี้ คือ สมมติ ๑๓ ที่เหลือ และสมมติมีการให้ถือ เสนาสนะและให้มฤดกจีวรเป็นต้น ควรเพื่อทำทั้งอปโลกน์.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "แต่ญัตติทุติยกรรมนั้น ไม่ควรทำด้วยอำนาจญัตติกรรมและญัตติจตุตถกรรมแท้. เมื่อทำด้วยอำอาจญัตติจตุตถกรรม ย่อมเป็นกรรมมั่นคงกว่า; เพราะเหตุนั่น ควรทำ." คำของพระอาจารย์พวกนั้น ได้ถูกค้านแล้วเสียว่า "ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ความสังกระแห่งกรรมย่อมมี เพราะ เหตุนั้น จึงไม่ควรทำ."
ก็ถ้าว่า กรรมนั้นเสียโดยอักขระก็ดี เสียโดยบทก็ดี มีบทที่สวดไม่ชัด ก็ดีไซร์, การที่สวดซ้ำๆ เพื่อชำระกรรมนั้นก็ควร. การสวดซ้ำๆ นี้ เป็น ทัฬหีกรรมของกรรมที่ไม่กำเริบ, คงคืนเป็นกรรมในกรรมที่กำเริบ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 985
ญัตติจตุตถกรรม ต้องทำทั้งสวดญัตติและกรรมวาจา ๓ ไม่พึงทำด้วย อำนาจกรรมอื่น มีอปโลกนกรรมเป็นต้น
หลายบทว่า ปญฺจหากาเรหิ วิปชฺชนฺติ มีความว่า กรรม ๔ นี้ ย่อมวิบัติโดยเหตุ ๕ ประการ.
[กรรมวิบัติโดยวัตถุ]
ในข้อว่า กรรมที่ควรทำพร้อมหน้า สงฆ์ทำไม่พร้อมหน้า กรรมไม่ เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ นี้ กรรมที่ควรทำพร้อมหน้าก็มี กรรมที่ควรทำ ไม่พร้อมหน้าก็มี. ใน ๒ อย่างนั้น ขึ้นชื่อว่ากรรมที่ควรทำไม่พร้อมหน้ามี ๘ อย่าง คือ อุปสมบทด้วยทูต คว่ำบาตร หงายบาตร อุมมัตตกสมมติ ที่ สงฆ์พึงทำแก่ภิกษุบ้า เสขสมมติแก่สกุลพระเสขะ พรหมทัณฑ์แก่พระฉันน ภิกษุ ปกาสนียกรรมให้แก่พระเทวทัตต์ อวันทิยกรรมที่ภิกษุณีสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุ ผู้แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใส. กรรมทั้งปวงนั้น พึงทราบตามนัยที่ข้าพเจ้ากล่าว แล้วในที่มานั้นๆ แล. กรรมทั้ง ๘ อย่างนี้ อันสงฆ์ทำแล้วไม่พร้อมหน้า ย่อมเป็นอันทำด้วยดี ไม่กำเริบ.
กรรมทั้งปวงที่เหลือ ควรทำพร้อมหน้าเท่านั้น, คือ พึงทำให้อิงสัมมุขาวินัย ๔ อย่างนี้ คือ ความพร้อมหน้าสงฆ์ ความพร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ความพร้อมหน้าบุคคล.
อันกรรมทั้งปวงที่ทำแล้วด้วยประการอย่างนั้น ย่อมเป็นอันทำดีแล้ว. แต่กรรมเหล่านั้น ที่ไม่ทำอย่างนั้น ย่อมจัดเป็นกรรมวิบัติโดยวัตถุ เพราะ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 986
ทำเว้นวัตถุ กล่าวคือสัมมุขาวินัยนี้เสีย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กรรม ที่ควรทำพร้อมหน้า สงฆ์ทำไม่พร้อมหน้า กรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ.
แม้ในกรรมทั้งหลาย มีกรรมที่ควรทำด้วยสอบถามเป็นต้น การทำ กิจมีสอบถามเป็นต้นนั่นแล จัดเป็นวัตถุ. พึงทราบความที่กรรมแม้เหล่านั้น วิบัติโดยวัตถุ เพราะกระทำเว้นวัตถุนั้นเสีย. แต่ข้อนี้ เป็นเพียงเนื้อความ เฉพาะคำ ในคำที่ว่า ปฏิปุจฺฉากรณียํ เป็นต้น
หลายบทว่า ปฏิปุจฺฉากรณียํ อปฺปฏิปุจฺฉา กโรติ มีความว่า กรรมที่ควรถามแล้วจึงโจท แล้วให้จำเลยให้การกระทำ สงฆ์กระทำไม่ถาม ไม่โจท ไม่ให้จำเลยให้การเสียเลย.
หลายบทว่า ปฏิญฺาย กรณียํ อปฺปฏิญฺาย กโรติ มีความว่า ว่า กรรมที่ควรยกปฏิญญาเป็นหลัก ทำตามปฏิญญาซึ่งจำเลยให้อย่างไร, สงฆ์ กระทำโดยหักโหม แก่ภิกษุผู้คร่ำคราญบ่นเพ้ออยู่ด้วย ไม่ยอมปฏิญญา
บทว่า สติวินยารหสฺส ได้แก่ พระขีณาสพ เช่นพระทัพพมัลลบุตรเถระ.
บทว่า อมูฬฺหวินยารหสฺส ได้แก่ ภิกษุบ้า เช่นคัคคภิกษุ.
บทว่า ตสฺสปาปิยสกากมฺมารหสฺส ได้แก่ ภิกษุผู้มีบาปหนาแน่น เช่นอุปวาฬภิกษุ.
นัยในบททั้งปวง ก็เช่นนี้แล.
หลายบทว่า อนฺโปสเถ อุโปสถํ กโรติ มีความว่า ทำอุโบสถ ในวันที่มิใช่วันอุโบสถ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 987
วันสามัคคีของสงฆ์ผู้แตกกันและวันที่ ๑๔ และวันที่ ๑๕ ค่ำ (ตามนัย) ที่กล่าวแล้ว ใน ๑๑ เดือนที่เหลือ เว้นเดือนกัตติกาเสีย ชื่อว่าวันอุโบสถ.
เมื่อทำอุโบสถในวันอื่น เว้นวันอุโบสถทั้ง ๓ ประการอย่างนั้นเสีย ชื่อว่าท่าอุโบสถในวันมิใช่วันอุโบสถ.
ก็ในวัดใด ภิกษุทั้งหลายวิวาทกันเพราะเหตุเล็กน้อย เพื่อประโยชน์ แก่บริขารมีบาตรและจีวรเป็นต้น จึงงดอุโบสถหรือปวารณาเสีย. เมื่ออธิกรณ์ นั้นวินิจฉัยแล้ว ภิกษุทั้งหลายในวัดนั้นย่อมไม่ได้เพื่อกล่าวว่า พวกเราเป็นผู้ พร้อมเพรียงกัน แล้วทำสามัคคีอุโบสถในวันอันเป็นระหว่าง. เมื่อกระทำ อุโบสถ ชื่อว่าเป็นอันกระทำในวันมิใช่วันอุโบสถ.
สองบทว่า อปวารณาย ปวาเรติ มีความว่า สงฆ์ปวารณาในวัน มิใช่วันปวารณา.
วันสามัคคีของสงฆ์ผู้แตกกัน ๑ วันที่สงฆ์เลื่อนไปตั้งไว้ ๑ ในเดือน กัตติกาเตือนเดียว และวันกลางเดือน ๒ ครั้ง ชื่อว่าวันปวารณา.
เมื่อปวารณาในวันอื่น เว้นวันปวารณาทั้ง ๔ ประการอย่างนี้เสีย ชื่อว่าปวารณาในวันมิใช่วันปวารณา. แม้ในการปวารณานี้ ภิกษุทั้งหลายย่อม ไม่ได้เพื่อทำสามัคคีปวารณา ในเพราะวิวาทมีประมาณน้อยระงับลง. เมื่อทำ ปวารณา ย่อมเป็นอันกระทำในวันมิใช่วันปวารณา.
อีกอย่างหนึ่ง แม้เมื่อสงฆ์ให้อุปสมบทบุคคลผู้มีปีหย่อน ๒๐ หรือ บุคคลผู้เคยต้องอันติมวัตถุ หรืออภัพบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ในอภัพบุคคล ๑๑ ย่อมเป็นกรรมไม่เป็นธรรม วิบัติโดยวัตถุ.
กรรมทั้งหลายย่อมวิบัติโดยวัตถุ ด้วยประการฉะนี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 988
[กรรมวิบัติโดยญัตติ]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในวิบัติโดยญัตติ ดังต่อไปนี้ :-
สองบทว่า วตฺถุํ น ปรามสติ มีความว่า สงฆ์ทำกรรมมีอุปสมบท เป็นต้นแก่บุคคลเหล่าใด ไม่ระบุบุคคลนั้น คือไม่ระบุชื่อบุคคลนั้น ได้แก่ สวดว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า อุปสัมปทาเปกขะของท่านพุทธรักขิต ในเมื่อควรสวดว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ธัมมรักขิตนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านพุทธรักขิต ไม่ระบุวัตถุอย่างนี้.
สองบทว่า สงฺฆํ น ปรามสติ มีความว่า ไม่ระบุชื่อสงฆ์ คือ สวดว่า ท่านผู้เจริญ ขอจงฟังข้าพเจ้า ธัมมรักขิตนี้ ดังนี้ ในเมื่อควรสวดว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ธัมมรักขิตนี้ ไม่ระบุสงฆ์อย่างนี้.
สองบทว่า ปุคฺคลํ น ปรามสติ มีความว่า ภิกษุใด เป็น อุปัชฌาย์ ของอุปสัมปทาเปกขะ ไม่ระบุภิกษุนั้น คือ ไม่ระบุชื่อของภิกษุนั้น ได้แก่ สวดว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ธัมมรักขิตนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะ ดังนี้ ในเมื่อควรสวดว่า ท่านผู้เจริญ ของสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ธัมมรักขิตนี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านพุทธรักขิต ไม่ระบุบุคคลอย่างนี้.
