[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 14
ปฐมปัณณาสก์
ภัณฑคามวรรคที่ ๑
๖. อัปปสุตสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะ ๔ จําพวก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 14
๖. อัปปสุตสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้มีสุตะ ๔ จำพวก
[๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกมีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล ๔ คือใคร คือ บุคคลผู้สดับน้อย (เรียนน้อย) ทั้งไม่ได้ประโยชน์ เพราะการสดับ ๑ บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ ๑ บุคคล ผู้สดับมาก (เรียนมาก) แต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ บุคคลผู้สดับมาก ทั้งได้ประโยชน์เพราะการสดับ
บุคคลผู้สดับน้อย ทั้งไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร? (นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับน้อย ทั้งเขาหารู้อรรถ (คือเนื้อความ) รู้ธรรม (คือบาลี) แห่งคำสอนอันน้อยที่ได้สดับนั้น แล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ บุคคลผู้สดับน้อย ทั้งไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร? (นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับน้อย แต่เขารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนอันน้อย ที่ได้สดับนั้นแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลผู้สดับน้อย แต่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
บุคคลผู้สดับมาก แต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร? (นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับมาก แต่เขาหารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนเป็นอัน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 15
มากที่ได้สดับนั้นแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ บุคคลผู้สดับมาก แต่ ไม่ได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล
บุคคลผู้สดับมาก ทั้งได้ประโยชน์เพราะการสดับเป็นอย่างไร (นวังคสัตถุศาสนา คำสอนของพระศาสดามีองค์ ๙ คือ) สุตตะ ฯลฯ เวทัลละ บุคคลบางคนในโลกนี้ได้สดับมาก ทั้งเขารู้อรรถรู้ธรรมแห่งคำสอนเป็นอันมาก ที่ได้สดับนั้นแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลผู้สดับมาก ทั้งได้ประโยชน์เพราะการสดับ เป็นอย่างนี้แล.
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลบุคคล ๔ จำพวกมีปรากฏอยู่ในโลก.
บุคคลใด ถ้าเป็นคนสดับน้อย ทั้งไม่ตั้งอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียน บุคคลนั้นทั้ง ๒ ทาง คือทั้งทางศีล ทั้งทางสดับ.
บุคคลใด ถ้าแม้เป็นคนสดับน้อย แต่ตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นทางศีล แต่การสดับของเขาบกพร่อง.
บุคคลใด ถ้าแม้เป็นคนสดับมา แต่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อม ติเตียนบุคคลนั้นทางศีล แต่การสดับของเขาพอการ.
บุคคลใด ถ้าเป็นคนสดับมาก ทั้งตั้งมั่นอยู่ในศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้นทั้ง ๒ ทาง คือทั้งทางศีล ทั้งทางการสดับ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 16
ใครจะควรติบุคคลผู้ได้สดับมาก ทั้งเป็นผู้ทรงธรรม กอบด้วยปัญญา เป็นสาวกพระพุทธเจ้า ราวกะแท่งทองชมพูนุท นั้นเล่า แม่เหล่าเทวดาดีย่อมชม ถึงพรหมสรรเสริญ.
จบอัปปสุตสูตรที่ ๖
อรรถกถาอัปปสุตสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในอัปปสุตสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้.
บทว่า อนุปปนฺโน แปลว่า ไม่เข้าถึง. ในบทมีอาทิว่า สุตฺตํ นี้ อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกปริวาร สุตตนิบาต มงคลสูตร รตนสูตร นาลกสูตร ตุวฏกสูตร พระดำรัสของพระตถาคตแม้อื่นมี ชื่อว่าสูตร พึงทราบว่า สูตร. พระสูตรที่มีคาถาแม้ทั้งหมด พึงทราบว่า เคยยะ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังยุตตนิกาย สคาถวรรคแม้ทั้งหมด อภิธรรมปิฎกแม้ทั้งสิ้น สูตรที่ไม่มีคาถา พระพุทธพจน์แม้อื่นที่ไม่สงเคราะห์เข้ากับองค์ ๘ เหล่าอื่น พึงทราบว่า เวยยากรณะ. ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนไม่มีชื่อพระสูตรในสุตตนิบาต พึงทราบว่า คาถา. พระสูตร ๘๒ สูตร ที่ประกอบ ด้วยคาถาอันสำเร็จมาแต่โสมนัสญาณ พึงทราบว่าอุทาน. พระสูตร ๑๑๐ สูตร อันเป็นไปโดยนัยเป็นอาทิว่า วุตฺตมิทํ ภควตา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ พึงทราบว่า อิติวุตตกะ. ชาดก ๕๕๐ ชาดก. มีอปัณณกชาดกเป็นต้น พึงทราบว่า ชาดก. พระสูตรที่ประกอบด้วยธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมี แม้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 17
ทั้งหมด อันเป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัจฉริยอัพภูตธรรม ๔ ของเรามีอยู่ พึงทราบว่า อัพภูตธรรม. พระสูตรแม้ทั้งปวง ที่ถามแล้ว ได้ความรู้ และความยินดี มีจูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนิยสูตร มหาปุณณมสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า เวทัลละ.
บทว่า น อตฺถมญฺาย ธมฺมมญฺาย ความว่า ไม่รู้อรรถกถาและบาลี. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน ความว่า ย่อมไม่ปฏิบัติธรรม สมควรแก่โลกุตรธรรม ๙ คือข้อปฏิบัติเบื้องหน้า พร้อมทั้งศีล. พึงทราบเนื้อความในทุกวาระโดยอุบายนี้. ส่วนวาระที่หนึ่ง ในพระสูตรนี้ ตรัสถึงบุคคลผู้มีสุตะน้อยแต่ทุศีล ในวาระที่สอง ตรัสถึงบุคคลผู้มีสุตะน้อยแต่เป็นพระขีณาสพ ในวาระที่สาม ตรัสถึงบุคคลผู้มีสุตะมากแต่ทุศีล ในวาระที่สี่ ตรัสถึงบุคคลผู้มีสุตะมากทั้งเป็นพระขีณาสพ. บทว่า สีเลสุ อสมาหิโต ความว่า ไม่ทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย. บทว่า สีลโต จ สุเตน จ ความว่า นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมติเตียนผู้นั้น ทั้งโดยส่วนศีล ทั้งโดยส่วนสุตะ อย่างนี้ว่า คนนี้ทุศีล มีสุตะน้อย. บทว่า ตสฺส สมฺปชฺชเต สุตํ ความว่า สุตะของบุคคลนั้น ชื่อว่าสมบูรณ์ เพราะเหตุที่กิจคือสุตะอันเขาทำแล้วด้วยสุตะนั้น. บทว่า นาสฺส สมฺปชฺชเต ได้แก่ ความว่า สุตกิจ ชื่อว่าไม่สมบูรณ์ เพราะกิจคือสุตะอันเขามิได้ทำ. บทว่า ธมฺมธรํ ได้แก่ เป็นผู้ทรงจำธรรมที่ฟังแล้วไว้ได้. บทว่า สปฺปญฺํ ได้แก่ มีปัญญาดี. บทว่า เนกฺขํ ชมฺโพนทสฺเสว ความว่า ทองคำธรรมชาติ เขาเรียกว่า ชมพูนุท ดุจแท่งทอง ชมพูนุทนั้น คือ ดุจลิ่มทองเนื้อ ๕.
จบอรรถกถาอัปปสุตสูตรที่ ๖