[เล่มที่ 56] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 527
๓. ฆตาสนชาดก
ว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 56]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 527
๓. ฆตาสนชาดก
ว่าด้วยภัยที่เกิดจากที่พึ่ง
[๑๓๓] "ความเกษมมีอยู่บนหลังน้ำใด บนหลังน้ำนั้นมีข้าศึกมารบกวน ไฟลุกโพลงอยู่กลางน้ำ วันนี้จะอยู่บนต้นไม้เหนือแผ่นดินไม่ได้แล้ว พวกเจ้าจงพากันบินไปตามทิศทางกันเถิด วันนี้ที่พึ่งของพวกเราเป็นภัยเสียแล้ว".
จบ ฆตาสนชาดกที่ ๑
อรรถกถาฆตาสนชาดกที่ ๓
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทคนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "เขมํ ยหิํ" ดังนี้.
ความพิสดารว่า ภิกษุนั้นเรียนพระกรรมฐานจากสำนักของพระศาสดา แล้วไปสู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง อาศัยหมู่บ้านหมู่หนึ่งจำพรรษาในเสนาสนะป่า ในเดือนแรกนั้นเองเมื่อเธอเข้าไปบิณฑบาต บรรณศาลาถูกไฟไหม้ เธอลำบากด้วยไม่มีที่อยู่ จึงบอกพวกอุปัฏฐาก คนเหล่านั้นพากันพูดว่า ไม่เป็นไรดอก พระคุณเจ้า พวกกระผมจักสร้างบรรณศาลาถวาย รอให้พวก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 528
กระผมไถนาเสียก่อน หว่านข้าวเสียก่อนเถิดขอรับ จนเวลา ๓ เดือนผ่านไป เธอไม่อาจบำเพ็ญพระกรรมฐานให้ถึงที่สุดได้ เพราะไม่มีเสนาสนะเป็นที่สบาย แม้เพียงนิมิตก็ให้เกิดขึ้นไม่ได้ พอออกพรรษาเธอจึงไปสู่พระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอ แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ กรรมฐานของเธอเป็นสัปปายะ หรือไม่เล่า เธอจึงกราบทูลความไม่สะดวกจำเดิมแต่ต้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อนโน้น แม้สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย ก็ยังรู้จักสัปปายะและอสัปปายะของตน พากันอยู่อาศัยในเวลาสบาย ในเวลาไม่สบายก็พากันทิ้งที่อยู่เสียไปในที่อื่น เหตุไรเธอจึงไม่รู้สัปปายะและอสัปปายะของตนเล่า เธอกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนก บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ถึงความงามเป็นเลิศ ได้เป็นพระยานก อาศัยต้นไม้ใหญ่สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้านสาขาและค่าคบมีใบหนาแน่น อยู่ใกล้ฝั่งสระเกิดเองในแนวป่าตำบลหนึ่ง อยู่เป็นหลักฐานพร้อมทั้งบริวารนกเป็นจำนวนมาก เมื่ออยู่ที่กิ่งอันยื่นไปเหนือน้ำของต้นไม้นั้น ก็พากันถ่ายคูถลงในน้ำ และในชาตสระนั่นเล่า ก็มีนาคราชผู้ดุร้ายอาศัยอยู่ นาคราชนั้นมีวิตกว่า นกเหล่านี้พากันขี้ลงในสระอันเกิดเอง อันเป็นที่อยู่ของเรา เห็นจะต้องให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 529
ไฟลุกขึ้นจากน้ำเผาต้นไม้เสีย ให้พวกมันหนีไป พญานาคนั้นมีใจโกรธ ตอนกลางคืนเวลาที่พวกนกทั้งหมดมาประชุมกัน นอนที่กิ่งไม้ทั้งหลาย ก็เริ่มทำให้น้ำเดือดพล่านเหมือนกับยกเอาสระขึ้นตั้งบนเตาไฟฉะนั้น เป็นชั้นแรก ชั้นที่สองก็ทำให้ควันพุ่งขึ้น ชั้นที่สามทำให้เปลวไฟลุกขึ้นสูงชั่วลำตาล พระโพธิสัตว์เห็นไฟลุกขึ้นจากน้ำ ก็กล่าวว่า ดูก่อนชาวเราฝูงนกทั้งหลาย ธรรมดาไฟติดขึ้นเขาก็พากันเอาน้ำดับ แต่บัดนี้ น้ำนั่นแหละกลับลุกเป็นไฟขึ้น พวกเราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ต้องพากันไปที่อื่น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า.
"ความเกษมมีอยู่บนหลังน้ำใด บนหลังน้ำนั้นมีข้าศึกมารบกวน ไฟลุกโพลงอยู่กลางน้ำ วันนี้จะอยู่บนต้นไม้เหนือแผ่นดินไม่ได้แล้ว พวกเจ้าจงพากันบินไปตามทิศทางกันเถิด วันนี้ที่พึ่งของพวกเราเป็นภัยเสียแล้ว" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมํ ยหิํ ตตฺถ อรี อุทีริโต ความว่า ความเกษม คือความปลอดภัย มีอยู่เหนือน้ำใด บนเหนือน้ำนั้นมีข้าศึกศัตรูประชิดแล้ว.
บทว่า ทกสฺส เท่ากับ อุทกสฺส แปลว่า แห่งน้ำ.
ไฟ ชื่อว่า ฆตาสนะ อธิบายว่า ไฟนั้นย่อมกินเปรียง เพราะเหตุนั้นท่านจึงเรียกว่า ฆตาสนะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 530
บทว่า น อชฺช วาโส ความว่า วันนี้ที่อยู่ของพวกเราไม่มีแล้ว.
ในบทว่า มหิยา มหีรุโห นี้ ต้นไม้ท่านเรียกว่า มหีรุกฺโข บนต้นไม้นั้น อธิบายว่า ได้แก่ ต้นไม้ที่เกิดบนแผ่นดินนี้.
บทว่า ทิสา ภชวฺโห ความว่า ท่านทั้งหลายจงคบ คือ พากันบินไปตามทิศทาง.
บทว่า สรณชฺช โน ภยํ ความว่า วันนี้ ภัยเกิดแต่ที่พึ่งของพวกเราแล้ว คือ ที่พำนักของพวกเราเกิดเป็นภัยขึ้นแล้ว.
พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็พาฝูงนกที่เชื่อฟังคำ บินไปในที่อื่น ฝูงนกที่ไม่เชื่อฟังคำของพระโพธิสัตว์ ต่างพากันเกาะอยู่ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะภิกษุนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า ฝูงนกที่กระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพระยานก ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาฆตาสนชาดกที่ ๓