สองบทว่า ตฺตึ น ปรามสติ มีความว่า ไม่ระบุญัตติโดย ประการทั้งปวง คือ ในญัตติทุติยกรรม ไม่ตั้งญัตติ กระทำอนุสาวนากรรม ด้วยกรรมวาจาเท่านั้น. แม้ในญัตติจตุตถกรรม ก็ไม่ตั้งญัตติ กระทำอนุสาวนากรรม ด้วยกรรมวาจาเท่านั้น ๔ ครั้ง ไม่ระบุญัตติอย่างนี้.
หลายบทว่า ปจฺฉา วา ตฺตึ เปตึ มีความว่า กระทำอนุ- สาวนากรรม ด้วยกรรมวาจาก่อน แล้วจึงกล่าวว่า เอสา ตฺติ แล้วกล่าว
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 989
ว่า ขมติ สงฺฆสฺส ตสฺมา ตุณฺหี เอวเมตํ ธารยามิ. ตั้งญัตติภายหลัง อย่างนี้. กรรมวิบัติโดยญัตติ ด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
[กรรมวิบัติโดยอนุสาวนา]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในวิบัติโดยอนุสาวนา ดังต่อไปนี้ :-
วัตถุเป็นต้น พึงทราบก่อนตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. ก็การไม่ระบุ วัตถุเป็นต้นเหล่านั้น ย่อมมีอย่างนี้ :-
ในอนุสาวนาที่ ๑ ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ก็ดี ในอนุสาวนา ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ว่า ทุติยมฺปิ เอตมตฺถิ วทามิ, ตติยมฺปิ เอตมตฺถํ วทามิ สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ก็ดี เมื่อควรจะสวดต่อว่า อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทธฺรกฺขิตสฺส อุปสมฺปทาเปกฺโข ภิกษุสวดเสียว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อายสฺมโต พุทธฺรกฺขิตสฺส ดังนี้ ชื่อว่าไม่ระบุวัตถุ.
เมื่อควรจะสวดว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต สวดเสียว่า สุณาตุ เม ภนฺเต อยํ ธมฺมรกฺขิโต ดังนี้ ชื่อว่าไม่ระบุสงฆ์
เมื่อควรจะสวดว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อายสฺมโต พุทธฺรกฺขิตสฺส สวดเสียว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อยํ ธมฺมรกฺขิโต อุปสมฺปทาเปกฺโข ดังนี้ ชื่อว่าไม่ระบุบุคคล
สองบทว่า สาวนํ หาเปติ มีความว่า ไม่กระทำการสวดประกาศ ด้วยกรรมวาจาโดยประการทั้งปวง. คือ ตั้งญัตติเท่านั้น ๒ ครั้ง ในญัตติทุติยกรรม ตั้งญัตติเท่านั้น ๔ ครั้ง ในญัตติจตุตถกรรม. ทิ้งวาจาประกาศเสียอย่างนี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 990
แม้ภิกษุใด เมื่อตั้งญัตติหนหนึ่งแล้วสวดกรรมวาจาหนหนึ่งทิ้งอักขระ หรือบทเสีย หรือว่าผิดในญัตติทุติยกรรม แม้ภิกษุนี้ชื่อว่าทิ้งวาจาประกาศเสีย เหมือนกัน.
ส่วนในญัตติจตุตถกรรม เมื่อตั้งญัตติหนหนึ่งแล้ว สวดประกาศด้วย กรรมวาจา เพียงครั้งเดียวหรือ ๒ ครั้งก็ดี เมื่อทิ้งอักขระหรือบทเสียก็ดี เมื่อ ว่าผิดก็ดี พึงทราบว่า ทิ้งอนุสาวนาเสียแท้.
ก็วินิจฉัยในคำว่า ทุรุตฺตํ กโรติ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
อันภิกษุใด ว่าอักขระอื่นในเมื่อตนควรว่าอักขระอื่น ภิกษุนี้ ชื่อว่า ว่าผิด. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้จะสวดกรรมวาจาพึงสนใจให้ดี ซึ่งประเภทแห่ง พยัญชนะ ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความแตกฉานด้วยปัญญาเครื่องรู้พยัญชนะ ๑๐ อย่าง คือ สิถิล ธนิต ทีฆะ รัสสะ ครุ ลหุ นิคหิต สัมพันธ์ ววัตถิตะ วิมุตต์.
ก็ในประเภทแห่งพยัญชนะ ๑๐ ตัวนี้ พยัญชนะที่ ๑ และที่ ๓ ใน วรรคทั้ง ๕ ชื่อว่าสิถิล (เสียงเพลา). พยัญชนะที่ ๒ และที่ ๔ ในวรรค เหล่านั้นแล ชื่อว่าธนิต (เสียงแข็ง)
สระที่จะพึงว่าโดยระยะยาว ได้แก่ สระ อา เป็นต้น ชื่อว่าทีฆะ.
สระที่จะพึงว่าโดยระยะสั้นกึ่งระยะยาวนั้น ได้แก่สระ อะ เป็นต้น ชื่อว่ารัสสะ.
ทีฆะนั่นเองชื่อว่าครุ อีกอย่างหนึ่ง สระที่สั้นกล่าวไว้มีพยัญชนะสะกด ข้างหลังอย่างนี้ว่า อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตตฺเถรสฺส ยสฺส นกฺขมติ จัดเป็นครุ. รัสสะนั่นเอง ชื่อว่าลหุ อีกอย่างหนึ่ง สระที่กล่าวไม่ให้มีพยัญชนะ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 991
สะกดข้างหลังอย่างนี้ว่า อายสฺมโต พุทฺธรกฺขิตเถรสฺส ยสฺส น ขมติ ก็จัดเป็นลหุ.
อักขระที่ว่าหุบปากกดกรณ์ไว้ไม่ปล่อย ทำเสียงให้ขึ้นจมูกชื่อว่า นิคหิต.
บทที่ว่าเชื่อมกับบทอื่น เช่น ตุณฺหสฺส หรือว่า ตุณฺหิสฺส ชื่อว่า สัมพันธ์.
บทที่แยกว่า ไม่เชื่อมกับบทอื่น เช่น ตุณฺหิ อสฺส ชื่อว่าววัตถิตะ. อักขระที่ว่าเปิดปาก ไม่ทำเสียงให้ขึ้นจมูก ปล่อยเสียง ไม่กดกรณ์ไว้ ชื่อว่าวิมุตต์.
ในพยัญชนะประเภทมีสิถิลเป็นต้นนั้น บทที่จะพึงว่า สุณาตุ เม ภนฺเต ว่า ต เป็น ถ เสีย สุณาถุ เม ชื่อว่าทำสิถิลให้เป็นธนิต และบทอันจะพึงว่า ปตฺตกลฺลํ เอสา ตฺติ ว่า ต เป็น ถ เสีย ว่า ปตฺถกลฺลํ เอสา ตฺถิ เป็นต้น ก็เหมือนกัน.
บทอันจะพึงว่า ภนฺเต สงฺโฆ ว่า ภ เป็น พ ว่า ฆ เป็น ค เสียว่า พนฺเต สงฺโค ชื่อว่าทำธนิตให้เป็นสิถิล.
ส่วนบทอันจะพึงเปิดปากว่า สุณาตุ เม ว่าหุบปากให้เสียงขึ้นจมูก เป็น สุณนฺตุ เม ก็ดี บทอันจะพึงเปิดปากว่า เอสา ตฺติ ว่าหุบปาก ให้เสียงขึ้นจมูกเป็น เอสํ ตฺติ ก็ดี ชื่อว่า ว่าวิมุตต์ให้เป็นนิคหิต.
คำอันจะพึงหุบปากให้เสียงขึ้นจมูกว่า ปตฺตกลฺลํ ว่าเปิดปากไม่ทำ ให้เสียงขึ้นจมูกว่า ปตฺตกลฺลา ชื่อว่า วินิคหิตให้เป็นวิมุตต์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 992
พยัญชนะ ๔ เหล่านี้ คือ เมื่อควรว่าให้เป็นสิถิล ว่าเป็นธนิต เมื่อ ควรว่าให้เป็นธนิต ว่าเป็นสิถิล เมื่อควรว่าให้เป็นเป็นวิมุตต์ ว่าเป็นนิคหิต เมื่อควรว่าให้เป็นนิคหิต ว่าเป็นวิมุตต์ ย่อมทำกรรมให้เสีย ในภายใน กรรมวาจา ด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ ภิกษุผู้สวดอย่างนั้น ว่าอักขระอื่น ในเมื่ออักขระอื่นอันตนควรว่าท่านกล่าวว่า ว่าผิด.
อันภิกษุผู้สวดกรรมวาจา ควรว่าอักขระนั้นๆ แล ให้ถูกต้องตาม ฐานอย่างนี้ คือ ใน พยัญชนะ ๖ นอกนี้ มีทีฆะและรัสสะเป็นต้นว่าทีฆะให้คง ในที่แห่งทีฆะ ว่ารัสสะให้คงในที่แห่งรัสสะ อย่าให้ประเพณีอันมาแล้วโดย ลำดับสูญเสีย ทำกรรมวาจา.
แต่ถ้าภิกษุผู้สวดกรรมวาจาไม่ว่าอย่างนั้น เมื่อควรจะว่าให้เป็นทีฆะว่า เป็นรัสสะเสีย หรือเมื่อควรจะว่าให้เป็นรัสสะ ว่าเป็นทีฆะเสียก็ดี เมื่อควรจะว่า ให้เป็นครุ ว่าเป็นลหุเสีย หรือเมื่อควรจะว่าให้เป็นลหุ ว่าเป็นครุเสียก็ดี อนึ่ง เมื่อควรจะว่าให้เชื่อมกัน ว่าแยกกันเสีย หรือเมื่อควรจะว่าให้แยกกัน ว่าเชื่อมกันเสียก็ดี. แม้เมื่อว่าอย่างนี้ กรรมวาจาก็ไม่เสีย. จริงอยู่ พยัญชนะ ๖ นี้ ไม่ยังกรรมให้เสีย.
