[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 449
ยุคนัทธวรรค
๑. ยุคนัทธกถา
ว่าด้วยมรรค ๔ หน้า 449
อรรถกถายุคนัทธกถา หน้า 463
อรรถกถาสุตตันตนิเทศ หน้า 468
อรรถกถาธัมมุทธัจจวารนิเทศ หน้า 473
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 69]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 449
ยุคนัทธวรรค
ยุคนัทธกถา
ว่าด้วยมรรค ๔
[๕๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนท์เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระอานนท์แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ ทั้งหมดหรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใดมรรคหนึ่ง มรรค ๔ เป็นไฉน.
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะ เป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุนั้นเจริญวิปัสสนาอันมีสมถะเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อม เกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น เมื่อภิกษุ นั้นเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ มรรคย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรค นั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป เมื่อภิกษุนั้น เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป มรรคย่อมเกิด ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้ มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละ สังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 450
อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจนึกถึงโอกาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้น จิตย่อมตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรค ย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น ภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น เมื่อภิกษุ นั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อม สิ้นไป ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย ก็ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่ง พยากรณ์ อรหัตในสำนักเรา ด้วยมรรค ๔ นี้ทั้งหมด หรือด้วยมรรคเหล่านั้นมรรคใด มรรคหนึ่ง.
[๕๓๕] ภิกษุเจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้นอย่างไร?
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะเป็นสมาธิ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้น โดยความเป็นสภาพ ไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้ สมถะ จึงมีก่อน วิปัสสนามีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น.
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ มี ๔ คือ ภาวนาด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลาย ที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอัน เดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมที่ไม่ล่วงเกิน กัน ๑ ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑.
คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคเกิดอย่างไร.
สัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่าเห็น เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสังกัปปะด้วย อรรถว่าดำริ เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาวาจาด้วยอรรถว่ากำหนด เป็นมรรค ย่อมเกิด สัมมากัมมันตะด้วยอรรถว่าเป็นสมุฏฐาน เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมา-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 451
อาชีวะด้วยอรรถว่าผ่องแผ้ว เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาวายามะด้วยอรรถว่า ประคองไว้ เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสติด้วยอรรถว่าตั้งมั่น เป็นมรรคย่อมเกิด สัมมาสมาธิด้วยอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน เป็นมรรคย่อมเกิด มรรคย่อมเกิดอย่างนี้.
คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่ง มรรคนั้น ดังนี้ ความว่า ย่อมเสพอย่างไร.
ภิกษุนั้น นึกถึงอยู่ชื่อว่าเสพ รู้อยู่ชื่อว่าเสพ เห็นอยู่ชื่อว่าเสพ พิจารณาอยู่ชื่อว่าเสพ อธิฐานจิตอยู่ชื่อว่าเสพ น้อมจิตไปด้วยศรัทธาชื่อว่า เสพ ประคองความเพียรไว้ชื่อว่าเสพ ตั้งสติไว้มั่นชื่อว่าเสพ ตั้งจิตไว้อยู่ ชื่อว่าเสพ ทราบชัดด้วยปัญญาชื่อว่าเสพ รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งอยู่ชื่อว่าเสพ กำหนดรู้ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ชื่อว่าเสพ ละธรรมที่ควรละชื่อว่าเสพ เจริญ ธรรมที่ควรเจริญชื่อว่าเสพ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเสพ ย่อมเสพอย่างนี้.
คำว่า เจริญ ความว่า เจริญอย่างไร.
ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่าเจริญ ... ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ชื่อว่าเจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้.
คำว่า ทำให้มาก ความว่า ทำให้มากอย่างไร.
ภิกษุนั้นนึกถึงอยู่ชื่อว่าทำให้มาก ... ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ชื่อว่าทำให้มาก ทำให้มากอย่างนี้.
คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละ สังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ความว่า ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 452
ย่อมละสังโยชน์ ๓ นี้ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อนุสัย ๒ นี้ คือ ทิฏฐิอนุสัย วิจิกิจฉาอนุสัย ย่อมสิ้นไปด้วยโสดาปัตติมรรค.
ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ส่วน หยาบๆ อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนหยาบๆ ย่อม สิ้นไปด้วยสกทาคามิมรรค.
ย่อมละสังโยชน์ ๒ นี้ คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ ส่วน ละเอียดๆ อนุสัย ๒ นี้ คือ กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ส่วนละเอียดๆ ย่อมสิ้นไปด้วยอนาคามิมรรค.
ย่อมละสังโยชน์ ๕ นี้ คือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อนุสัย ๓ นี้ คือ มานานุสัย ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย ย่อมสิ้น ไปด้วยอรหัตตมรรค ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้.
[๕๓๖] ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความไม่ พยาบาท เป็นสมาธิ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถแห่ง อาโลกสัญญา เป็นสมาธิ ฯลฯ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วย สามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจเข้า ด้วยสามารถความ เป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก เป็นสมาธิ วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็นธรรมที่เกิดในสมาธินั้นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็น ทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ด้วยประการดังนี้ สมถะจึงมีก่อน วิปัสสนามี ภายหลัง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญวิปัสสนามีสมถะเป็นเบื้องต้น.
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรม ทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ... ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ.
คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 453
สัมมาทิฏฐิด้วยอรรถว่าเห็น เป็นมรรคย่อมเกิด ... มรรคย่อมเกิด อย่างนี้.
คำว่า ย่อมเสพ ในคำว่า ภิกษุนั้นย่อมเสพ ฯลฯ เจริญ ทำให้ มากซึ่งมรรคนั้น ความว่า ย่อมเสพอย่างไร.
ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าเสพ รู้อยู่ชื่อว่าเสพ ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งมรรคที่ ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเสพ ย่อมเสพอย่างนี้.
คำว่า ย่อมเจริญ ความว่า ย่อมเจริญอย่างไร.
ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าเจริญ รู้อยู่ชื่อว่าเจริญ ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าเจริญ ย่อมเจริญอย่างนี้.
คำว่า ทำให้มาก ความว่า ย่อมทำให้มากอย่างไร.
ภิกษุนึกถึงอยู่ชื่อว่าทำให้มาก รู้อยู่ชื่อว่าทำให้มาก ฯลฯ ทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งชื่อว่าทำให้มาก ย่อมทำให้มากอย่างนี้.
คำว่า เมื่อภิกษุนั้นเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งธรรมนั้นอยู่ ย่อมละ สังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป ความว่า ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างไร ...
[๕๓๗] ภิกษุนั้นย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างไร?
วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดย ความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่ เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์ เพราะความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 454
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ฯลฯ คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯลฯ มรรค ย่อมเกิดอย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ วิปัสสนา ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้น เป็นอารมณ์ และความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ ด้วยประการ ดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมีภายหลัง เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็น ที่เสพ.
คำว่า มรรคย่อมเกิด ฯลฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละ สังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชรา และมรณะ โดยความเป็นสภาพ ไม่เที่ยง ฯลฯ โดยความเป็นทุกข์ ฯลฯ โดยความเป็นอนัตตา ความที่จิตมี การปล่อยธรรมทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นเป็นอารมณ์ และความที่จิตมีอารมณ์ เดียวไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาจึงมีก่อน สมถะมี ภายหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น.
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ฯลฯ คำว่า ย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯลฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นอย่างนี้.
[๕๓๘] ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 455
ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไป ด้วยอาการ ๑๖ คือ ด้วย ความเป็นอารมณ์ ๑ ด้วยความเป็นโคจร ๑ ด้วยความละ ๑ ด้วยความสละ ๑ ด้วยความออก ๑ ด้วยความหลีกไป ๑ ด้วยความเป็นธรรมสงบ ๑ ด้วยความ เป็นธรรมประณีต ๑ ด้วยความหลุดพ้น ๑ ด้วยความไม่มีอาสวะ ๑ ด้วยความ เป็นเครื่องข้าม ๑ ด้วยความไม่มีนิมิต ๑ ด้วยความไม่มีที่ตั้ง ๑ ด้วยความว่างเปล่า ๑ ด้วยความเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยความไม่ล่วงเกินกัน และกัน ๑ ด้วยความเป็นคู่กัน ๑.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยอารมณ์อย่างไร.
