ผี มีจริงหรือเปล่าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำว่า ผี ความเข้าใจส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่าเป็นบุคคลที่ตายแล้วและก็เป็นวิญญาณ
ล่องลอยและปรากฎให้เห็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะธรรมแล้ว เมื่อตายแล้ว
คือจุติจิตเกิดขึ้น ปฏิสนธิจิต (การเกิด) เกิดต่อเปลี่ยนภพภูมิทันที ไม่ใช่ว่าจะต้องมี
วิญญาณล่องลอยที่จะคอยหาที่เกิดเป็นผีครับ ตายแล้วจะต้องเกิดทันทีครับ แต่จะเกิด
เป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรมที่จะให้ผลครับ หากเกิดเป็นสัตว์ก็คงไม่เรียกว่าผี หากเกิด
เป็นมนุษย์ก็คงไม่เรียกว่าผี แต่เมื่อเกิดเป็นเทวดาซึ่งเทวดาก็สามารถปรากฏให้เห็น
ได้ ใช่ผีหรือเปล่า ซึ่งในพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แบ่งภพภูมิเป็นหลายภพ
ภูมิ ทั้งมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต เทวดา เป็นต้น ผู้ใดก็ตามที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทวดา
เปรต ก็เรียกว่าอมนุษย์ครับ
ส่วนในบางกรณีสำหรับการที่บางบุคคลพบกับบุคคลที่ตายไปแล้ว ยังมาให้เจออีก
ประเด็นนี้เราควรมีความเข้าใจถูกครับว่าที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้ว ยังอยู่ให้เห็นก็
เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพราะเปรต อาหารที่เขาจะได้รับ
คือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฎให้เห็น เพื่อ
บุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณ
ล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันทีครับ ผู้ที่เกิดเป็นเปรต
ต้องการส่วนบุญจึงปรากฎให้เห็น ซึ่งในพระไตรปิฎก สมัยพุทธกาลก็มีบางบุคคลเจอ
บุคคลที่ตายแล้ว เพื่อมาขอส่วนบุญกับบุคคลที่เจอโดยให้คนที่มีชีวิตอยู่อุทิศกุศลที่
ทำไปแล้วไปให้เปรตได้รับรู้และอนุโมทนาครับ
หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจขึ้น และไม่เข้าใจผิดในคำว่าผีตามภาษาไทยและ
ความเข้าใจเดิมครับ สัตว์โลกมีภพภูมิมากมาย ตามอำนาจของกรรมและมีความหลาก
หลายและความวิจิตรของสภาพธรรม ปัญญา ความเข้าใจพระธรรมจะเป็นเครื่องเตือน
และเข้าใจความจริงในสิ่งที่รู้และทราบในชีวิตประจำวันครับ
ที่สำคัญที่สุด ในสัจจะ ธัมมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์โลกเข้าใจความจริง
ที่สัตว์โลกยึดถือด้วยความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีผีมีสิ่งต่างๆ มากมาย แต่ใน
ความจริงแล้ว สัจจะที่เป็นอริยสัจจะ พระองค์ทรงแสดงว่ามีแต่สภาพธรรมที่เป็นขันธ์ 5
ที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป หากไม่มีสภาพธรรม
ไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่มีลิ้มรส ไม่มีสภาพธรรมอะไรเลย จะมีสัตว์ บุคคล
หรือแม้แต่ผีที่เป็นเปรต จะมีได้ไหม มีไม่ได้เลยครับ เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการ
ศึกษาพระธรรมคือการเพิกถอนความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคลหรือมีผี ทั้งๆ ที่ความ
จริงมีแต่สภาพธรรมเท่านั้นในขณะนี้ที่คิดนึก เมื่อเราเข้าใจความจริงอย่างนี้ ย่อมเป็น
ปัจจัยให้สามารถอบรมปัญญา ดับกิเลสได้เพราะเป็นสัจจะ เข้าใจตามสัจจะที่พระองค์
ทรงแสดง ผีมีเมื่อไหร่ ถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยินและไม่มีคิดนึก ผีจะมีได้ไหมครับ ดังนั้นเรา
กลัวอะไรนอกจากกลัวความคิดนึกของเราเองหลังจากเห็นและได้ยิน เพราะความจริงมี
แต่สภาพธรรมครับ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย ปัญญายังไม่มากพอก็ยังกลัวเพราะความไม่รู้และ
กิเลสที่สะสมมา ขออนุโมทนาครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...ผีมีจริงหรือไม่
แต่เดิมก่อนศึกษาคิดว่า วิญญาณ คือ ผี
ผีบ้านผีเรือนมีในพระสูตรด้วยหรือเปล่าค่ะ
ผี คือ อะไร
ผู้ที่ปฏิบัติธรรม...ทำไมยังกลัวผี
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลก ไม่ได้มีเฉพาะมนุษย์ กับสัตว์ดิรัจฉาน เท่านั้นสัตว์โลกประเภทอื่น ที่มีนอกจากนี้ ก็มี คือ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา และพรหม ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนั้น เพราะมีสภาพธรรมที่จริง กล่าวคือ จิต เจตสิก และรูป จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับว่าจะเรียกสัตว์ในภพภูมิอื่นว่าอย่างไร ก็เรียกไปตามสมมติเท่านั้น แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มีมีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริง ของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งทีกระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย สภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นอนัตตา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจ และสามารถเข้าใจได้ ด้วยปัญญา การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด จุดประสงค์ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ตามความเป็นจริง ถ้าไม่อาศัยการฟัง ไม่อาศัยการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยความละเอียดรอบคอบแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจตามความเป็นจริงได้ ดังนั้น จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ความรู้ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น แม้แต่.. ขณะที่คิดว่าผีมีจริงหรือเปล่า ขณะที่คิด นั้น สภาพคิิดเท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่มีจริง เรื่องที่คิด ไม่มีจริง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ...
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ภพภูมิทั้งหมดมี 31 ภูมิ สิ่งที่มีชีวิตถ้าไม่ใช่มนุษย์
เีรียกว่าอมนุษย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน หรือเทวดาก็ตาม
เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าผีหรืออมนุษย์ก็มีจริง ส่วนมากไม่เห็น ถ้าเห็นเขามาเพื่อขอ
ส่วนบุญหรืออนุเคราะห์ ฯลฯ ค่ะ
...................ขอบคุณ และขออนุโมทนาเช่นกัน ครับ.........................
ขออนุโมทนาค่ะ
เคยเห็นด้วยตาเปล่า
สิ่งที่มีจริงมีเพียง "รูปกับนาม" ค่ะ
ผีเป็นเพียงบัญญัติ
แต่โดยปรมัตถ์ คือ นามรูป
ถ้าเห็นผี ก็คือเห็นรูปที่รู้ได้ทางตา (ที่คนตาบอดไม่เห็น)
ถ้าได้ยินเสียง ก็คือรูปที่จิตรู้ได้ทางหู
จะว่าไปแล้วความนึกคิดปรุงแต่งของเราเองต่างหาก...จึงมีผี