ก็คำใด ที่พระสุตตันติกเถระทั้งหลายกล่าวว่า ท กลายเป็น ต ได้ ต กลายเป็น ท ได้ จ กลายเป็น ช ได้ ช กลายเป็น จ ได้ ย กลายเป็น ก ได้ ก กลายเป็น ย ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อควรจะว่า ท เป็นต้น ว่าเป็น ต เป็นต้น เสีย ก็ไม่ผิด. คำนั้นถึงกรรมวาจาแล้วย่อมไม่ ควร. เพราะเหตุนั้น พระวินัยธร ไม่พึงว่า ท เป็น ตฯ ลฯ ไม่พึงว่า
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 993
ก เป็น ย พึงสวดกรรมวาจา ชำระภาษาตามควรแก่บาลี หลีกโทษ ที่กล่าว แล้ว แห่งภาษาคือพยัญชนะทั้ง ๑๐ อย่างเสีย. จริงอยู่ เมื่อว่าโดยประการนอกนี้ แล้ว ชื่อว่าทิ้งสาวนาเสีย.
สองบทว่า อกาเล วา สาเวติ มีความว่า งดญัตติไว้ ทำอนุ- สาวนากรรมเสียก่อน ในสมัยมิใช่กาล คือ มิใช่โอกาสแห่งสาวนาแล้ว ตั้ง ญัตติต่อภายหลัง
กรรมย่อมวิบัติโดยอนุสาวนา ด้วยอาการ ๕ นี้ ด้วยประการฉะนี้.
[กรรมวิบัติโดยสีมา]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในวิบัติโดยสีมา ดังต่อไปนี้ :-
สีมาใด ไม่จุภิกษุได้ ๒๑ รูป สีมานั้น จัดว่าสีมาเล็กเกินไป.
แต่ในกุรุนทีว่า ภิกษุ ๒๑ รูป ไม่อาจเพื่อนั่งในสีมาใด สีมานั้น จัดว่าเล็กเกินไป. เพราะเหตุนั้น สีมาเห็นปานนี้อันสงฆ์สมมติแล้วก็ตาม เป็น อันไม่ได้สมมติ ย่อมต้องเป็นเช่นกับคามเขต. กรรมที่ทำในสีมานั้น ย่อมเสีย. แม้ในสีมาที่เหลือทั้งหลายก็นัยนี้.
ก็นัยสีมาเหล่านี้ สีมาใด เป็นแดนอันสงฆ์สมมติเกิด ๓ โยชน์แม้ เพียงปลายเส้นผมเดียว สีมานั้น จัดว่าใหญ่เกินไป.
สีมามีนิมิตไม่ต่อกัน เรียกว่า สีมามีนิมิตขาด. ภิกษุทักนิมิตในทิศตะวันออกแล้ว ทักในทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ วนไปโดยลำดับกัน แล้วทักซ้ำนิมิตที่เคยทักแล้ว ในทิศตะวันออกอีก แล้ว จึงหยุด จึงจะควร. สีมาย่อมเป็นแดนมีนิมิตไม่ขาดอย่างนี้. ก็ถ้าว่า ทักมา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 994
ตามลำดับแล้ว ทักนิมิตในทิศเหนือแล้ว หยุดเสียแค่ทิศเหมือนนั่นเอง, สีมา ย่อมมีนิมิตขาด.
สีมาใด ที่สงฆ์สมมติ จัดเอาต้นไม้มีเปลือกแข็งก็ดี ตอไม้ก็ดี กองดิน กองทรายอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ซึ่งไม่ควรเป็นนิมิต ให้เป็นนิมิตอันหนึ่งใน ระหว่าง สีมานั้นจัดเป็นสีมามีนิมิตขาดอีกชนิดหนึ่ง.
สีมาใดที่สงฆ์สมมติ กะเอาเงาภูเขาเป็นต้นเงาอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ เป็นนิมิต สีมานั้น ชื่อว่ามีฉายาเป็นนิมิต.
สีมาใด ที่สงฆ์สมมติ ไม่ทักนิมิตโดยประการทั้งปวง, สีมานั้น ชื่อว่า หานิมิตมิได้.
ภิกษุทักนิมิตแล้ว ยืนอยู่ภายนอกนิมิตสมมติสีมา ชื่อว่ายืนอยู่นอกสีมา สมมติสีมา.
ภิกษุสมมติสีมาในน่านน้ำมีแม่น้าเป็นต้นเหล่านี้ ชื่อว่าสมมติสีมาใ น แม่น้ำ ในทะเล ในสระเกิดเอง. สีมานั้น แม้สงฆ์สมมติแล้วอย่างนั้น ย่อม ไม่เป็นอันสมมติเลย เพราะพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งปวง ไม่ใช่สีมา ทะเลทั้งปวง ไม่ใช่สีมา, สระเกิดเองทั้งปวง ไม่ใช่สีมา.
หลายบทว่า สีมาย สีมํ สมฺภินฺทติ มีความว่า คาบเกี่ยวสีมา ของผู้อื่นด้วยสีมาของตน.
บทว่า อชฺโฌตฺถรติ ได้แก่ สมมติทับสีมาของผู้อื่น ด้วยสีมา ของตน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 995
ในการสมมติสีมานั้น ความคาบเกี่ยวกันและความทับกันจะมีได้ด้วย ลักษณะอย่างใด, ลักษณะทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้วในอุโบสถ ขันธกะ.
สีมาทั้ง ๑๑ อย่างนี้ ไม่จัดเป็นสีมา เป็นเท่ากับคามเขตเท่านั้น. กรรม ที่สงฆ์นั่งทำในสีมาเหล่านั้น ย่อมเสีย ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า กรรมย่อมวิบัติโดยสีมา ด้วยอาการ ๑๑ เหล่านี้.
[กรรมวิบัติโดยปริสะ]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในวิบัติแห่งกรรมโดยปริสะ ดังต่อไปนี้ :-
ไม่มีคำน้อยหนึ่งที่จัดว่าไม่ตื้น.
ลักษณะของภิกษุผู้เข้ากรรมและภิกษุผู้ควรแก่ฉันทะ ในกรรมวิบัติ โดยปริสะนั้น ที่ข้าพเจ้าควรกล่าวก็มีบ้าง แต่ท่านได้กล่าวไว้ข้างหน้าแล้วแล โดยนัยเป็นต้นว่า จตฺตาโร ภิกฺขู ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ปกตตฺตา กมฺมปฺปตฺตา มีความว่า ในกรรมที่สงฆ์จตุวรรคพึงทำ ภิกษุ ๔ รูปผู้มีตนเป็นปกติ คือ ผู้อันสงฆ์มิได้ ยกวัตร อันสงฆ์มิได้ลงโทษ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ ภิกษุ ๔ รูป ผู้เข้ากรรม คือ ผู้ควร ผู้สมควร ได้แก่เป็นเจ้าของแห่งกรรม. กรรมนั้น เว้นพวกเธอเสีย ย่อมทำไมได้. ฉันทะก็ดี ปาริสุทธิก็ดี ของพวกเธอยังไม่มา. ฝ่ายภิกษุที่เหลือ ถ้าแม้มีประมาณพันรูป. ถ้าว่าเป็นสมานสังวาสก์ ย่อมเป็นผู้ควรแก่ฉันทะ ทั้งหมดทีเดียว. พวกเธอมอบฉันทะและปาริสุทธิแล้ว จะมาหรือไม่มาก็ตาม. ส่วนกรรมคงตั้งอยู่.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 996
แต่สงฆ์ทำกรรมมีปริวาสเป็นต้น แก่ภิกษุใด, ภิกษุนั้นมิใช่ผู้เข้ากรรม ทั้งมิใช่ผู้ควรแก่ฉันทะ. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นอันท่านเรียกว่า กัมมารหบุคคล ก็เพราะเหตุที่สงฆ์จัดบุคคลนั้นให้เป็นวัตถุกระทำกรรม.
แม้ในกรรมที่เหลืด ก็นัยนี้แล.
ท่านกล่าวนัยเป็นต้นว่า จตตาริ กมฺมานิ ไว้อีก ก็เพื่อแสดข้อที่ อภัพบุคคลมีบัณเฑาะก์เป็นต้น ไม่จัดเป็นวัตถุ.
คำที่เหลือ ในนัยนี้ ตื้นทั้งนั้น.
[ว่าด้วยอปโลกนกรรม]
บัดนี้ เพื่อแสดงประเภทแห่งกรรมเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่า อปโลกนกมฺมํ กติ านนิ คจฺฉติ เป็นอาทิ.
บรรดาบทเหล่านั้น ในบทที่ว่า อปโลกนกรรม ย่อมถึงฐานะ ๕ เหล่าไหน? ฐาน ะ ๕ เหล่านี้ คือ โอสารณา นิสสารณา ภัณฑุกรรม พรหมทัณฑ์ ทั้งกรรมลักษณะเป็นคำรบ ๕ นี้ คำที่ว่า โอสารณา นิสสารณา นั้น ท่านกล่าวแล้ว เพื่อเป็นบทที่ไพเราะ. แต่นิสสารณามีก่อน โอสารณา มีภายหลัง.
[นิสสารณาและโอสารณา]
ใน ๒ อย่างนั้น ทัณฑกรรมนาสนาที่สงฆ์ทำแก่กัณฏกสามเณร พึง ทราบว่าเป็นนิสสารณา. เพราะเหตุนั้น ในบัดนี้ แม้ถ้าสามเณรกล่าวโทษ พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์, แสดงสิ่งที่ไม่ควรว่าควร, เป็นผู้มีความ
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 997
เห็นผิด ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ; สามเณรนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึง ห้ามปราม ให้สละความยึดถือนั้นเสีย เพียงครั้งที่ ๓, หากเธอไม่ยอมสละ พึงให้ประชุมสงฆ์กล่าวว่า จงสละเสีย, หากเธอไม่ยอมสละ ภิกษุผู้ฉลาดพึงทำ อปโลกนกรรมลงโทษเธอ.
