ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้บริหารจัดการงานต่างๆ ที่พบสิ่งที่ไม่เรียบร้อย สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ก็อาจ แสดง กิริยาวาจา ที่ไม่สมควรต่างๆ ไปตาม กำลังของความไม่พอใจ และอาจ บ่นว่า ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่า สิ่งนั้นๆ จะเรียบร้อย เป็นที่พึงพอใจ อีกฝ่าย ก็หงุดหงิด ไม่พอใจ มีปฏิกิริยาต่างๆ ไปตาม กำลังของความไม่พอใจ เช่นกัน (ไม่ได้ เป็นผู้ศึกษาธรรม ทั้งสองฝ่าย) /
ขอเรียนถามถึง “ธรรมที่ควรระลึก สำหรับทั้งสองฝ่าย” เพื่อเป็นประโยชน์เป็นการทั่วไป ยิ่ง ถ้ามีข้อความ ที่น่าจับใจ น่าประทับใจ ที่เตือนใจ ที่สะดุดใจ หรือ สะดุ้งสะเทือน ในอกุศลจิตที่เกิดขึ้น ก็เป็นการดียิ่ง หากช่วยยกขึ้นแสดงด้วย
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ไม่ว่าจะเป็น ณ สถานที่ใด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครก็ตาม ไม่มีเครื่องกั้นเลยกับการที่จะมีเมตตา
-เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรที่จะมีเมตตาต่อกัน ไม่ควรที่จะโกรธกัน ไม่ควรที่จะเบียดเบียนกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม
-เกิดความขุ่นเคือง พร้อมทั้งซ้ำเติม ซึ่งเป็นการทำให้บุคคลนั้นเดือดร้อน นั่นไม่ใช่ลักษณะของเมตตา
-ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องโกรธกัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเบียดเบียนทำร้ายกัน แต่ควรอย่างยิ่งที่จะให้อภัยและทำสิ่งที่ดีให้แก่กัน
-เมตตากับพยาบาทจะเกิดร่วมกันไม่ได้ ขณะใดที่โกรธ รู้ได้เลยว่าเพราะขาดเมตตาจึงโกรธ ขณะใดที่เมตตา ก็รู้ได้เช่นกันว่าขณะนั้นเป็นสภาพจิตที่ห่างไกลจากความโกรธ
-เวลาที่โกรธแล้วไม่ลืม สังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งต่อไปอีก ถึงกับเป็นความพยาบาท เป็นความขุ่นเคืองที่คิดจะประทุษร้าย ปองร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
-ถ้าไม่มีเมตตา ไม่อบรมเมตตา ก็ไม่สามารถจะระงับความพยาบาทได้เลย ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว
-ในชีวิตประจำวัน มีตา เห็น มีหู ได้ยินเสียงของบุคคลต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จึงควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ไม่อิ่มในการอบรมเจริญเมตตาให้มีมากขึ้น
-เมตตา ต้องอบรมเจริญให้แผ่ไป จะไปจำกัดทำไมของดีๆ (เมตตา เป็นธรรมฝ่ายดีที่ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน)
-เมตตา มีคุณมากมาย พร้อมทั้งอุปการะเกื้อกูลให้กุศลธรรมอื่นๆ เจริญขึ้นด้วยจึงควรอย่างยิ่งที่จะอบรมเจริญให้มีขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะนำมาซึ่งประโยชน์สุขทั้งแก่ตนและบุคคลอื่นอย่างแท้จริง
-พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแเสดง เกื้อกูลให้เกิดกุศล ไม่ใช่อกุศล เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ และเพื่อสะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก ต่อไป
-ทำไม ถึงไม่ค่อยได้คิดกันว่า ในที่สุดแล้วเราก็จะต้องตาย (อะไรควรจะอบรมเจริญให้มีขึ้น ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อใด) ...ฯลฯ...
"ชีวิตสุดแสนคุ้มค่า ที่เกิดมาได้ฟังพระธรรม"
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ
ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน [อนนุโสจิยชาดก]
เมื่อพบกันแล้วก็ควรเกื้อกูลกัน ดีกว่าโกรธกัน
เมื่อได้กระทำความผิดลงไปแล้ว
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมไม่ได้พ้นจากชีวิตประจำวัน ความไม่พอใจเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็จะไม่เข้าใจเลยว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา และไม่มีทางที่ธรรมฝ่ายดีจะเจริญขึ้นได้เลย เพราะฉะนั้นต้องกลับมาที่เหตุที่สำคัญก็คือการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
บังคับบัญชาไม่ได้จริงๆ เป็นอนัตตาจริงๆ ชอบที่จะกล่าวซ้ำเติมในความผิดของผู้อื่น ขณะนั้นจิตขุ่นมัว เผ็ดร้อนมาก ความดันก็เพิ่ม ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งในขณะนี้ และขณะต่อไป แต่ก็กระทำ หากมิได้ความกรุณาบรรยายธรรมของท่านอาจารย์และท่านวิทยกรณ์ของมูลนิธิ ก็เป็นตัวตนมาก
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เมื่อยามขุ่นมัว มีโทสะเกิดขึ้นแม้พียงเล็กน้อย หรือมีกำลังมาก ขณะนั้นให้รู้ว่า "เพราะเราไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั่นเอง" มนุษย์เราชอบไปแก้ที่คนอื่นเป็นนิจสิน แต่การขัดเกลากิเลส คือการขัดเกลาที่ตนเอง ไม่ใช่คนอื่นค่ะ
ขออนุโมทนา
บางทีโทสะเกิดเรื่อยเพราะหวังให้คนอื่นเห็นในความดีของเรา ที่ทำดีนั้นก็ยังไม่ใช่ดีจริงเลยค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เป็นชาวพุทธต้องเชื่อในกรรมและผลของกรรม การที่หัวหน้าพบว่างานไม่เรียบร้อย นั่นคืออกุศลวิบากของหัวหน้าเอง ซึ่งหัวหน้าก็สามารถที่จะถือเอาเหตุการณ์นี้ เป็นเหตุในการสร้างกุศลต่อโดยการมีเมตตาต่อลูกน้อง ลูกน้องเมื่อได้รับการติเตียนแนะนำจากหัวหน้า ก็น่าจะเป็นกุศลวิบาก ควรจะดีใจตั้งใจแก้ไขตนเอง เพื่อสร้างกุศลกรรมต่อไป
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