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นอารมณ์ ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นอารมณ์ เพราะเหตุดังนี้นั้นท่าน จึงกล่าวว่าเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นอารมณ์.
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ ฯลฯ ภาวนาด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ฯลฯ คำว่า มรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร ฯลฯ มรรคย่อม เกิดอย่างนี้ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุย่อมเจริญสมถะ และวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นอารมณ์ อย่างนี้.
ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นโคจรอย่างไร.
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น มีนิ- โรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นโคจร เพราะเหตุดังนี้นั้นท่าน จึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความเป็นโคจร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 456
[๕๓๙] ภิกษุย่อมเจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กันไปด้วยความอย่างไร.
เมื่อภิกษุละกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ และขันธ์ สมาธิ คือ ความ ที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละกิเลสอันประกอบ ด้วยอวิชชา และขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความละ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญ สมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความละ.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความสละอย่างไร.
เมื่อภิกษุสละกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ และขันธ์ สมาธิ คือ ความ ที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุสละกิเลสอันประกอบ ด้วยอวิชชา และขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความสละ เพราะเหตุดังนี้นั้นท่านจึงกล่าวว่า เจริญ สมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความสละ.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความออกอย่างไร.
เมื่อภิกษุออกจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ และขันธ์ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุออกจากกิเลส อันประกอบด้วยอวิชชา และจากขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น มี นิโรธเป็นโคจร ด้วยประการฉะนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความออก เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึง กล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความออก.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความหลีกไปอย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 457
เมื่อภิกษุหลีกไปจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ และจากขันธ์ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุหลีกไป จากกิเลสอันประกอบด้วยอวิชชา และจากขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณา เห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอัน เดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความหลีกไป เพราะดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาคู่กัน ด้วยความหลีกไป.
[๕๔๐] ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความเป็นธรรม ละเอียดอย่างไร?
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมละเอียด มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมละเอียด มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะ และวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความ เป็นธรรมละเอียด เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนา เป็นคู่กัน ด้วยความเป็นธรรมที่ละเอียด.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความเป็นธรรมประณีต อย่างไร.
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมประณีต มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นธรรมประณีต มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการฉะนี้ สมถะและ วิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็น ธรรมประณีต เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็น คู่กัน ด้วยความเป็นธรรมประณีต.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 458
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความหลุดพ้นอย่างไร.
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมหลุดพ้น มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่า พิจารณาเห็น เป็นความหลุดพ้น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ ชื่อว่า เจโตวิมุตติ เพราะสำรอกราคะ ชื่อว่าปัญญาวิมุตติ เพราะสำรอกอวิชชา ด้วย ประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกิน กันและกัน ด้วยความหลุดพ้น เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะ และวิปัสสนาเป็นคู่กันด้วยความหลุดพ้น.
[๕๔๑] ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความไม่มีอาสวะ อย่างไร?
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีอาสวะด้วยกามาสวะ มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นเป็นธรรมไม่มีอาสวะด้วยอวิชชาสวะ มีนิโรธ เป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็น คู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีอาสวะ เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่าน จึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่กัน ด้วยความไม่มีอาสวะ.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความเป็นเครื่องข้าม อย่างไร?
เมื่อภิกษุข้ามจากกิเลสอันประกอบด้วยอุทธัจจะ และจากขันธ์ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุข้ามจาก กิเลสอันประกอบด้วยอวิชชา และจากขันธ์ วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 459
เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความเป็นเครื่องข้าม เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความเป็นเครื่องข้าม.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนา ด้วยความไม่มีนิมิต อย่างไร?
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีนิมิตด้วยนิมิตทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นเป็นธรรมไม่มีนิมิตทั้งปวง มีนิโรธ เป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็น คู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีนิมิต เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึง กล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นของคู่กัน ด้วยความไม่มีนิมิต.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความไม่มีที่ตั้ง อย่างไร?
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมไม่มีที่ตั้งด้วยที่ตั้งทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นเป็นธรรมไม่มีที่ตั้งด้วยที่ตั้งทั้งปวง มีนิโรธ เป็นโคจรด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความไม่มีที่ตั้ง เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความไม่มีที่ตั้ง.
ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความว่างเปล่า อย่างไร?
เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ สมาธิ คือ ความที่จิตมีอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นธรรมว่างเปล่าจากความยึดมั่นทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร เมื่อภิกษุละอวิชชา วิปัสสนาด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็น เป็นธรรมว่างเปล่าจากความยึดมั่นทั้งปวง มีนิโรธเป็นโคจร ด้วยประการดังนี้ สมถะและวิปัสสนาจึงมีกิจเป็นอันเดียวกัน เป็นคู่กัน ไม่ล่วงเกินกันและกัน ด้วยความว่างเปล่า เพราะเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความว่างเปล่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 460
ภาวนา ในคำว่า ภาเวติ นี้มี ๔ คือ ภาวนาด้วยอรรถว่า ธรรม ทั้งหลายที่เกิดในภาวนานั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจ เป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ธรรมที่ไม่ล่วง เกินกัน และอินทรีย์มีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑ ฯลฯ คำว่ามรรคย่อมเกิด ความว่า มรรคย่อมเกิดอย่างไร? ฯลฯ มรรคย่อมเกิด อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ภิกษุเจริญสมถะ และวิปัสสนาเป็นคู่กัน ด้วยความว่างเปล่าอย่างนี้ ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนา เป็นคู่กัน ด้วยอาการ ๑๖ เหล่านี้ ภิกษุเจริญสมถะและวิปัสสนาเป็นคู่กันอย่างนี้.
[๕๔๒] ใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ ย่อมมี อย่างไร?
เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงโอภาสว่า โอภาสเป็นธรรม เพราะนึกถึงโอภาสนั้น จึงมีความ ฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตาม ความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอัน เป็นธรรมถกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้นจิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอก ผุดขึ้นตั้งมั่นอยู่. มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร? ฯลฯ มรรคย่อมเกิดอย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ เมื่อ ภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ) ปัคคาหะ (ความเพียร) อุปัฏฐาน (ความตั้งมั่น) อุเบกขา นิกันติ (ความพอใจ) ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงความพอใจว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะนึกถึงความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 461
อุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น อนัตตา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีใจนึกถึงความพอใจอันเป็นธรรม ถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้น จิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร? ฯลฯ มรรค ย่อมเกิดอย่างนี้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไปอย่างนี้ ฯลฯ เมื่อ ภิกษุมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ฯลฯ เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นอนัตตา โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงความพอใจว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะ นึกถึงความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้น กั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งความปรากฏโดยความเป็นอนัตตา โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น ท่านกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ ฯลฯ ย่อมละสังโยชน์ ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้.
[๕๔๓] เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ฯลฯ เมื่อ ภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นทุกข์ เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นอนัตตา เมื่อภิกษุมนสิการเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ ย่อมเกิดขึ้น ภิกษุนึกถึงความพอใจว่า ความพอใจเป็นธรรม เพราะนึกถึง ความพอใจนั้น จึงมีความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ ย่อมไม่ทราบชัดตามความเป็นจริง ซึ่งชราและมรณะอันปรากฏโดยความเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 462
อนัตตา โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ เพราะเหตุนั้น ท่าน จึงกล่าวว่า มีใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ สมัยนั้น จิตที่ตั้งมั่นสงบอยู่ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่นอยู่ มรรคย่อมเกิดแก่ ภิกษุนั้น มรรคย่อมเกิดอย่างไร? ฯลฯ มรรคย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ ฯลฯ ย่อม ละสังโยชน์ อนุสัยย่อมสิ้นไป อย่างนี้ ใจที่นึกถึงความพอใจอันเป็นธรรมถูก อุทธัจจะกั้นไว้อย่างนี้.