ก็แลกรรมอันภิกษุนั้นพึงทำอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถาม สงฆ์ว่า สามเณรชื่อนี้ๆ มีความเห็นผิด มักกล่าวโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, สามเณรเหล่าอื่นย่อมได้การนอนร่วมกับภิกษุทั้งหลาย ๒ - ๓ คืน อันใด การลงโทษเธอ เพื่อไม่ได้การนอนร่วมนั้น ชอบใจสงฆ์หรือ? ท่าน ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามสงฆ์เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถามสงฆ์ เป็นครั้งที่ ๓ ว่า สามเณรชื่อนี้ๆ มีความเห็นผิด ฯลฯ การลงโทษเธอ เพื่อ ไม่ได้การนอนร่วมนั้น ชอบใจสงฆ์หรือ? การลงโทษนั้น ชอบใจสงฆ์; เจ้าคนเสีย เจ้าจงไปเสีย เจ้าจงฉิบหายเสีย.
โดยสมัยอื่น สามเณรนั้นขอโทษว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้กระทำ อย่างนั้น เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะไม่รู้ เพราะเป็นผู้ไม่พิจารณา, ข้าพเจ้า นั้นขอขมาสงฆ์ ดังนี้ พึงให้เธอขอเพียงครั้งที่ ๓ แล้ว ถอนโทษด้วย อปโลกนกรรมนั่นแล.
ก็แลสามเณรนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงถอนโทษอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศ โดยอนุมัติของสงฆ์ในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า สามเณรชื่อนี้ๆ มีความเห็นผิด มักกล่าวโทษ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันสงฆ์ลงโทษแล้ว เพื่อไม่ได้การนอนร่วม กับภิกษุทั้งหลาย ๒ - ๓ คืน ซึ่งสามเณรเหล่าอื่นได้, บัดนี้ สามเณรนี้นั้น
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 998
เสงี่ยมแล้ว เว้นได้แล้ว ประพฤติเจียมตัว หันเข้าหาลัชชีธรรมแล้ว ตั้งมั่น ในหิริโอตตัปปะแล้ว ได้ทำทัณฑกรรมแล้ว สารภาพโทษอยู่; การให้ความ พร้อมเพรียงด้วยกายสมโภคเหมือนในกาลก่อน แก่สามเณรนี้ ชอบใจ สงฆ์ หรือ? พึงสวดอย่างนี้ ๓ ครั้ง. อปโลกนกรรมย่อมถึงโอสารณาและนิสสารณา ด้วยประการฉะนี้.
ภัณฑุกรรม ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้ว ในมหาขันธกวัณณนา.
[พรหมทัณฑ์]
พรหมทัณฑ์ อันพระอานนทเถระได้กล่าวไว้แล้ว ในปัญจสติกขันธกะ. ก็แลพรหมทัณฑ์นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ เพราะพระฉันนะ รูปเดียวหามิได้. ภิกษุแม้อื่นใด เป็นผู้มีปากร้าย เสียดสี ด่า ข่มภิกษุทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำหยาบคายอยู่. สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุแม้นั้น.
ก็แลพรหมทัณฑ์นั้น พึงลงอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของสงฆ์ ในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ภิกษุชื่อนี้ มีปากร้าย เสียดสีภิกษุทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย อยู่, ภิกษุนั้น พึงกล่าวคำที่คนปรารถนาจะกล่าว, ภิกษุชื่อนี้ อันภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงตักเตือน ไม่พึงพร่ำสอน, ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถาม สงฆ์ว่า การลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุชื่อนี้ ของใจสงฆ์หรือ? ข้าพเจ้าถาม เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ ข้าพเจ้าถามเป็นครั้งที่ ๓ ว่า การลงพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุ ชื่อนี้ ชอบใจสงฆ์หรือ? ท่านผู้เจริญ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 999
พรหมทัณฑ์อันสงฆ์พึงระงับแก่ภิกษุนั้น ผู้ประพฤติชอบแล้ว ขอโทษ อยู่โดยสมัยอื่น. ก็แลสงฆ์พึงระงับอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ภิกษุ สงฆ์ได้ลงพรหมทัณฑ์ แก่ภิกษุโน้น, ภิกษุนั้น เสงี่ยมแล้ว ประพฤติเจียมตัว หันเข้าหาลัชชีธรรมแล้ว ตั้งมั่นในหิริโอตตัปปะแล้ว พิจารณาแล้ว ตั้งอยู่ใน สังวรต่อไป, ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า การระงับพรหมทัณฑ์แก่ภิกษุ นั้น ชอบใจสงฆ์หรือ?. พึงกล่าวอย่างนี้ เพียงครั้งที่ ๓ ระงับพรหมทัณฑ์เสีย ด้วยอปโลกนกรรมแล.
[กรรมลักษณะ]
สองบทว่า กมฺมลกฺขณญฺเว ปญฺจมํ มีความว่า ในเรื่องเหล่านี้ ที่ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุฉัพพัคคีย์ เอาน้ำโคลนรด ภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยหมายว่า แม้ไฉนภิกษุณีทั้งหลายพึงรักใคร่ในพวกเรา เปิดกายอวดภิกษุณีทั้งหลาย, ถลกขาอวดภิกษุณีทั้งหลาย, เปิดองคชาตแสดงแก่ภิกษุณีทั้งหลาย พูดเกี้ยวภิกษุณีทั้งหลาย ชักสื่อกับภิกษุณีทั้งหลายด้วยหมายว่า แม้ไฉน ภิกษุณี ทั้งหลายพึงรักใคร่ในพวกเรา ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติทุกกฏแก่ ภิกษุเหล่านั้น แล้วทรงอนุญาตอวันทิยกรรมอันใด ไว้ในภิกขุนีขันธกะอย่างนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อลงทัณฑกรรมแก่ภิกษุนั้น, ครั้งนั้นแล ภิกษุ ทั้งหลายได้มีความรำพึงเช่นนี้ว่า ทัณฑกรรม อันเราจะพึงทำอย่างไรหนอ? จึงกราบทูลเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุนั้นอันภิกษุณีสงฆ์ พึงทำให้เป็นผู้อันตนไม่ควรไหว้ ดังนี้. อวันทิยกรรมนั้น ย่อมเป็นกรรมลักษณะแท้ ย่อมเป็นฐานะที่ครบ ๕ แห่ง อปโลกนกรรมนี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1000
จริงอยู่ อวันทิยกรรมนั้น เป็นลักษณะคือกรรมแห่งอปโลกนกรรม นั้น หาหลายเป็นอย่างอื่นมีโอสารณาเป็นต้นไม่. เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า กรรมลักษณะ. การทำอวินทิยกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ใน ภิกขุนีขันธกะนั้นแล้วแล.
อีกประการหนึ่ง เพื่อแสดงอวันทิยกรรมนั้นกับทั้งกิริยาที่ระงับโดย พิสดาร ข้าพเจ้าจะกล่าวไว้ในกัมมวัคค์แม้นี้ :-
ภิกษุณีผู้ขลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของภิกษุณีสงฆ์ ซึ่งประชุม กันในสำนักภิกษุณีว่า แม่เจ้า ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์ว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย, การทำพระผู้เป็นเจ้านั้น ให้เป็น ผู้อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ? ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์ เป็นครั้งที่ ๒ ฯลฯ เป็นครั้งที่ ๓ ว่า แม่เจ้า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น แสดง อาการไม่น่าเลื่อมใส แก่ภิกษุณีทั้งหลาย, การทำพระผู้เป็นเจ้านั้น ให้เป็นผู้ อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ? อวันทิยกรรมอันภิกษุณีสงฆ์ พึงสวดประกาศ ๓ ครั้ง ทำด้วยอปโลกนกรรมอย่างนี้.
จำเดิมแต่นั้น ภิกษุนั้น อันภิกษุณีทั้งหลายไม่พึงไหว้. ถ้าว่าภิกษุนั้น อันภิกษุณีทั้งหลายไม้ไหว้อยู่ กลับเกิดหิริและโอตตัปปะขึ้นแล้ว ประพฤติ ชอบไซร้, ภิกษุณีทั้งหลายอันเธอพึงขอโทษ. เมื่อจะขอโทษ ไม่พึงไปสู่สำนัก ภิกษุณี พึงเข้าหาสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปหนึ่ง ในวิหารนั่นเอง นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี ขอโทษว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้ว จะตั้งอยู่ใน สังวรต่อไป, จักไม่แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสอีก, ขอภิกษุณีสงฆ์ จงอดโทษ แก่ข้าพเจ้าเถิด.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1001
สงฆ์หรือคณะนั้น พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไป หรือภิกษุรูปหนึ่งนั้นพึงไป เองทีเดียว แล้วกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายว่า ภิกษุนี้พิจารณาแล้ว ตั้งอยู่ในสังวร ต่อไป ภิกษุณีสงฆ์ อันภิกษุนี้สารภาพโทษแล้ว ขอโทษแล้ว, ขอภิกษุณี สงฆ์ จงทำภิกษุนี้ให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้เถิด. ภิกษุนั้น อันภิกษุณีสงฆ์พึงทำ ให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้.
ก็แลเมื่อจะทำ พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุณีผู้ฉลาด พึงสวดประกาศ โดยอนุมัติของภิกษุณีสงฆ์ผู้ประชุม กันในสำนักภิกษุณีว่า แม้เจ้า ข้าพเจ้าถามภิกษุณีสงฆ์ว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่อโน้น แสดงอาการไม่น่าเลื่อมใสแก่ภิกษุณีทั้งหลาย; พระผู้เป็นเจ้านั้น อันภิกษุณี สงฆ์ทำให้เป็นผู้อันตนไม่พึงไหว้แล้ว หันเข้าหาลัชชีธรรม พิจารณาแล้ว ตั้ง อยู่ในสังวรต่อไป สารภาพโทษแล้ว ขอโทษภิกษุณีสงฆ์อยู่, การทำพระผู้ เป็นเจ้านั้น ให้เป็นผู้อันภิกษุณีทั้งหลายพึงไหว้ ชอบใจสงฆ์หรือ? พึงกล่าว ๓ ครั้ง. ภิกษุนั้น อันภิกษุณีสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้อันตนพึงไหว้ด้วยอปโลกนกรรมนั่นแล อย่างนี้.
