[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 491
ติกนิบาต
วรรคที่ ๔
๒. สักการสูตร
ว่าด้วยผู้ถูกสักการะครอบงําจิต
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 45]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 491
๒. สักการสูตร
ว่าด้วยผู้ถูกสักการะครอบงำจิต
[๒๕๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้เห็นสัตว์ผู้อันสักการะ ครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราได้ เห็นสัตว์อันความไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราได้เห็นสัตว์อันสักการะและความไม่สักการะทั้งสองครอบงำ ย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา ตถาคตกล่าวคำนั้นแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้เห็นสัตว์อัน สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว ... เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะ ได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อันก็หามิได้ ก็แต่ว่าเราตถาคตรู้มาเอง เห็นมา เอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตได้ เห็นสัตว์อันสักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราตถาคตได้เห็นสัตว์อันความไม่สักการะครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เราตถาคตได้เห็นสัตว์อันสักการะและความไม่สักการะ ทั้งสองครอบงำย่ำยีจิตแล้ว เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
สมาธิของบุคคลใดผู้อันบุคคลสักการะอยู่ ผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่หวั่นไหวเพราะสักการะและความ ไม่สักการะทั้งสอง พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าว บุคคลมีปกติ เพ่ง ผู้มีความเพียรเป็นไปติดต่อ ผู้เห็นแจ้ง ด้วยทิฏฐิอันสุขุม มีความสิ้นอุปทานเป็นที่ มายินดีว่าเป็นสัปบุรุษ.
จบสักการสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 492
อรรถกถาสักการสูตร
ในสักการสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สกฺกาเรน ความว่า อันสักการะ อันเป็นดังเหตุ อีกอย่าง หนึ่ง บทว่า สกฺกาเรน ความว่า ถูกเหตุหรือสักการะ หรือถูกอกุศลธรรม มีสักการะเป็นเหตุ (ครอบงำ) อธิบายว่า เพราะอาศัยสักการะ บุคคลบางคน ในโลกนี้ มีความปรารถนาลามก ถูกความอยากครองงำ ตั้งอยู่ในอิจฉาจาร คิดว่า เราจักให้สักการะเกิดขึ้น แล้วประพฤติการแสวงหาที่ไม่เหมาะสมมาก อย่าง จุติจากโลกนี้แล้ว จึงเกิดในอบายทั้งหลาย. ส่วนคนเหล่าอื่นได้สักการะ อย่างใดแล้ว ถึงความประมาท อันมีสักการะอย่างนั้นเป็นนิมิต ด้วยสามารถ แห่งมานะ (ความถือตัว) มทะ (ความเมา) และมัจฉริยะ (ความตระหนี่) เป็นต้น จุติจากโลกนี้แล้ว จึงเกิดในอบายทั้งหลาย ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายเอาว่า ผู้ถูกสักการะครอบงำ มีจิตอันสักการะหุ้มห่อแล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิภูตา ความว่า ถูกสักการะทับถมแล้ว. บทว่า ปริยาทินฺนจิตฺตา ความว่า มีจิตอันสักการะให้ส่ายไปแล้ว คือเป็น ผู้มีกุศลจิต ถูกอิจฉาจาร และอกุศลมีมานะ และมทะเป็นต้นให้ถึงความสิ้นไป. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริยาทินฺนจิตฺตา ความว่า มีจิตอันสักการะยึดเหนี่ยวไว้ รอบด้าน. อธิบายว่า เป็นผู้มีจิตสันดาน ถูกฝ่ายอกุศลธรรม มีประการดังกล่าว แล้ว ยึดไว้แล้วรอบด้านโดยไม่มีวาระแห่งกุศลจิตเกิดขึ้น. บทว่า อสกฺกาเรน ความว่า อันเหตุ คือ อสักการะ ที่ผู้อื่นให้เป็นไปแล้วในตน โดยมุ่งให้ละอาย โดยเย้ยหยัน หรือถูกอกุศลธรรมมีมานะเป็นต้น ที่มีสักการะเป็นเหตุ (ครอบงำแล้ว). บทว่า สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จ ความว่า ถูกทั้งสักการะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 493
ที่ใครๆ ให้เป็นไปแล้ว ทั้งอสักการะที่ใครๆ ให้เป็นไปแล้ว. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาบุคคลเช่นนั้น ที่ตอนต้น ชนเหล่าใดสักการะ แล้ว ภายหลังชนเหล่านั้นนั่นแหละไม่สักการะ เพราะรู้ว่าไม่มีสารธรรม จึง ตรัสว่า สกฺกาเรน จ อสกฺกาเรน จ ดังนี้.