จิตย่อมกวัดแกว่งหวั่นไหวเพราะโอกาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐานะ ความวางเฉยจากความนึกถึงอุเบกขา และนิกันติ ภิกษุ นั้นกำหนดฐานะ ๑๐ ประการนี้ ด้วยปัญญาแล้ว ย่อม เป็นผู้ฉลาดในความนึกถึงโอกาสเป็นต้นอันเป็นธรรม ฟุ้งซ่าน และย่อมไม่ถึงความหลงใหล จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง และเคลื่อนจากจิตภาวนา จิตกวัดแกว่ง เศร้าหมอง ภาวนาย่อมเสื่อมไป จิตบริสุทธิ์ ไม่เศร้า หมอง ภาวนาย่อมไม่เสื่อม จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมอง และไม่เคลื่อนจากจิตภาวนา ด้วยฐานะ ๔ ประการนี้ ภิกษุย่อมทราบชัดซึ่งความที่จิตฟุ้งซ่านถูกโอภาสเป็น ต้นกั้นไว้ ด้วยฐานะ ๑๐ ประการ ฉะนี้แล.
จบยุคนัทธกถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 463
ยุคนัทธวรรค
อรรถกถายุคนัทธกถา
บัดนี้ จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยกล่าวแห่งยุคนัทธกถาอัน มีสูตรเป็นบทนำ อันพระอานนทเถระแสดงถึงคุณของยุคนัทธธรรม (ธรรมที่ เทียมคู่) แห่งอริยมรรคอันเป็นคุณธรรมผ่องใสควรดื่มกล่าวแล้ว.
ก็เพราะพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เชื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็น พระธรรมราชายังทรงพระชนม์ ได้ปรินิพพานในปีที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็น พระธรรมราชาเสด็จปรินิพพาน. ฉะนั้นพึงทราบว่าเมื่อพระธรรมราชายังทรง พระชนม์อยู่นั่นเอง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรสดับสูตรนี้ซึ่งพระอานนท์ผู้เป็น ธรรมภัณฑาคาริก (คลังพระธรรม) แสดงไว้ เฉพาะหน้าของพระอานนท์นั้น แล้วจึงกล่าวว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อายสฺมา เป็นคำพูดน่ารัก เป็นคำพูด แสดงความเคารพ เป็นคำพูดแสดงความมีคารวะ และความยำเกรง อธิบายว่า ผู้มีอายุ. บทว่า อานนฺโท เป็นชื่อของพระเถระนั้น. เพราะพระเถระนั้น เมื่อเกิดได้ทำความพอใจ ความยินดีอย่างมากในตระกูล ฉะนั้น พระเถระนั้น จึงได้ชื่อว่า อานนท์. บทว่า โกสมฺพิยํ ใกล้นครมีชื่ออย่างนั้น. เพราะ นครนั้น มีต้นสะคร้อขึ้นหนาแน่นในที่นั้นๆ มีสวนและสระโบกขรณีเป็นต้น ฉะนั้น นครนั้นจึงชื่อว่า โกสัมพี อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า เพราะฤษีกุสุมพะ สร้างไว้ ไม่ไกลจากอาศรม. บทว่า โฆสิตาราเม ณ โฆสิตาราม คือ ณ อารามที่โฆสิตเศรษฐีสร้างไว้. ในกรุงโกสัมพี ได้มีเศรษฐี ๓ คน คือ โฆสิตเศรษฐี กุกกุฏเศรษฐี ปาวาริกเศรษฐี. เศรษฐีทั้ง ๓ นั้น ได้ฟังว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วในโลก จึงให้เตรียมอุปกรณ์ในการให้ทานด้วยเกวียน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 464
๕๐๐ เล่มไปกรุงสาวัตถี จัดที่พักใกล้พระเชตวันแล้วไปเฝ้าพระศาสดา ถวาย บังคม นั่งทำปฏิสันถาร ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล นิมนต์พระศาสดา ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็น ประมุขประมาณกึ่งเดือน แล้วหมอบลง ณ บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้า อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเสด็จไปยังชนบทของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลายย่อมยินดียิ่งใน สุญญาคาร ครั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ปฏิญญาแก่พวกเราแล้ว จึงยินดีอย่างยิ่ง ถวายบังคมพระทศพล ออกไปสร้างวิหาร เพื่อเป็นที่ประทับ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่โยชน์หนึ่งๆ ในระหว่างทางถึงกรุงโกสัมพีโดยลำดับ ทำการบริจาคทรัพย์เป็นอันมากในอารามของตนๆ แล้วสร้างวิหารทั้งหลาย ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ในเศรษฐีเหล่านั้น โฆสิตเศรษฐีสร้างอาราม ชื่อว่า โฆสิตาราม กุกกุฏเศรษฐีสร้างอารามชื่อว่า กุกกุฏาราม ปาวาริกเศรษฐี สร้างในสวนอัมพวัน ชื่อว่า ปาวาริกัมพวัน. ท่านกล่าวว่า โฆสิตเสฏินา การิเต อาราเม ในอารามอันโฆสิตเศรษฐีสร้างหมายถึงโฆสิตารามนั้น.
ในบทว่า อาวุโส ภิกฺขเว ดูก่อนภิกษุผู้อาวุโสทั้งหลาย นี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อตรัสเรียกสาวกทั้งหลาย ย่อมตรัสเรียกว่า ภิกฺขโว. ส่วนสาวกทั้งหลายคิดว่า เราจงอย่าเป็นเช่นกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเลย จึง กล่าวว่า อาวุโส ก่อนแล้วจึงกล่าวว่า ภิกฺขโว ภายหลัง. อนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสเรียก ภิกษุสงฆ์ย่อมรับว่า ภทนฺเต เมื่อสาวกเรียก ภิกษุสงฆ์รับว่า อาวุโส.
บทว่า โย หิ โกจิ รูปใดรูปหนึ่ง เป็นคำไม่แน่นอน. ด้วยบทนี้ เป็นการหมายเอาภิกษุทั้งหมดเช่นนั้น. บทว่า มม สนฺติเก ในสำนักของเรา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 465
คือในที่ใกล้เรา. บทว่า อรหตฺตปฺปตฺตํ คือบรรลุพระอรหัตด้วยตนเอง. รูปสำเร็จเป็นนปุงสกลิงค์ หรือตัดบทว่า อรหตฺตํ ปตฺตํ บรรลุซึ่งพระอรหัต ความว่า พระอรหัตอันตนบรรลุแล้ว หรือปาฐะที่เหลือว่าตนบรรลุพระอรหัต แล้ว.
บทว่า จตูหิ มคฺเคหิ ด้วยมรรค ๔ คือด้วยปฏิปทามรรค ๔ ซึ่ง ท่านกล่าวไว้ในตอนบน มิใช่ด้วยอริยมรรค. เพราะท่านกล่าวไว้แผนกหนึ่ง ด้วยบทว่า จตูหิ มคฺเคหิ ด้วยมรรค ๔ พึงทราบว่าปฏิปทามรรคมี ๔ อย่างนี้ คือ มรรคมีธรรมุทธัจจะเป็นหัวหน้าแห่งอริยมรรคต้น ของพระอรหันต์ รูปใดรูป ๑ มรรคมีสมถะเป็นหัวหน้าแห่งอริยมรรค ๑ มรรคมีวิปัสสนาเป็น เบื้องต้นแห่งอริยมรรค ๑ มรรคมียุคนัทธธรรม (ธรรมที่เทียมคู่) เป็น เบื้องต้นแห่งอริยมรรค ๑ บทว่า เอเตสํ วา อญฺตเรน หรือด้วยมรรค เหล่านั้น มรรคใดมรรคหนึ่ง คือ หรือด้วยมรรคหนึ่งบรรดาปฏิปทามรรค ๔ เหล่านั้น ความว่า พระอานนท์เถระพยากรณ์การบรรลุพระอรหัต ด้วยปฏิปทามรรค. จริงอยู่ เมื่อพระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสกบรรลุโสดาปัตติมรรค อันมีธรรมุทธัจจะเป็นเบื้องต้น แล้วบรรลุมรรค ๓ ที่เหลือด้วยวิปัสสนาล้วน การ บรรลุพระอรหัตย่อมเป็นมรรค มีธรรมุทธัจจะเป็นเบื้องต้น การบรรลุ พระอรหัตของพระอรหันต์ผู้มีมรรค ๔ อันตนบรรลุแล้วก็ดี ยังไม่บรรลุแล้ว ก็ดี ซึ่งธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ บรรลุแล้วด้วยสามารถแห่งปฏิปทามรรค ๓ มีสมถะเป็นเบื้องต้น เป็นต้นมรรคหนึ่งๆ ย่อมเป็นมรรคมีมรรคหนึ่งๆ นอกนี้ เป็นเบื้องต้น ฉะนั้น พระอานนทเถระจึงกล่าวว่า เอเตสํ วา อญฺตเรน.