[กรรมลักษณวินิจฉัย]
ก็ในกัมมวัคค์นี้ มีวินิจฉัยกรรมลักษณะแม้ที่พ้นจากบาลี พึงทราบ ดังต่อไปนี้ :-
จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า กรรมลักษณะ ทรงบัญญัติมีภิกษุณีสงฆ์เป็นมูล แต่ย่อมได้แก่ภิกษุสงฆ์ด้วยแท้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1002
ก็ภิกษุสงฆ์ทำอปโลกนกรรมใด ในโรงสลาก โรงยาคู โรงภัต และโรงอุโบสถ, อปโลกนกรรมแม้นั้น เป็นกรรมลักษณะแท้.
อันการที่ภิกษุผู้ฉลาด ให้ประชุมสงฆ์แล้ว สวดประกาศเพียงครั้งที่ ๓ ทำอปโลกนกรรม ให้จีวรแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีจีวรถูกโจรชิง ผู้มีจีวรเก่า และผู้มีจีวรหาย ย่อมควร. แต่ของเล็กน้อยมีเข็มเป็นต้น มีประเภทซึ่งกล่าว แล้วในเสนาสนขันธกวัณณนา อันภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย แม้ไม่ต้องอปโลกน์ ก็ให้แก่ภิกษุผู้ทำจีวรได้. ภิกษุผู้แจกของเล็กน้อยนั้นเท่านั้น เป็นใหญ่ในการ ให้ของเล็กน้อยเหล่านั้น. เมื่อจะให้ของที่เกินกว่านั้น ต้องอปโลกน์ให้. เพราะ ว่าสงฆ์เป็นเจ้าของในการให้ของที่เกินกว่านั้น.
แม้คิลานเภสัช ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วในเสนาสนขันธกวัณณนานั้น อันภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย พึงให้เองก็ได้. พึงอปโลกน์ให้แก่ภิกษุผู้ต้อง การมาก.
ก็แต่ว่า ภิกษุใด ไม่มีกำลังก็ดี เป็นง่อยก็ดี ขาดทางภิกษาจารก็ดี อาพาธหนักก็ดี, สำหรับภิกษุนั้น เมื่อจะให้ข้าวสารหนึ่งทะนาน หรือกึ่งทะนาน ทุกๆ วัน หรือจะให้ข้าวสาร ๕ ทะนานหรือ ๑๐ ทะนานเฉพาะวันเดียว จาก กัลปนาสงฆ์ที่เกิดในที่นั้น ในอาวาสใหญ่ทั้งหลาย ต้องทำอปโลกนกรรมให้. เพื่อจะปลดกังวลคือหนี้แก่ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักก็ดี จะให้เสนาสนะที่ไม่ต้องย้าย แก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูตช่วยภาระของสงฆ์ก็ดี จะให้เบี้ยเลี้ยงแก่อารามิกชนมีกัปปิยการกเป็นต้น ผู้ทำกิจของสงฆ์ก็ดี จากกัลปนาสงฆ์ที่เกิดในอาวาสนั้น ควรให้ ด้วยอปโลกนกรรมเท่านั้น.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1003
จะให้บำรุงอาวาสของสงฆ์ จากกัลปนาสงฆ์ที่เกิดขึ้นในอาวาสนั้นซึ่ง ทายกถวาย ด้วยอำนาจจตุปัจจัย ก็ควร. แต่เพื่อตัดคำติเตียนว่า ภิกษุนี้ ย่อมจัดการ ด้วยถือคนเป็นใหญ่ จึงควรถามสงฆ์ที่ในโรงสลากเป็นต้น หรือ ในที่ประชุมอื่นเสียก่อน จึงให้บำรุง.
อาวาสอันภิกษุผู้ฉลาดพึงอปโลกน์แล้วให้บำรุง แม้จากกัลปนาสงฆ์ที่ เกิดขึ้นในอาวาสนั้นที่ทายกเจาะจงถวาย เพื่อประโยชน์แกจีวรและบิณฑบาต. แม้จะไม่อปโลกน์ ก็ควร. แต่เพื่อตัดคำติเตียนซึ่งเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ กล้าจริงนะ ให้บำรุงอาวาสจากกัลปนาสงฆ์ที่เขาให้ เพื่อประโยชน์แก่จีวรและ บิณฑบาต จึงควรทำอปโลกนกรรมก่อน แล้วจึงให้บำรุง.
เมื่อทำฉัตรหรือเวทีที่เจดีย์ หรือเรือนโพธิ หรือหอฉันซึ่งยังไม่ได้ ทำก็ดี จะปฏิสังขรณ์สิ่งที่ทรุดโทรมก็ดี จะทำการก่อด้วยปูนก็ดี ชักชวนพวก ชาวบ้านช่วยทำ ก็ควร. ถ้าไม่มีผู้ทำ, พึงให้ทำจากรายได้ที่ฝากไว้เพื่อเจดีย์. แม้เมื่อรายได้ที่ฝากไว้ไม่มี ก็พึงทำอปโลกนกรรมแล้วให้จัดทำ จากกัลปนาสงฆ์ที่เกิดขึ้นในอาวาสนั้น จะอปโลกน์แล้วกระทำกิจของเจดีย์แม้ด้วยทรัพย์ ของสงฆ์ก็ควร. แม้อปโลกน์แล้วทำกิจของสงฆ์ด้วยทรัพย์ของเจดีย์หาควรไม่.
แต่จะถือเอาเป็นของยืมแล้วใช้คืนให้อย่างเดิม ควรอยู่. แต่การที่ภิกษุทั้งหลายผู้ทำสุธากรรมเป็นต้นที่เจดีย์ เมื่อไม่ได้อาหาร พอยังอัตภาพให้เป็นไป จากภิกขาจารหรือจากสงฆ์ จะจ่ายอาหารพอยังอัตภาพ ให้เป็นไป จากทรัพย์ของเจดีย์มาฉัน กระทำวัตร (ทดแทน) ก็ควร.
จะทำสังฆภัตรด้วยปลาและเนื้อเป็นต้น ด้วยอ้างว่า เราทำวัตร หา ควรไม่.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1004
ต้นไม้มีผลเหล่าใด แม้ที่ปลูกไว้ในวัด เป็นของที่สงฆ์หวงห้าม ย่อม ได้การบำรุง. ภิกษุทั้งหลายย่อมตีระฆังแล้วแบ่งกันฉัน ซึ่งผลทั้งหลายแห่ง ต้นไม้เหล่าใด, ในต้นไม้เหล่านั้น ไม่ควรทำอปโลกนกรรม
ส่วนต้นไม้มีผลเหล่าใด อันสงฆ์ไม่หวงห้าม, ในต้นไม้เหล่านั้นแล ควรทำอปโลกกรรม. ก็อปโลกนกรรมนั้น ควรทำแม้ในโรงสลาก โรงยาคู โรงภัตร และที่ประชุมอื่น. อนึ่ง ในโรงอุโบสถก็ควรทำแท้. เพราะ ฉันทะ และปาริสุทธิของภิกษุทั้งหลาย แม้ผู้มิได้มาในโรงอุโบสถนั้น อันภิกษุรูปหนึ่ง ย่อมนำมา. เพราะเหตุนั้น อปโลกนกรรมนั้น ย่อมเป็นกรรมที่ชำระให้หมด จดดี.
ก็แลเมื่อจะทำ พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของภิกษุสงฆ์ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามสงฆ์ว่า สิ่งใดเป็นของสงฆ์ มีราก เปลือก ใบ หน่อ ดอก และ ผล ซึ่งควรขบฉันได้เป็นต้น มีอยู่ ภายในสีมาในวัดนี้, การที่ภิกษุทั้งหลาย ที่มาแล้วๆ บริโภคสิ่งทั้งปวงนั้นตามสบาย ชอบใจสงฆ์หรือ? พึงถาม ๓ ครั้ง. อปโลกนกรรมนั้น อันภิกษุ ๔ -๕ รูปทำแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้แท้.
ภิกษุ ๒ - ๓ รูปอยู่ในวัดแม้ใด, อปโลกนกรรมแม้ที่ภิกษุเหล่านั้นนั่ง ทำแล้วในวัดนั้น ย่อมเป็นเช่นกับอปโลกนกรรมที่สงฆ์ทำแล้วแท้. อนึ่ง ใน วัดใด มีภิกษุรูปเดียว, กติกวัตรแม้ที่ภิกษุนั้น ผู้นั่งกระทำบุพกรณ์และ บุพกิจกระทำแล้วในวันอุโบสถ ย่อมเป็นเช่นกับอปโลกนกรรมที่สงฆ์กระทำ แล้วเหมือนกัน.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1005
ก็แลกติกวัตรนั้น อันภิกษุผู้จะทำ แม้ทำตามคราวแห่งผลไม้ก็ควร. กำหนดทำอย่างนี้ว่า ๔ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ก็ตาม, ไม่กำหนดทำก็ตาม ควร ทั้งนั้น
ในคราวที่กำหนด พึงบริโภคตามที่กำหนดไว้ แล้วทำใหม่. ในคราว ที่ไม่กำหนด ควรเพียงกาลที่ต้นไม้ทั้งหลายยังทรงอยู่. ต้นไม้เหล่าอื่นแม้ใด ที่เพาะแล้ว ด้วยพืชทั้งหลายแห่งต้นไม้เหล่านั้น, กติกานั้นแล ใช้สำหรับต้น ไม้เหล่านั้นด้วย
ก็ถ้าว่า เป็นต้นไม้ที่เพาะปลูกในวัดอื่น, สงฆ์ในวัดซึ่งเป็นผู้ที่ปลูก เท่านั้น เป็นเจ้าของต้นไม้เหล่านั้น.
ต้นไม้แม้เหล่าใด อันใครๆ นำพืชมาจากที่อื่น ปลูกลงทีหลังในวัด ดั้งเดิม, สำหรับต้นไม้เหล่านั้น ต้องทำกติกาอย่างอื่น. เมื่อทำกติกาแล้ว ต้น ไม้เหล่านั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานเป็นของบุคคล. ควรบริโภคผลเป็นต้นตามสบาย.