ในเรื่องนี้ควรนำเรื่องพระเทวทัตเป็นต้นที่ถูกสักการะครอบงำมาแสดง (เป็นตัวอย่าง). สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ผลกล้วยแล ฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ ฆ่าต้นไผ่ สักการะฆ่าคนชั่ว เหมือนลูก ม้า ฆ่าแม้ม้า อัสดร ดังนี้.
ควรนำเรื่องพระเจ้ากรุงทัณฑกี พระเจ้ากรุงกาลิงคะ และพระเจ้ากรุงเมชฌะ เป็นต้น มาแสดง (เป็นตัวอย่าง). สมดังคำที่สังกัจจฤาษีกล่าวไว้ว่า
เพราะ พระเจ้าทัณฑกี ทรงโปรย ธุลีใส่ กีสวัจฉฤาษี (ผู้หาธุลีมิได้) พระองค์พร้อมด้วยประชาชน และแว่นแคว้น (จึงถึงความพินาศ) เหมือนไม้ที่รากขาด แล้ว หมกไหม้อยู่ในกุกกุฬนรก ประกาย ไฟตกถูกต้องพระกายของพระองค์.
อนึ่ง พระเจ้ากาลิงคะ ได้ล่วงเกิน บรรพชิตผู้สำรวมแล้ว ผู้สอนธรรม ผู้เป็น สมณะผู้ไม่ประทุษร้าย สุนัขทั้งหลายจึง รุนกัดพระเจ้ากาลิงคะนั้นผู้ทรงกลิ้งไปมา อยู่ เหมือนผลมะพร้าว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 494
พระเจ้าเมชฌะคิดประทุษร้ายในมาตังคฤาษี ผู้เรืองยศสรัฐมณฑลของพระเจ้า เมชฌะ พร้อมด้วยบริษัท ก็ได้สูญสิ้นไป ในครั้งนั้น ดังนี้.
อัญญเดียรดีย์ทั้งหลาย มีนิครนถนาฏบุตรเป็นต้น ผู้ถูกทั้งสักการะ และอสักการะครอบงำ ก็ควรนำมาแสดงด้วย.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาทั้งหลายต่อไป บทว่า อุภยํ ได้แก่ทั้งสักการะ และอสักการะทั้งสองอย่าง. บทว่า สมาธิ น วิกมฺปติ ความว่า สมาธิย่อม ไม่หวั่นไหว คือมีสภาพเป็นเอกนั่นแหละตั้งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท (เพื่อจะทรงแก้คำถาม) ว่า ก็สมาธิของใครเล่า ไม่หวั่นไหว? อธิบายว่า ของผู้ชื่อว่ามีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท คือเป็น พระอรหันต์ เพราะละธรรมที่เป็นเหตุแห่งความประมาท มีราคะเป็นต้นได้ ด้วยดี ด้วยว่า ท่านไม่หวั่นไหว เพราะโลกธรรมทั้งหลาย. บทว่า สุขุมทิฏฺิวิปสฺสกํ ความว่า ผู้ชื่อว่าเห็นแจ้งด้วยทิฏฐิอันสุขุม เพราะมีความเห็น แจ้งที่เป็นไปแล้วเนืองๆ ด้วยทิฏฐิ คือปัญญาอันสุขุม เหตุได้บรรลุผลสมาบัติ. บทว่า อุปาทานกฺขยารามํ ความว่า ผู้ชื่อว่า มีความสิ้นอุปาทานเป็นที่มา ยินดี เพราะมีอรหัตตผลอันเป็นที่สิ้นไป คือเป็นที่สิ้นสุด แห่งอุปาทานทั้ง ๔ ที่ตนจะต้องยินดี. คำที่เหลือ มีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาสักการสูตรที่ ๒