บทว่า สมถปุพฺพงฺคมํ วิปสฺสนํ ภาเวติ ย่อมเจริญวิปัสสนา อันมีสมถะเป็นเบื้องต้น คือเจริญวิปัสสนาทำสมถะให้เป็นเบื้องต้น คือให้ไปถึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 466
ก่อน ความว่า ยังสมาธิให้เกิดก่อน แล้วจึงเจริญวิปัสสนาภายหลัง. บทว่า มคฺโค สญฺชายติ มรรคย่อมเกิด คือโลกุตรมรรคย่อมเกิดก่อน. ในบท มีอาทิว่า โส ตํ มคฺคํ ภิกษุนั้นย่อมเสพมรรคนั้น ชื่อว่าการเสพเป็นต้น ของมรรค อันมีขณะจิตเดียวย่อมไม่มี ภิกษุยังทุติยมรรคเป็นต้นให้เกิด ท่านกล่าวว่า ภิกษุเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งมรรคนั้น. บทว่า สญฺโชนานิ ปหียนฺติ อนุสยา พฺยนฺตี โหนฺติ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยย่อมสิ้นไป คือ ย่อมละสังโยชน์ทั้งปวงได้ตามลำดับตลอดถึงอรหัตตมรรค อนุสัยย่อมสิ้นไป.
อนึ่ง บทว่า อนุสยา พฺยนฺตีโหนฺติ ความว่า อนุสัยปราศจากไป โดยไม่เกิดขึ้นอีก. บทว่า ปุน จปรํ อีกประการหนึ่ง คือยังมีเหตุอื่นอีก. บทว่า วิปสฺสนาปุพฺพงฺคมํ สมถ ภาเวติ ย่อมเจริญสมถะมีวิปัสสนาเป็น เบื้องต้น คือ ภิกษุเจริญสมถะ ทำวิปัสสนาให้เป็นเบื้องต้น คือให้ไปถึงก่อน ความว่า ยังวิปัสสนาให้เกิดก่อน แล้วจึงเจริญสมาธิภายหลัง.
บทว่า ยุคนทฺธํ ภาเวติ เจริญคู่กันไป คือเจริญทำให้คู่กันไป. ในบทนี้ไม่อาจเข้าสมาบัติด้วยจิตนั้น แล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยจิตนั้น ได้ แก่ภิกษุนี้เข้าสมาบัติได้เพียงใด ย่อมพิจารณาถึงสังขารทั้งหลายได้เพียง นั้น. พิจารณาถึงสังขารได้เพียงใด ย่อมเข้าสมาบัติได้เพียงนั้นอย่างไร. ภิกษุ เข้าปฐมฌาน ครั้นออกจากปฐมฌานนั้นแล้วย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้วย่อมเข้าทุติยฌาน ครั้นออกจากทุติยฌานนั้น แล้ว ย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลาย ครั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อม เข้าตติยฌาน ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ครั้นออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัตินั้นแล้ว ย่อมพิจารณาถึงสังขารทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุชื่อว่าเจริญสมถะและวิปัสสนาอันเป็นธรรมคู่กัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 467
ในบทนี้ว่า ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานสํ มีใจนึกถึงโอภาสอันเป็น ธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้ คือ อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่าน ด้วยบังเกิดจิตอัน สหรคตด้วยอุทธัจจะ ด้วยสามารถแห่งหมุนเคว้งไปในธรรม ๑๐ ประการ มี โอภาสเป็นต้น อันเป็นที่รู้กันว่าเป็นอุปกิเลสแห่งวิปัสสนา เพราะผู้เจริญ วิปัสสนามีปัญญาอ่อน ชื่อว่า ธรรมุทธัจจะ มีใจอันธรรมุทธัจจะนั้นกั้นไว้ คือถือเอาผิดรูปให้ถึงความพิโรธ ชื่อว่า มีใจนึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูก อุทธัจจะกั้นไว้ หรือมีใจถูกธรรมุทธัจจะนั้นอันเป็นเหตุกั้นไว้ ด้วยความเกิด แห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิอันมีธรรมุทธัจจะนั้นอันเป็นเหตุ. ปาฐะว่า ธมฺมุทฺ- ธจฺจวิคฺคหิตมานสํ. ด้วยบทนี้ว่า โหติ โส อาวุโส สมโย ดูก่อน อาวุโส สมัยนั้น พระอานนทเถระห้ามธรรมุทธัจจะนั้น ด้วยกำหนดมรรคและ มิใช่มรรค แล้วแสดงถึงปฏิบัติวิถีแห่งวิปัสสนาอีก.
บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ จิตนั้นใด คือในสมัยใด จิตนั้นก้าวลงสู่วิถีแห่ง วิปัสสนาเป็นไปแล้ว. บทว่า อชฺฌตฺตเมว สนฺติฏฺติ จิตย่อมตั้งมั่นอยู่ ภายใน คือจิตก้าวลงสู่วิถีแห่งวิปัสสนาแล้ว ย่อมตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ กล่าว คือภายในแห่งอารมณ์ในสมัยนั้น. บทว่า สนฺนิสีทติ จิตสงบ คือสงบโดย ชอบด้วยความเป็นไปในอารมณ์นั้นนั่นเอง. บทว่า เอโกทิ โหติ เป็น ธรรมเอกผุดขึ้น คือมีอารมณ์เป็นหนึ่ง. บทว่า สมาธิยติ ตั้งมั่นอยู่ คือ จิตตั้งมั่นโดยชอบ ตั้งมั่นด้วยดี.
นี้อรรถกถาพระสูตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 468
อรรถกถาสุตตันตนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศกถาแห่งสูตรนั้นดังต่อไปนี้. บทว่า ตตฺถ ธมฺเม ชาเต ธรรมที่เกิดในสมาธินั้น คือจิตเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นสมาธินั้น. พระอานนทเถระแสดงถึงประเภทแห่งวิปัสสนา ด้วยบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต อนุปสฺสนฏฺเน ด้วยอรรถว่าพิจารณาเห็นโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง. บทว่า สมฺมาทิฏฺิ มคฺโค ได้แก่มรรคคือสัมมาทิฏฐิ. ในองค์แห่งมรรค ๘ แม้องค์หนึ่งๆ ท่านก็เรียกมรรค. บทว่า อาเสวติ ย่อมเสพ คือย่อมเสพ ด้วยอำนาจแห่งโสดาปัตติมรรค. บทว่า ภาเวติ ย่อมเจริญ คือย่อมเจริญ ด้วยอำนาจแห่งสกทาคามิมรรค. บทว่า พหุลีกโรติ ย่อมทำให้มาก คือ ย่อมทำให้มาก ด้วยให้เกิดอนาคามิมรรคและอรหัตตมรรค แม้เมื่อความไม่ ต่างกันแห่งหน้าที่ของมรรค ๓ เหล่านี้มีอยู่ เพราะอาวัชชนจิตเป็นต้น เป็น จิตทั่วไป ท่านจึงแก้เหมือนกัน.
ในไปยาลในระหว่างอาโลกสัญญา และปฏินิสสัคคานุปัสสนา ท่าน ย่อความไม่ฟุ้งซ่านเป็นต้น ฌาน สมาบัติ กสิณ อนุสสติ และอสุภะ และ ลมหายใจเข้ายาวเป็นต้นไว้ เพราะท่านได้ชี้แจงไว้แล้วในสมาธิญาณนิเทศใน ลำดับ.
อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า อวิกฺเขปวเสน ด้วยอำนาจแห่งความ ไม่ฟุ้งซ่าน พึงถือเอาด้วยความไม่ฟุ้งซ่านอันเป็นส่วนเบื้องต้น ในบทมีอาทิว่า อนิจฺจานุปสฺสี อสฺสาสวเสน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความ เป็นสภาพไม่เที่ยงหายใจเข้า พึงทราบวิปัสสนามีกำลัง มีสมาธิสัมปยุตด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 469
วิปัสสนาเป็นเบื้องต้น ในกาลแห่งวิปัสสนาอ่อนในจตุกกะที่ท่านกล่าวแล้วด้วย อำนาจแห่งวิปัสสนาล้วน.
พึงทราบวินิจฉัยในวาระแห่งวิปัสสนาเป็นเบื้องต้นดังต่อไปนี้. ท่าน กล่าววิปัสสนาไม่กำหนดอารมณ์ ด้วยบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต ก่อน กล่าว กำหนดอารมณ์ด้วยบทมีอาทิว่า รูปํ อนิจฺจโต ในภายหลัง. บทว่า ตตฺถ ชาตานํ เกิดแล้วในวิปัสสนานั้น คือจิตเจตสิกธรรมเกิดแล้วในวิปัสสนานั้น. การปล่อยในบทนี้ว่า โวสฺสคฺคารมฺมณตา ความที่จิตมีการปล่อยเป็นอารมณ์ คือนิพพาน เพราะนิพพานท่านกล่าวว่า โวสฺสคฺโค เพราะปล่อยสังขตธรรม เพราะสละ. วิปัสสนาและธรรมสัมปยุตด้วยวิปัสสนานั้น มีนิพพานเป็นที่ตั้ง มีนิพพานเป็นอารมณ์ เพราะน้อมไปสู่นิพพาน และเพราะตั้งอยู่ในนิพพาน ด้วยสามารถแห่งอัธยาศัย. แม้การตั้งไว้ก็ชื่อว่าอารมณ์ เพราะหน่วงเหนี่ยวไว้ มีนิพพานเป็นอารมณ์ ด้วยอรรถว่าตั้งอยู่ในนิพพานนั่นเอง. จริงอยู่ แม้ใน บาลีในที่อื่น การตั้งไว้ที่ก็กล่าวว่า อารมฺมณํ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวบท มีอาทิว่า ดูก่อนอาวุโส เหมือนบุรุษเอาคบเพลิงหญ้าที่ติดไฟจุดเรือนมุงด้วย ไม้อ้อ เรือนมุงด้วยหญ้าแห้งเป็นโพรงค้างปี ทางทิศตะวันออก ไฟพึงได้ โอกาส พึงได้อารมณ์ เพราะฉะนั้น เพราะความที่จิตมีการปล่อยธรรมทั้งหลาย ที่เกิดในวิปัสสนานั้นเป็นอารมณ์ ความไม่ฟุ้งซ่านใดอันมีประเภทเป็นอุปการะ และอัปปนากล่าวคือ ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ให้สมาธิเกิดโดยมีนิพพาน เป็นที่ตั้งเป็นเหตุ ความไม่ฟุ้งซ่านนั้น ท่านชี้แจงเป็นสมาธิ คือมีความ ตั้งมั่นอันเป็นส่วนแห่งการแทงตลอดให้สมาธิเกิดในภายหลัง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อิติ ปมํ วิปสฺสนา ปจฺฉา สมโถ ด้วยประการดังนี้ วิปัสสนาก่อน สมถะภายหลัง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 470
พึงทราบวินิจฉัยในยุคนัทธนิเทศ ดังต่อไปนี้. เพราะลำดับแห่งธรรม ที่เป็นคู่ ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถาแห่งสูตรในภายหลัง ปรากฏแล้วโดยนัย แห่งนิเทศทั้งสองในก่อน ส่วนลำดับแห่งธรรมที่เป็นคู่ในขณะแห่งมรรคยังไม่ ปรากฏ เพราะฉะนั้น พระอานนทเถระไม่กล่าวถึงการเจริญธรรมที่เป็นคู่ อันมีอยู่ไม่น้อยในส่วนเบื้องต้น เมื่อจะแสดงถึงการเจริญธรรมที่เป็นคู่ อันได้ โดยส่วนเดียวในขณะแห่งมรรค จึงกล่าวคำมีอาทิว่า โสฬสหิ อากาเรหิ ด้วยอาการ ๑๖.
ในบทเหล่านั้น ธรรมคู่ที่ท่านยกขึ้นแสดงในที่สุดในอาการ ๑๗ อย่าง มีอาทิว่า อารมฺมณฏฺเน ด้วยความเป็นอารมณ์ละธรรมคู่นั้น เพราะตั้งอยู่ ในที่เดียวกันด้วยเป็นบทมูลเหตุแล้วกล่าวว่า โสฬสหิ ด้วยอาการ ๑๖ ด้วย อำนาจแห่งอาการที่เหลือ.
บทว่า อารมฺมณฏฺเน คือด้วยความหน่วงเหนี่ยว อธิบายว่า ด้วย อำนาจแห่งอารมณ์.
บทว่า โคจรฏฺเน ด้วยความเป็นอารมณ์ เมื่อมีบทว่า อารมฺมณฏฺเน อยู่แล้ว. บทว่า โคจรฏฺเน คือฐานะควรอาศัย.
บทว่า ปหานฏฺเน คือด้วยความละ. บทว่า ปริจฺจาคฏฺเน ด้วยความสละ คือเมื่อการละมีอยู่แล้วก็ด้วยความไม่ยึดถือด้วยความเสียสละ.
บทว่า วุฏฺานฏฺเน ด้วยความออก คือด้วยความออกไป. บทว่า วิวฏฺฏนตฺเถน ด้วยความหลีกไป คือเมื่อการออกไปมีอยู่แล้วก็ด้วยการไม่ หมุนกลับมาอีก ด้วยการกลับไป. บทว่า สนฺตฏฺเน ด้วยความเป็นธรรม สงบ คือด้วยความดับ. บทว่า ปณีตฏฺเน ด้วยความเป็นธรรมประณีตคือ แม้เมื่อมีความดับอยู่แล้วก็ด้วยความเป็นธรรมสูงสุด หรือด้วยความเป็นธรรม ไม่เดือดร้อน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 471
บทว่า วิมุตฺตฏฺเน ด้วยความหลุดพ้น คือด้วยความปราศจาก เครื่องผูกพัน. บทว่า อนาสวฏฺเน ด้วยความไม่มีอาสวะ คือ แม้เมื่อมีการ พ้นจากเครื่องผูกพันแล้วก็ด้วยความปราศจากอาสวะอันทำอารมณ์ยังเป็นไปอยู่. บทว่า ตรณฏฺเน ด้วยความเป็นเครื่องข้าม คือด้วยความไม่จมแล้วลอนไป. บทว่า อนิมิตฺตฏฺเน ด้วยความไม่มีนิมิต คือด้วยความปราศจากสังขารนิมิต.
บทว่า อปฺปณิหิตฏฺเน ด้วยความไม่มีที่ตั้งคือ ด้วยความปราศจาก ที่ตั้ง. บทว่า สุญฺตฏเน ด้วยความว่างเปล่า คือด้วยความปราศจากเครื่อง ยึด. บทว่า เอกรสฏฺเน ด้วยความเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน คือด้วย กิจอย่างเดียวกัน. บทว่า อนติวตฺตนฏฺเน ด้วยความไม่ล่วงเกินกันคือ ด้วยความไม่ล่วงเกินกันและกัน. บทว่า ยุคนทฺธฏฺเน คือ ด้วยความเป็น คู่กัน.