ก็ถ้าว่า ภิกษุทั้งหลายในวัดดั้งเดิมนี้ ล้อมโอกาสนั้นๆ ทำบริเวณไว้ แล้วทำนุบำรุงอยู่. ภิกษุเหล่าใด ทำนุบำรุง, ต้นไม้เหล่านั้น ตั้งอยู่ในฐาน เป็นของบุคคลแห่งภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่าอื่นย่อมไม่ได้เพื่อบริโภค. แต่ ภิกษุผู้ทำนุบำรุงเหล่านั้น ต้องให้ส่วนที่ ๑๐ แก่สงฆ์ แล้วจึงบริโภค
แม้ภิกษุใด เอากิ่งไม้ล้อมรักษาไว้กลางวัด แม้ภิกษุนั้น ก็นัยนี้แล.
ด้วยความดีใจว่า พระเถระมาแล้ว สามเณรทั้งหลายจึงนำผลไม้น้อย ใหญ่มาถวายภิกษุผู้ควรยกย่อง ซึ่งไปสู่วัดเก่าแก่. ถ้าว่าในกาลครั้งเดิม ภิกษุ ผู้เป็นพหูสูต ทรงปริยัติธรรมทั้งสิ้น อยู่ในวัดนั้น. ภิกษุนั้นพึงบริโภค โดย ไม่ต้องมีความรังเกียจว่า ในวัดนี้จักมีกติกาที่ทำไว้ยั่งยืนเป็นแน่. ผลไม้น้อย
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1006
ใหญ่ในวัด ย่อมควรแม้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ถือบิณฑปาติกธุดงค์ คือไม่ยังธุดงค์ ให้เสีย.
สามเณรทั้งหลายถวายผลไม้น้อยใหญ่เป็นอันมาก แก่อาจารย์ และ อุปัชฌาย์ของตน, ภิกษุเหล่าอื่น เมื่อไม่ได้ย่อมโพนทะนา การโพนทะนานั้น ก็เป็นสักว่าโพนทะนาเท่านั้น.
แต่ถ้าเป็นคราวที่ภิกษาฝืดเคือง, ชนทั้ง ๖๐ อาศัยขนุนต้นเดียวเลี้ยง ชีวิต. ในกาลเช่นนั้น ต้องแบ่งกันกิน เพื่อประโยชน์จะทำการสงเคราะห์ให้ ทั่วถึงกัน. ทำเช่นนี้เป็นการชอบ.
ก็แล้ววัตรตามกติกา ยังไม่ระงับเพียงใด, ผลไม้ที่ภิกษุเหล่านั้นฉัน แล้ว เป็นอันฉันแล้วด้วยดีแท้เพียงนั้น. ก็เมื่อไรเล่า วัตรตามกติกา จึงจะ ระงับ?. ในกาลใด สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงประชุมกันสวดประกาศว่า ตั้งแต่วัน นี้ไป ภิกษุทั้งหลายจงแบ่งกันฉัน, ในกาลนั้น วัตรตามกติกา ย่อมระงับ. อนึ่ง ในวัดที่มีภิกษุรูปเดียวเมื่อคำประกาศ แม้อันภิกษุรูปเดียวประกาศ กติกา เดิม ย่อมระงับเหมือนกัน.
ถ้าว่า เมื่อกติการะงับแล้ว สามเณรทั้งหลายหาได้ยังผลไม้ทั้งหลาย ให้หล่นจากต้นไม่ หาได้เก็บผลไม้จากพื้นดินถวายภิกษุทั้งหลายไม่, เที่ยว เหยียบย่ำผลไม้หล่นแล้วเสียด้วยเท้า. สงฆ์พึงเพิ่มผลไม้ให้แก่สามเณรเหล่า นั้น ตั้งแต่เสี้ยวที่ ๑๐ จนถึงกึ่งส่วนแห่งผลไม้. เพราะได้เพิ่มส่วน พวกเธอ จักนำมาถวายแน่แท้.
ในคราวที่ภิกษากลับหาได้ง่ายอีก เมื่อกัปปิยการกทั้งหลาย มาทำการ ล้อมด้วยกิ่งไม้เป็นต้น รักษาต้นไม้ไว้ ไม่ต้องให้ส่วนเพิ่มแก่พวกสามเณร พึงแบ่งกันบริโภค.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1007
ชนทั้งหลาย จากบ้านรอบวัดคิดว่า ในวัดมีผลไม้น้อยใหญ่ จึงมาของ เพื่อประโยชน์แก่คนไข้หรือหญิงมีครรภ์ว่า ขอท่านจงให้มะพร้าว ๑ ผล, จง ให้มะม่วง ๑ ผล จงให้ขนุนสำมะลอ ๑ ผล; ถามว่า ควรให้หรือไม่ควร? ตอบว่า ควรให้. เพราะว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายไม่ให้ พวกเขาจะพากันเสียใจ. แต่เมื่อจะให้ ต้องให้ประชุมสงฆ์ สวดประกาศเพียงครั้งที่ ๓ ทำอปโลกนกรรม ให้หรือพึงทำกติกวัตรตั้งไว้. ก็แลกติกวัตรนั้น อันสงฆ์พึงทำอย่างนี้ :-
ภิกษุผู้ฉลาด พึงสวดประกาศโดยอนุมัติของสงฆ์ว่า ชนทั้งหลาย จาก บ้านรอบวัดมาขอผลไม้น้อยใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่คนไข้เป็นต้น, การที่ไม่ ห้ามชนเหล่านั้น ผู้ถือเอามะพร้าว ๒ ผล ตาล ๒ ผล ขนุน ๒ ผล มะม่วง ๕ ผล กล้วย ๕ ผล และการที่ไม่ห้ามชนเหล่านั้น ผู้ถือเอาผลไม้จากต้นไม้ โน้น ชอบใจแก่ภิกษุสงฆ์ ดังนี้ พึงสวด ๓ ครั้ง. จำเดิมแต่นั้น ชนเหล่านั้น เมื่อระบุชื่อคนไข้เป็นต้นขอ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงกล่าวว่า เอาเถิด. แต่พึง บอกวัตรว่า สงฆ์ได้ตกลงไม่ห้ามชนทั้งหลาย ผู้ถือเอาผลมะพร้าวเป็นต้น โดย จำกัดชื่อนี้ และผู้ถือเอาผลไม้จากต้นไม้โน้น. แต่ไม่พึงเที่ยวตามบอกว่า มะม่วงต้นนี้ มีผลอร่อย ท่านจงเก็บจากต้นนี้.
อนึ่ง ภิกษุผู้อันสงฆ์สมมติแล้ว พึงให้กิ่งส่วนแก่ชนเหล่านั้น ผู้มา แล้วในเวลาแบ่งผลไม้. ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ พึงอปโลกน์ให้. บุคคลผู้สิ้น เสบียงก็ดี พ่อค้าเกวียนผู้จะเดินทางก็ดี อิสรชนอื่นก็ดีมาขอ พึงอปโลกน์ให้. เมื่อเขาเก็บกินโดยพลการ ก็ไม่พึงห้าม. เพราะเขาโกรธแล้ว จะพึงตัดต้นไม้ เสียก็ได้ จะพึงทำความฉิบหายอย่างอื่นก็ได้. เมื่อเขามายังบริเวณส่วนตัวบุคคล
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1008
ขอโดยชื่อคนไข้ ภิกษุผู้เป็นเจ้าของ พึงบอกว่า ฉันปลูกไว้เพื่อประโยชน์แก่ ร่มเงาเป็นต้น. ถ้าผลมี ท่านจงรู้เองเถิด.
ก็ถ้าว่า ต้นไม้ทั้งหลายมีผลดก. ภิกษุเอาหนามสะไว้ ฉันผลเป็น คราวๆ. ภิกษุนั้น เมื่อไม่หวังตอบแทนแล้ว ก็พึงให้. เมื่อเขาเก็บเอาโดย พลการ ก็ไม่พึงห้าม. เหตุในข้อที่ไม่ควรห้ามนี้ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วใน หนหลังแล.
สวนผลไม้ของสงฆ์มี แต่ไม่ได้ในการบำรุง. หากว่า ภิกษุบางรูป บำรุงสวนนั้น ด้วยมุ่งวัตรเป็นใหญ่, สวนนั้นยังคงเป็นของสงฆ์. แม้ถ้าว่า สงฆ์มอบให้เป็นภาระของภิกษุผู้สามารถบางรูปว่า สัตบุรุษ ท่านจงช่วยบำรุง สวนนี้ให้เถิด, หากภิกษุนั้น บำรุงด้วยมุ่งวัตร, แม้อย่างนี้ ก็ยังเป็นของสงฆ์. แต่สงฆ์พึงให้ส่วนเพิ่มเพียงเสี้ยวที่ ๓ หรือกึ่งส่วน แก่ภิกษุนั้นผู้หวังส่วนเพิ่ม.
ก็แลเมื่อเธอกล่าวว่า เป็นกรรมหนัก แล้วไม่ปรารถนาด้วยส่วนเพิ่ม เพียงเท่านั้น ภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวบ้างว่า ท่านจงทำผลไม้ทั้งหมดให้เป็นของ ท่านคนเดียว จงให้เพียงส่วนที่ ๑๐ เป็นส่วนมูลค่า แล้วบำรุงเถิด. แต่ไม่พึง ให้ด้วยอำนาจขาดมูลค่า เพราะสวนนั้นเป็นครุภัณฑ์.
ภิกษุผู้ให้ส่วนแห่งมูลค่าแล้วฉันนั้น ให้สร้างเสนาสนะที่อยู่ซึ่งยังไม่ได้ สร้างบ้าง ท่านุบำรุงเสนาสนะที่เขาสร้างไว้แล้วบ้าง แล้วมอบสวนแก่พวก นิสสิต. แม้พวกนิสสิตนั้น ก็พึงให้ส่วนแห่งมูลค่า.
ก็ภิกษุทั้งหลายสามารถจะบำรุงเองในกาลใด, ในกาลนั้น สงฆ์ไม่พึง ให้ภิกษุเหล่านั้นบำรุง, ไม่พึงห้าม ในกาลที่ผลไม้อันพวกเธอได้บำรุงแล้ว. พึงห้ามในเวลาที่เริ่มจะบำรุงเท่านั้น. พึงกล่าวว่า พวกท่านได้ฉันมากแล้ว, บัดนี้อย่าบำรุงเลย, ภิกษุสงฆ์จักบำรุงเอง.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1009
ก็ถ้าว่า ผู้บำรุงด้วยมุ่งวัตรก็ไม่มี ผู้บำรุงด้วยหวังส่วนเพิ่มก็ไม่มี, ทั้ง สงฆ์ก็ไม่สามารถจะบำรุงเองไซร้, ภิกษุรูป ๑ ไม่เรียนสงฆ์ก่อน บำรุงเอง ทำให้เจริญแล้วหวังส่วนเพิ่ม, ส่วนเพิ่มอันสงฆ์พึงเพิ่มให้ด้วยอปโลกนกรรม.
อปโลกนกรรมแม้ทั้งปวงนี้ จัดเป็นกรรมลักษณะแท้. อปโลกนกรรม ย่อมถึงฐานะ ๕ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
[ญัตติกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัย ในประเภทแห่งฐานแห่งญัตติกรรม ดังต่อ ไปนี้ :-
วาจาสำหรับเรียกอุปสัมปทาเปกขะเข้ามา อย่างนี้ว่า ขอสงฆ์จงฟัง ข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีอายุชื่อนี้ ข้าพเจ้าสอนซ้อม เขาแล้ว, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ขอผู้มีชื่อนี้พึงมา เพราะฉะนั้น ผู้มีชื่อนี้อันข้าพเจ้าพึงเรียกว่า เจ้าจงมา ดังนี้ ชื่อว่าโอสารณา.
วาจาสำหรับถอนภิกษุผู้ธรรมกถึกออก ในอุพพาหิกวินิจฉัย อย่างนี้ว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า, ภิกษุผู้มีชื่อนี้รูปนี้เป็นธรรมกถึก, สูตรของ พระธรรมกถึกนี้ หามาไม่, วิภังค์แห่งสูตรก็หามาไม่, เธอไม่พิจารณาอรรถ ค้านอรรถด้วยเงาแห่งพยัญชนะ, ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, พึงถอนภิกษุชื่อนี้ออกเสีย พวกเราที่เหลือพึงระงับอธิกรณ์นี้ ดังนี้ ชื่อว่า นิสสารณา.
ญัตติที่ตั้งด้วยอำนาจอุโบสถกรรมอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญขอสงฆ์จงฟัง ข้าพเจ้า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๕, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงทำ อุโบสถ ดังนี้ ชื่อว่าอุโบสถ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1010
ญัตติที่ตั้งด้วยอำนาจปวารณากรรมอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟัง ข้าพเจ้า ปวารณาวันนี้ที่ ๑๕, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึง ปวารณา ดังนี้ ชื่อว่าปวารณา.
ญัตติที่ตั้ง เพื่อสมมติตนเองหรือผู้อื่นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอ สงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้, ถ้าความ พรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงสอนซ้อมผู้ที่มีชื่อนี้, ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของภิกษุถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึงสอนซ้อมผู้ที่มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงถามอันตรายิกธรรมกะ ผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึง ถามอันตรายิกธรรมกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่ แล้ว, ข้าพเจ้าพึงถามวินัยกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ถ้าความพรั่งพร้อม สงฆ์ถึงที่แล้ว, ผู้มีชื่อนี้ พึงถามวินัยกะผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ถ้าความพรั่งพร้อม ของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าอันผู้มีชื่อนี้ถามวินัยแล้ว ขอวิสัชนา ดังนี้ก็ดี, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว ผู้มีชื่อนี้ อันผู้มีชื่อนี้ถามวินัยแล้ว พึง วิสัชนา ดังนี้ก็ดี ชื่อว่าสมมติ.
การคืนบริขารมีจีวรและบาตรที่ภิกษุอื่นเสียสละเป็นต้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงพึงข้าพเจ้า จีวรนี้ ของภิกษุผู้มีชื่อนี้เป็นนิสสัคคีย์ อันเธอสละแล้วแก่สงฆ์, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงคืนจีวรนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้ ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, ท่านทั้งหลาย พึงคืนจีวรนี้ แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ ชื่อว่าการให้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1011
การรับอาบัติอย่างนี้ คือ ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศว่า ท่าน ผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุผู้มีชื่อนี้ รูปนี้ ระลึกได้เปิดเผย ทำให้ตื้น แสดงอาบัติ. ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของ ภิกษุผู้มีชื่อนี้, ว่า ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, ข้าพเจ้าพึง รับอาบัติของภิกษุผู้มีชื่อนี้, เธออันภิกษุนั้นพึงกล่าวว่า ท่านเห็นหรือ? เมื่อ เธอตอบว่า ขอรับ ข้าพเจ้าเห็น พึงกล่าวว่า ท่านพึงสำรวจต่อไป ดังนี้ ชื่อว่าการรับ.
ปวารณาที่สงฆ์ทำอย่างนี้ คือ ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศ ว่า ขอท่านทั้งหลายผู้เจ้าถิ่น จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อมของท่านทั้งหลาย ถึงที่แล้ว, บัดนี้ เราทั้งหลายพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาฏิโมกข์ พึงปวารณา ในกาฬปักษ์อันจะมาข้างหน้า. ภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้ก่อความ บาดหมางกัน ก่อความทะเลาะกัน ก่อการวิวาทกัน ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ หน่วง อยู่ตลอดกาฬปักษ์นั้นไซร้ ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่น ทั้งหลายทราบว่า ขอท่านทั้งหลายผู้เจ้าถิ่น จงฟังข้าพเจ้า, ถ้าความพรั่งพร้อม ของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, บัดนี้ เราทั้งหลายพึงทำอุโบสถ พึงสวดปาฏิโมกข์, พึงปวารณาในชุณหปักษ์อันจะมาข้างหน้า ดังนี้ ชื่อว่าเลื่อนปวารณาออกไป.
ญัตติที่ครอบทั่วไป อันเป็นต้นแห่งญัตติทั้งปวง ซึ่งกระทำด้วยติณวัตถารกสมถะอย่างนี้ คือ ภิกษุทุกๆ รูปพึงประชุมในที่เดียวกัน, ครั้นประชุม กันแล้ว ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบว่า ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์ จงฟังข้าพเจ้า, เมื่อเราทั้งหลายเกิดความบาดหมางกัน ทะเลาะกัน วิวาทกันอยู่ ได้ประพฤติอัชฌาจารไม่สมควรแก่สมณะเป็นอันมาก ต่างกล่าวซัดกัน, ถ้าเรา
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1012
ทั้งหลายจะพึงปรับกันและกัน ด้วยอาบัติเหล่านี้, ข้อนั้นจะพึงเป็นอธิกรณ์ก็ได้, อธิกรณ์นั้นจะพึงเป็นไปเพื่อความรุนแรง เพื่อความร้ายกาจ เพื่อความแตกกัน, ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงระงับอธิกรณ์นี้ ด้วยติณวัตถารกะ เว้นอาบัติมีโทษล่ำ เว้นอาบัติที่เนื่องด้วยคฤหัสถ์เสีย ดังนี้ ชื่อว่ากรรมลักษณะ.
ญัตติ ๒ นับฝ่ายละ ๑ ญัตติ ต่อจากสัพพสังคาหิกาญัตตินั้นไป ก็ เหมือนกัน.
ญัตติกรรมมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว ย่อมถึงฐานะ ๙ เหล่านี้ คือ โอสารณา นิสสารณา อุโบสถ ปวารณา สมมติ การให้ การรับ การเลื่อน ปวารณาออกไป และกรรมลักษณะเป็นที่ ๙ ด้วยประการฉะนั้น.
[ญัตติทุติยกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในประเภทแห่งฐานะแห่งญัตติทุติยกรรม ดัง ต่อไปนี้ :-
พึงทราบนิสสารณาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขันธกะ. ด้วยอำนาจ คว่ำบาตรแก่วัฑฒลิจฉวี และโอสารณาที่ตรัสด้วยอำนาจหงายบาตรแก่วัฑฒ- ลิจฉวีนั้นแล.
พึงทราบสมมติ เนื่องด้วยสมมติเหล่านี้ คือ สมมติสีมา สมมติแดน ไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร สมมติสันถัต สมมติพระภัตตุทเทสก์ สมมติภิกษุผู้ เสนาสนคาหาปกะ สมมติภิกษุผู้รักษาเรือนคลัง สมมติภิกษุผู้รับแจกจีวร สมมติภิกษุผู้แจกจีวร สมมติภิกษุผู้แจกยาคู สมมติภิกษุผู้แจกของเคี้ยว สมมติ ภิกษุผู้แจกผลไม้ สมมติภิกษุผู้แจกของเล็กน้อย สมมติภิกษุผู้รับผ้า สมมติ ภิกษุผู้ปัตตคาหาปกะ สมมติภิกษุผู้ใช้คนวัด สมมติภิกษุผู้ใช้สามเณร.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1013
การให้ พึงทราบด้วยอำนาจการให้จีวรกฐิน และให้จีวรมรดก.
การถอน พึงทราบด้วยอำนาจการรื้อกฐิน.
การแสดง พึงทราบด้วยอำนาจแสดงฟื้นที่สร้างกุฎี และพื้นที่สร้าง วิหาร.
กรรมลักษณะ พึงทราบด้วยอำนาจญัตติทุติยกรรมวาจา ๒ ที่ท่าน กล่าวไว้ในติณวัตถารกสมถะ คือ เว้นญัตติ ๓ อย่าง คือ สัพพสังคาหิกาญัตติ และญัตติในฝ่ายหนึ่งๆ ฝ่ายละ ๑ ญัตติเสีย ได้แก่ กรรมวาจาอีกฝ่ายละ ๑.
ญัตติทุติยกรรม ย่อมถึงฐานะ ๗ นี้ ด้วยประการนี้.
[ญัตติจตุตถกรรม]
อนึ่ง พึงทราบวินิจฉัยในประเภทแห่งฐานแห่งญัตติจตุตถกรรม ดัง ต่อไปนี้ :-
นิสสารณา พึงทราบด้วยอำนาจกรรม ๗ อย่าง มีตัชชนียกรรมเป็นต้น. โอสารณา พึงทราบด้วยอำนาจการระงับกรรมเหล่านั้นแล.
สมมติ พึงทราบด้วยอำนาจสมมติภิกษุผู้สอนภิกษุณี.