บทว่า อุทฺธจฺจํ ปชหโต อวิชฺชํ ปชหโต เมื่อภิกษุละอุทธัจจะ ละอวิชชา ท่านกล่าวด้วยสามารถการละธรรมเป็นปฏิปักษ์ของธรรมนั้นๆ ของ พระโยคาวจร. อนึ่ง นิโรธในที่นี้คือ นิพพานนั่นเอง. บทว่า อญฺมญฺํ นาติวตฺตนฺติ ไม่ล่วงเกินกันและกัน คือ หากสมณะล่วงเกินวิปัสสนา จิตพึง เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะสมถะเป็นไปในฝ่ายหดหู่. หากว่า วิปัสสนา ล่วงเกินสมถะ จิตพึงเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่านเพราะวิปัสสนาเป็นไปในฝ่ายแห่ง ความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น สมถะเมื่อไม่ล่วงเกินวิปัสสนาย่อมไม่ตกไปใน ความเกียจคร้าน วิปัสสนาล่วงเกินสมถะ ย่อมไม่ตกไปในความฟุ้งซ่าน สมถะเป็นไปเสมอย่อมรักษาวิปัสสนาจากการตกไปสู่ความฟุ้งซ่าน วิปัสสนา เป็นไปเสมอย่อมรักษาสมถะจากการตกไปสู่ความเกียจคร้าน. สมถะและวิปัสสนา ทั้ง ๒ มีกิจอย่างเดียวกันด้วยกิจคือ การไม่ล่วงเกินกันและกันด้วยประการฉะนี้. สมถะและวิปัสสนาเป็นไปเสมอไม่ล่วงเกินกันและกัน ย่อมทำประโยชน์ให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 472
สำเร็จ. ความที่สมถะและวิปัสสนานั้นเป็นธรรมคู่กันในขณะแห่งมรรคย่อมมีได้ เพราะเป็นธรรมคู่กันในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี.
เพื่อความเข้าใจกิจของมรรคทั้งสิ้น เพราะท่านกล่าวการทำการละ การสละ การออก และการหลีกไปด้วยอำนาจแห่งกิจของมรรค ท่านจึงชี้แจง กิเลสสหรคตด้วยอุทธัจจะและขันธ์ และกิเลสสหรคตด้วยอวิชชาและขันธ์ เพราะท่านกล่าวขันธ์ที่เหลืออย่างนั้นแล้ว จึงไม่ชี้แจงถึงอุทธัจจะและอวิชชา ด้วยอำนาจแห่งการเข้าใจเพียงธรรมอันเป็นปฏิปักษ์. บทว่า วิวฏฺฏโต คือ หลีกไป. บทว่า สมาธิ กามาสวา วิมุตฺโต โหติ สมาธิพ้นจากกามาสวะ ท่านกล่าวเพราะสมาธิเป็นปฏิปักษ์ของกามฉันทะ. บทว่า ราควิราคา เพราะ คลายราคะ ชื่อว่า ราควิราโค เพราะมีการคลาย การก้าวล่วงราคะหรือเป็น ปัญจมีวภัตติว่า ราควิราคโต จากการคลายราคะ. อนึ่ง เพราะคลายอวิชชา. บทว่า เจโตวิมุตฺติ คือสมาธิสัมปยุตด้วยมรรค. บทว่า ปญฺาวิมุตฺติ ปัญญา สัมปยุตด้วยมรรค. บทว่า ตรโต คือ ผู้ข้าม. บทว่า สพฺพปณิธีหิ ด้วยที่ตั้ง ทั้งปวง คือด้วยที่ตั้งคือราคะ โทสะ โมหะ หรือด้วยความปรารถนาทั้งปวง.
พระอานนทเถระครั้นแก้อาการ ๑๔ อย่าง อย่างนี้แล้ว จึงไม่แก้ ความมีกิจอย่างเดียวกัน และความไม่ก้าวล่วงแล้วกล่าวว่า อิเมหิ โสฬสหิ อากาเรหิ ด้วยอาการ ๑๖ อย่างเหล่านี้. เพราะเหตุไร เพราะในที่สุดของ อาการอย่างหนึ่งๆ แห่งอาการ ๑๔ เหล่านั้น ท่านชี้แจงไว้ว่า อาการทั้งหลาย มีกิจอย่างเดียวกัน เป็นธรรมคู่กัน ไม่ก้าวล่วงกันและกันดังนี้ จึงเป็นอัน ท่านแสดงอาการแม้ทั้งสองเหล่านั้นทีเดียว ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โสฬสหิ. ส่วนอาการมีความเป็นธรรมคู่ท่านไม่ได้กล่าวไว้ แม้ในนิเทศเลย.
จบอรรถกถาสุตตันตนิเทศ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 473
อรรถกถาธรรมุทธัจจวารนิเทศ
พึงทราบวินิจฉัยในธรรมุทธัจจวาระดังต่อไปนี้. บทว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชติ เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพ ไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น คือภิกษุตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนาเห็นแจ้งสังขาร ทั้งหลายด้วยอนุปัสสนา ๓ บ่อยๆ มีจิตบริสุทธิ์ด้วยการละกิเลสด้วยตทังคปหานะ ในวิปัสสนาญาณอันถึงความแก่กล้า โอภาสย่อมเกิดความปกติด้วยอานุภาพ แห่งวิปัสสนาญาณในขณะมนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ หรือโดยความไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงโอภาส ของภิกษุผู้มนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงก่อน.
ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาไม่ฉลาด เมื่อโอภาสนั้นเกิดคิดว่า โอภาสเห็น ปานนี้ ยังไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้เลยหนอ เราเป็นผู้บรรลุมรรค บรรลุผลแน่แท้แล้ว จึงถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคนั่นแหละว่า เป็นมรรค สิ่งที่ ไม่ใช่ผลนั่นแหละว่าเป็นผล.
เมื่อภิกษุนั้นถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคว่าเป็นมรรค สิ่งที่ไม่ใช่ผลว่าเป็น ผล ก้าวออกจากวิปัสสนาวิถี. ภิกษุนั้นสละวิปัสสนาวิถีของตนถึงความฟุ้งซ่าน หรือสำคัญโอภาสด้วยความสำคัญแห่งตัณหาและทิฏฐินั่งอยู่. ก็โอภาสนี้นั้นเกิด ให้สว่างเพียงที่นั่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น ภายในห้องของภิกษุบางรูป แม้นอกห้องของภิกษุบางรูป ทั่วทั้งวิหารของภิกษุบางรูป คาวุตหนึ่งกึ่งโยชน์ ๒ โยชน์ ฯลฯ ทำแสงสว่างเป็นอันเดียวกันตั้งแต่พื้นดินจนถึงอกนิษฐพรหมโลก ของภิกษุบางรูป แต่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดโอภาสตลอดหมื่นโลกธาตุ เพราะโอภาสนี้ ยังที่นั้นๆ ให้สว่างย่อมเกิดในเวลามืดอันประกอบด้วยองค์ ๔.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 474
บทว่า โอภาโส ธมฺโมติ โอภาสํ อาวชฺชติ ภิกษุนึกถึงโอภาส ว่า โอภาสเป็นธรรม คือ ภิกษุทำไว้ในใจถึงโอภาสนั้นๆ ว่า โอภาสนี้เป็น มรรคธรรมหรือเป็นผลธรรมดังนี้. บทว่า ตโต วิกฺเขโป อุทฺธจฺจํ เพราะ นึกถึงโอภาสนั้น ความฟุ้งซ่านจึงเป็นอุทธัจจะ คือ เพราะโอภาสนั้นหรือ เพราะนึกถึงว่า โอภาสเป็นธรรม ความฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้น นั่นคือ อุทธัจจะ. บทว่า เตน อุทฺธจฺเจน วิคฺคหิตมานโส ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้ คือภิกษุมีใจอันอุทธัจจะซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นกั้นไว้ หรือผู้เจริญวิปัสสนามีใจอัน อุทธัจจะนั้นเป็นเหตุกั้นไว้โดยเกิดกิเลสอันมีอุทธัจจะนั้นเป็นมูลเหตุ เพราะ ก้าวลงสู่วิปัสสนาวิถี หรือความฟุ้งซ่านแล้วตั้งอยู่ในกิเลสอันมีความฟุ้งซ่าน นั้นเป็นมูลเหตุ ย่อมไม่รู้ความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ เป็นทุกข์ โดยความไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริง. พึงประกอบ อิติ ศัพท์ อย่างนี้ว่า เตน วุจฺจติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานโส ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง กล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้.
บทว่า โหติ โส สมโย สมัยนั้นคือ หากว่า การสอบสวนเกิดขึ้น แก่พระโยคาวจรแม้ผู้มีจิตเศร้าหมองด้วยความพอใจ พระโยคาวจรนั้นย่อมรู้ อย่างนี้ว่า ธรรมดาวิปัสสนามีสังขารเป็นอารมณ์ มรรคและผลมีนิพพานเป็น อารมณ์ แม้จิตเหล่านี้มีสังขารเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น โอภาสนี้มิใช่มรรค อุทยัพพยานุปัสสนาเท่านั้นเป็นมรรคของนิพพาน. พระโยคาวจรกำหนดมรรค และมิใช่มรรคแล้วเว้นความฟุ้งซ่านนั้นตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนา พิจารณา สังขารทั้งหลายด้วยดี โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย ความไม่ใช่ตัวตน. เมื่อพระโยคาวจรสอบสวนอยู่อย่างนี้นั้นเป็นสมัย แต่เมื่อ ไม่สอบสวนอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีมานะจัดว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคและผลดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 475
บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ ได้แก่ วิปัสสนาจิตนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตเมว ใน ภายใน คือในภายในโคจรอันเป็นอารมณ์แห่งอนิจจานุปัสสนา.
บทว่า าณํ อุปฺปชฺชติ ญาณย่อมเกิดขึ้น คือ เมื่อพระโยคาวจรนั้น พิจารณาอย่างรอบคอบถึงรูปธรรมและอรูปธรรม วิปัสสนาญาณอันเฉียบแหลม แข้งแกร่งกล้ายิ่งนัก มีกำลังไม่ถูกกำจัดย่อมเกิดขึ้นดุจวชิระของพระอินทร์ที่ปล่อย ออกไปฉะนั้น. บทว่า ปีติ อุปฺปชฺชติ ปีติย่อมเกิดขึ้น คือ ในสมัยนั้น ปีติสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ๕ อย่างนี้ คือ ขุททกาปีติ (ปีติอย่างน้อย) ๑ ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) ๑ โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) ๑ อุพเพงคาปีติ (ปีติอย่าง โลดโผน) ๑ ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) ๑ ย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคาวจรนั้นยัง สรีระทั้งสิ้นให้อิ่มเอม. บทว่า ปสฺสทฺธิ อุปฺปชฺชติ ความสงบย่อมเกิดขึ้น คือ ในสมัยนั้น พระโยคาวจรนั้นไม่มีความกระวนกระวายของกายและจิต ไม่มีความหนัก ไม่มีความหยาบ ไม่มีความไม่ควรแก่การงาน ไม่มีความไข้ ไม่มีความคด แต่ที่แท้พระโยคาวจรนั้นมีกายและจิตสงบเบาอ่อน ควรแก่การ งานคล่องแคล่วเฉียบแหลม ตรง. พระโยคาวจรนั้นมีกายและจิตอันเป็นปัสสัทธิเป็นต้นเหล่านี้ อนุเคราะห์แล้ว ย่อมเสวยความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์ใน สมัยนั้น. ท่านกล่าวหมายถึงความยินดีว่า
ความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์ ย่อมมีแก่ภิกษุ ผู้เข้าไปสู่เรือนว่าง ผู้มีจิตสงบ ผู้เห็นแจ้งธรรมโดย ชอบ แต่กาลใดๆ ภิกษุย่อมพิจารณาความเกิดและ ความเสื่อมแห่งขันธ์ทั้งหลาย แต่กาลนั้นๆ ภิกษุย่อม ได้ปีติและปราโมทย์ ปีติและปราโมทย์นั้นเป็นอมตะ ของภิกษุผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 476
ความสงบแห่งกายและจิตสัมปยุตด้วยวิปัสสนา พร้อมด้วยความเป็น ของเบาเป็นต้น ยังความยินดีอันมิใช่ของมนุษย์นี้ให้สำเร็จย่อมเกิดแก่ภิกษุนั้น. บทว่า สุขํ อุปฺปชฺชติ สุขย่อมเกิดขึ้น คือ สุขสัมปยุตด้วยวิปัสสนาอันยัง สรีระทั้งสิ้นให้ชุ่มชื่น ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้น แก่ภิกษุนั้น. บทว่า อธิโมกฺโข อุปฺปชฺชติ อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ) ย่อมเกิดขึ้น คือ ศรัทธาสัมปยุต ด้วยวิปัสสนาอันเป็นความเลื่อมใสอย่างแรงของจิตและเจตสิกย่อมเกิดขึ้นใน สมัยนั้นแก่ภิกษุนั้น. บทว่า ปคฺคาโห อุปฺปชฺชติ ปัคคาหะ (ความเพียร) ย่อมเกิดขึ้นคือ ความเพียรสัมปยุตด้วยวิปัสสนาอันประคองไว้ดีแล้วไม่ย่อหย่อน และไม่ตึงจนเกินไป ย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้น แก่ภิกษุนั้น. บทว่า อุปฏฺานํ อุปฺปชฺชติ อุปัฏฐานะ (ความตั้งมั่น) ย่อมเกิดขึ้น คือ สติสัมปยุตด้วยวิปัสสนา ตั้งไว้ด้วยดีแล้ว ฝังแน่น ไม่หวั่นไหว เช่นกับภูเขาหลวงย่อมเกิดขึ้นในสมัย นั้นแก่ภิกษุนั้น. ภิกษุนั้นย่อมนึกถึง รวบรวบ ทำไว้ในใจ พิจารณาถึงฐานะ ใดๆ ฐานะนั้นๆ แล่นออกไป ย่อมปรากฏแก่ภิกษุนั้นด้วยสติดุจปรโลก ปรากฏแก่ผู้ได้ทิพยจักษุฉะนั้น. บทว่า อุเปกฺขา คือ ความวางเฉยด้วยวิปัสสนา และความวางเฉยด้วยการพิจารณา. จริงอยู่ แม้ความวางเฉยด้วยวิปัสสนาอัน เป็นกลางในสังขารทั้งปวง มีกำลังย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้น แม้ความวางเฉย ด้วยการพิจารณา ย่อมเกิดในมโนทวาร. จริงอยู่ ความวางเฉยด้วยการพิจารณา นั้นเมื่อภิกษุนั้นพิจารณาถึงฐานะนั้นๆ เป็นความกล้าแข็ง ย่อมนำไปดุจวชิระ ของพระอินทร์ที่ปล่อยออกไป และดุจลูกศรเหล็กอันร้อนที่แล่นออกไปที่ภาชนะ ใบไม้. ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรคอย่างนี้.
อนึ่ง ในบทนี้ว่า วิปสฺสนูเปกฺขา อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ได้แก่ อุเบกขา คือ วางตนเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ สัมปยุตด้วยวิปัสสนา. จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 477
เมื่อยึดถือวิปัสสนาญาณ ก็จะมีโทษด้วยคำพูดอีกว่า ญาณ ย่อมเกิด เพราะ วิปัสสนาญาณมาถึงแล้ว. อนึ่ง ในการพรรณนาถึงตติยฌานท่านกล่าวว่า แม้ สังขารุเบกขาและวิปัสสนุเบกขา โดยอรรถก็เป็นอันเดียวกัน เพราะเป็นปัญญา เหมือนกัน ต่างกันเป็น ๒ ส่วนด้วยอำนาจแห่งหน้าที่ เพราะฉะนั้นเมื่อกล่าว ถึงอุเบกขา คือ ความเป็นกลางในอารมณ์นั้น สัมปยุตด้วยวิปัสสนาจึงไม่มีโทษ ในการพูดอีก และสมด้วยการพรรณนาตติยฌาน. ก็เพราะในอินทรีย์ ๕ ท่าน ชี้แจงถึงปัญญินทรีย์ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์และสตินทรีย์ว่า ฌาน อธิโมกข์ ปัคคหะ อุปัฏฐานะ ส่วนสมาธินทรีย์ท่านไม่ชี้แจงไว้. อนึ่ง พึงชี้แจง สมาธินทรีย์เท่านั้น ด้วยสามารถแห่งธรรมคู่กัน ฉะนั้น พึงทราบว่า สมาธิ เป็นไปแล้วเสมอท่านกล่าวว่า อุเบกขา เพราะทำการละความขวนขวายในการ ตั้งมั่น.