การให้ พึงทราบด้วยอำนาจการให้ปริวาสและให้มานัต.
นิคคหะ พึงทราบด้วยอำนาจมูลายปฏิกัสสกรรม.
สมนุภาสนา พึงทราบด้วยอำนาจสมนุภาส ๑๑ อย่างเหล่านี้ คือ อุกขิตตานุวัตตกสิกขาบท ยาวตติยกสิกขาบท ๘ (ของภิกษุณี) อริฏฐสิกขาบท และจัณฑาลีสิกขาบท ยาวตติยกสิกขาบทนั้นเหล่านี้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1014
ส่วนกรรมลักษณะ พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอุปสมบทกรรม และ อัพภานกรรม.
ญัตติจตุตถกรรม ย่อมถึงฐานะ ๗ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
พระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงธรรม กรรมวิบัติ และความถึงประเภท แห่งฐานะแห่งกรรมทั้งหลาย ที่เว้นจากวิบัติด้วยประการอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จะแสดงจำนวนแห่งสงฆ์ผู้กระทำกรรมเหล่านั้น จึงกล่าวสืบไปว่า ในกรรม ที่สงฆ์จตุวรรคพึงทำ เป็นอาทิ. เนื้อความแห่งคำนั้น บัณฑิตพึงทราบ โดย นัยที่ได้กล่าวแล้ว ในวัณณนาแห่งกรรมวิบัติโดยปริสะนั่นเทียว ฉะนี้แล.
พรรณากัมมวัคค์ จบ
[ประโยชน์แห่งการบัญญัติสิกขาบท]
บัดนี้ พระอุบาลีเถระ ได้เริ่มคำว่า เทฺว อตฺถวเส ปฏิจฺจ เป็นต้น เพื่อแสดงอานิสงส์ ในการที่ทรงบัญญัติสิกขาบททั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่ง กรรมเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ อาสวานํ สํวราย มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่การระวัง คือ เพื่อประโยชน์แก่การปิด ซึ่งเวร อันเป็นไปในทิฏฐธรรม ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้น.
หลายบทว่า สมฺปรายิกานํ อาสวานํ ปฏิฆาตาย มีความว่า เพื่อ ประโยชน์แก่การกำจัด คือ เพื่อประโยชน์แก่การตัดขาด ได้แก่ เพื่อประโยชน์ แก่การไม่เกิดขึ้น แห่งเวรอันเป็นไปในสัมปรายภพกล่าวคือวิปากทุกข์.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1015
หลายบทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ เวรานํ สํวราย มีความว่า เพื่อ ประโยชน์แก่การปิดซึ่งเวร ๕ เหล่านั้นแล.
สองบทว่า สมฺปรายิกานํ เวรานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่ การกำจัดวิปากทุกข์เหล่านั้นแล.
หลายบทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ วชฺชานํ สํวราย มีความว่า เพื่อ ประโยชน์แก่การปิดซึ่งเวร ๕ เหล่านั้น.
สองบทว่า สมฺปรายิกานํ วชฺชานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่ การกำจัดวิปากทุกข์เหล่านั้นแล. จริงอยู่ วิปากทุกข์นั่นแล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โทษ ในที่นี้ ก็เพราะเป็นธรรมอันบัณฑิตพึงเว้น.
สองบทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ ภยานํ มีความว่า ภัยเหล่านี้ คือ ความติ การโจท กรรมมีตัชชนียกรรมเป็นต้น การงดอุโบสถและปวารณา กรรมที่ประจานความเสียหาย ชื่อว่าภัยเป็นไปในทิฏฐธรรม, เพื่อประโยชน์ แก่การระวังภัยเหล่านั้น,
ส่วนภัยเป็นไปในสัมปรายภพ ก็คือวิปากทุกข์นั่นเอง, เพื่อประโยชน์ แก่การระวังสัมปรายิกภัยเหล่านั้น.
สองบทว่า ทิฏฺธมฺมิกานํ อกุสลานํ มีความว่า เพื่อประโยชน์ แก่การระวังอกุศล มีเวร ๕ และอกุศลกรรมบถ ๑ เป็นประเภท.
อนึ่ง วิปากทุกข์นั่นเอง ท่านกล่าวว่า อกุศลเป็นไปในสัมปรายภพ เพราะอรรถว่าไม่ปลอดภัย, เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดอกุศลเหล่านี้.
สองบทว่า คิหีนํ อนุกมฺปาย มีความว่า เพื่อประโยชน์ที่จะ อนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจรักษาศรัทธาไว้.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1016
สองบทว่า ปาปิจฺฉานํ ปกฺขุปจฺเฉทาย มีความว่า คณโภชนสิกขาบท อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ เพื่อประโยชน์ที่จะทำลายการ ควบคุมกันเป็นพวก แห่งบุคคลผู้มีความปรารถนาลามกทั้งหลาย.
คำที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
ก็ในข้อที่ยังเหลืออยู่นี้ จะพึงมีคำใดที่ข้าพเจ้าควรกล่าว, คำทั้งปวงนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในวัณณนาแห่งปฐมปาราชิกเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
บรรยายประโยชน์ในสิกขาบท จบ
[พรรณนาปัญญัตติวัคค์]
บรรดาธรรมมีปาฏิโมกข์เป็นต้น ปาฏิโมกขุทเทสของภิกษุมี ๕ อย่าง, ของภิกษุณีมี ๔ อย่าง.
บรรดากรรมมีให้ปริวาสเป็นต้น สองบทว่า โอสารณียํ ปญฺตฺตํ มีความว่า โอสารณียกรรม ทรงบัญญัติสำหรับภิกษุผู้ประพฤติในวัตร ๑๘ หรือ ๔๓. อธิบายว่า ภิกษุอันสงฆ์ย่อมเรียกเข้าหมู่ ด้วยกรรมใด กรรมนั้น ทรงบัญญัติแล้ว.
สองบทว่า นิสฺสารณียํ ปญฺตฺตํ มีความว่า ภิกษุผู้ก่อความ บาดหมางเป็นต้น อันสงฆ์ย่อมขับออกจากหมู่ด้วยกรรมใด กรรมนั้นทรง บัญญัติแล้ว.
[อานิสงส์แห่งบัญญัติ]
บรรดาบทมีบทว่า อปญฺตฺเต เป็นต้น สองบทว่า อปญฺตฺเต ปญฺตฺตํ มีความว่า กองอาบัติทั้ง ๗ ชื่อว่าบัญญัติ ในสิกขาบทที่ใครๆ ไม่
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1017
ได้บัญญัติในระหว่าง นอกจากพระกกุสันธสัมมาสัมพุทธะ พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธะ และพระกัสสปสัมมาสัมพุทธะ.
วินีตกถามีมักกฏีวัตถุเป็นต้น ชื่อว่าอนุบัญญัติ ในสิกขาบทที่ทรง บัญญัติไว้แล้ว.
คำที่เหลือ ในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
พรรณนาอานิสังสวัคค์ จบ
[ว่าด้วยประมวล]
บัดนี้ พระอุบาลี กล่าวคำว่า นว สงฺคหา เป็นต้น เพื่อแสดง ประมวลสิกขาบททั้งปวงเป็น ๙ ส่วน โดยอาการแต่ละอย่าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถุสงฺคโห ได้แก่ ประมวลด้วยวัตถุ.
เนื้อความเฉพาะบท แม้ในบทที่เหลือ ก็พึงทราบอย่างนี้.
ก็ในบทว่า วตฺถุสงฺคโห เป็นต้นนี้ มีอัตถโยชนา ดังต่อไปนี้ :-
ประมวลด้วยวัตถุ พึงทราบก่อนอย่างนี้ว่า ก็สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลด้วยวัตถุ เพราะเหตุว่า ไม่มีแม้แต่สิกขาบท เดียวที่ทรงบัญญัติ ในเพราะเหตุมิใช่วัตถุ.
อนึ่ง ประมวลด้วยวิบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่อาบัติ ๒ กอง ทรงประมวลด้วยสีลวิบัติ, อาบัติ ๕ กอง ทรงประมวลด้วยอาจารวิบัติ, ๖ สิกขาบท ทรงประมวลด้วยอาชีววิบัติ ฉะนั้น สิกขาบทแม้ทั้งปวง ชื่อว่า ทรงประมวลแล้วด้วยวิบัติ.
พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้า 1018
อนึ่ง ประมวลด้วยอาบัติ พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่ สิกขาบทเดียว ซึ่งพ้นจากอาบัติ ๗ กอง ฉะนั้น สิกขาบททั้งปวง ชื่อว่าทรง ประมวลแล้วด้วยอาบัติ.
อนึ่ง ประมวลด้วยนิทาน พึงทราบอย่างนี้ว่า สิกขาบททั้งปวง ทรง บัญญัติแล้วใน ๗ นคร เพราะฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยนิทาน.
อนึ่ง ประมวลด้วยบุคคล พึงทราบอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่ไม่มีแม้แต่ สิกขาบทเดียว ที่ทรงบัญญัติในเมื่อไม่มีบุคคลผู้ประพฤติล่วง ฉะนั้น สิกขาบท ทั้งปวง ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยบุคคล.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้ว ด้วยอาบัติ ๕ กอง และ ๗ กอง. สิกขาบททั้งหมดนั้น เว้นจากสมุฏฐาน ๖ เสีย ย่อมเกิดไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมุฏฐาน.
อนึ่ง สิกขาบททั้งปวง ทรงประมวลแล้ว ด้วยอาปัตตาธิกรณ์ใน บรรดาอธิกรณ์ ๔. สิกขาบททั้งปวง ย่อมถึงความระงับด้วยสมถะ ๗ เพราะ ฉะนั้น ชื่อว่าทรงประมวลแล้วด้วยสมถะ.
แม้ประมวลด้วยกอง อธิกรณ์ สมุฏฐาน และสมถะ ในบทว่า ขนฺธสงฺคโห เป็นอาทินี้ ก็พึงทราบอย่างนี้.
คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฉะนี้แล.
พรรณนาสังคหวัคค์ ในอัฏฐกถาวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ
และพรรณนาบทที่มีเนื้อความไม่ตื้น
แห่งคัมภีร์บริวาร ก็จบดังนี้แล