บทว่า นิกนฺติ อุปฺปชฺชติ นิกันติ (ความพอใจ) ย่อมเกิดขึ้น คือ ความพอใจ มีอาการสงบ สุขุมทำความอาลัยในวิปัสสนาอันประดับด้วย โอภาสเป็นต้นอย่างนี้ย่อมเกิดขึ้น ความพอใจใด ไม่อาจแม้กำหนดลงไปว่า เป็นกิเลส ดุจในโอภาส เมื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น พระโยคาวจรคิดว่า ญาณเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้ ปีติ ปัสสัทธิ อธิโมกข์ ปัคคหะ อุปัฏฐานะ อุเบกขา นิกันติ เห็นปานนี้เคยเกิดแล้ว เราเป็นผู้บรรลุมรรค เราเป็นผู้บรรลุผลแน่นอน แล้วถือเอาสิ่งมิใช่มรรคว่าเป็นมรรค สิ่งมิใช่ผล ว่าเป็นผล เมื่อพระโยคาวจรนั้น ถือเอาสิ่งมิใช่มรรคว่าเป็นมรรค และสิ่งมิใช่ ผลว่าเป็นผล วิปัสสนาวิถี ย่อมหลีกออกไป.
พระโยคาวจรนั้นสละมูลกรรมฐานของตนแล้วนั่ง ยินดีความพอใจนั้น เท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 478
อนึ่ง ในบทนี้ท่านกล่าวโอภาสเป็นต้นว่าเป็นอุปกิเลส เพราะเป็น ที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง เพราะไม่ใช่อกุศล ส่วนนิกันติเป็นอุปกิเลสด้วย เป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมองด้วย. อุปกิเลสเหล่านั้นมี ๑๐ อย่างด้วยสามารถ แห่งวัตถุ มี ๓๐ ด้วยสามารถแห่งการถือเอา อย่างไร. เมื่อพระโยคาวจร ถือว่า โอภาสเกิดแล้วแก่เรา ย่อมเป็นการถือเอาด้วยทิฏฐิ เมื่อถือว่าโอภาส น่าพอใจหนอเกิดแล้ว ย่อมเป็นการถือเอาด้วยมานะ เมื่อยินดีโอภาส ย่อมเป็น การถือเอาด้วยตัณหา การถือเอา ๓ อย่างด้วยสามารถแห่งทิฏฐิมานะและตัณหา ในโอภาสด้วยประการดังนี้. แม้ในอุปกิเลสที่เหลือก็อย่างนั้น. อุปกิเลส ๓๐ ด้วยอำนาจแห่งการถือเอาย่อมมีด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทุกฺขโต มนสิกโรโต อนตฺตโต มนสิกโรโต เมื่อ ภิกษุมนสิการโดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา พึงทราบความโดยนัยนี้ แม้ในวาระทั้งหลาย. ในบทนี้พึงทราบความเกิดแห่งวิปัสสนูปกิเลสแห่งวิปัสสนา หนึ่งๆ ด้วยสามารถแห่งอนุปัสสนาหนึ่งๆ มิใช่อย่างเดียวเท่านั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในอนุปัสสนา ๓ ดังต่อไปนี้. พระอานนทเถระ ครั้น แสดงอุปกิเลสทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา โดยไม่ต่างกันอย่างนี้ แล้วเมื่อ จะแสดงด้วยอำนาจแห่งความต่างกันอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูปํ อนิจฺจโต มนสิกโรโต เมื่อภิกษุมนสิการรูปโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ดังนี้. ในบท เหล่านั้น บทว่า ชรามรณํ อนิจฺจโต อุปฏฺานํ ชรามรณะอันปรากฏ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง คือ ความปรากฏของชราและมรณะโดยความเป็น สภาพไม่เที่ยง.
เพราะพระโยคาวจรผู้ไม่ฉลาด ไม่เปรื่องปราชญ์ด้วยอำนาจแห่ง อุปกิเลส ๓๐ ดังกล่าวแล้วในบทก่อน ย่อมหวั่นไหวในโอภาสเป็นต้น ย่อม พิจารณา โอภาสเป็นต้นอย่างหนึ่งๆ ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 479
ตัวตนของเรา ฉะนั้น พระอานนทเถระเมื่อจะแสดงความนั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถามีอาทิว่า โอภาเสว เจว าเณ จ ในโอภาสและญาณดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า วิกมฺปติ ย่อมกวัดแกว่ง คือ ย่อมกวัดแกว่ง หวั่นไหว ๓ อย่างด้วยอำนาจกิเลสต่างๆ ในอารมณ์มีโอภาสเป็นต้น. บทว่า เยหิ จิตฺตํ ปเวเธติ จิตย่อมหวั่นไหว คือ จิตย่อมกวัดแกว่งหวั่นไหวด้วย ปัสสัทธิและสุขโดยประการต่างๆ ด้วยอำนาจกิเลสต่างๆ เพราะฉะนั้น พึง ทราบความสัมพันธ์ ความว่า พระโยคาวจรย่อมกวัดแกว่งในปัสสัทธิ และใน สุข. บทว่า อุเปกฺขา วชฺชนาย เจว จากความนึกถึงอุเบกขา คือ จิต ย่อมกวัดแกว่ง จากความนึก คือ อุเบกขา อธิบายว่า ย่อมกวัดแกว่งจากความ วางเฉยในการนึกถึง. แต่ในวิสุทธิมรรคท่านกล่าวไว้ว่า อุเปกฺขาวชฺชนายญฺจ ในการนึกถึงอุเบกขา. บทว่า อุเปกฺขาย จ ความวางเฉย คือ จิตย่อม กวัดแกว่งด้วยความวางเฉยมีประการดังกล่าวแล้ว อธิบายว่า ย่อมกวัดแกว่ง ด้วยความพอใจ.
อนึ่ง ในบทนี้ เพราะท่านชี้แจงถึงอุเบกขา ๒ อย่าง จึงกล่าวอรรถ โดยประการทั้งสองในฐานะที่ท่านกล่าวแล้วว่า อุเปกฺขา อุปฺปชฺชติ อุเบกขา ย่อมเกิด. อนุปัสสนาอย่างหนึ่งๆ เพราะความปรากฏแห่งความวางเฉยด้วยการ นึกถึงแห่งอนุปัสสนาหนึ่งๆ ในอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ท่านกล่าวว่า เจริญ บ่อยๆ ว่า อนิจฺจํ อนิจฺจํ ทุกฺขํ ทุกฺขํ อนตฺตา อนตฺตา.
อนึ่ง เพราะพระโยคาวจรเป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต เปรื่องปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยความรู้ เมื่อโอภาสเป็นต้นเกิดขึ้น ย่อมกำหนด ย่อมสอบสวน โอภาสนั้นด้วยปัญญาว่า โอภาสนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็โอภาสนั้นแลเป็นสภาพ ไม่เที่ยง เป็นสิ่งปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 480
เสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายราคะเป็นธรรมดา มีการดับกิเลสเป็นธรรมดา ด้วยประการดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรนั้นมีความดำริอย่างนี้. หากโอภาสพึงเป็น ตัวตน พึงควรที่จะถือเอาว่าเป็นตัวตน แต่โอภาสนี้มิใช่ตัวตน ยังถือกันว่า เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเมื่อเห็นว่า โอภาสนี้มิใช่ตัวตน เพราะ ไม่เป็นไปในอำนาจ จึงถอนทิฏฐิเสียได้. หากว่า โอภาสพึงเป็นสภาพเที่ยง พึงควรเพื่อถือเอาว่าเป็นสภาพเที่ยง แต่โอภาสนี้เป็นสภาพไม่เที่ยง ยังถือกัน ว่าเป็นสภาพเที่ยง เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนี้เมื่อเห็นว่าเป็นสภาพไม่เที่ยง เพราะมีแล้วไม่มีย่อมถอนมานะเสีย. หากว่า โอภาสพึงเป็นความสุข พึงควร ถือเอาว่า เป็นความสุข แต่โอภาสนี้เป็นความทุกข์ ยังถือเอาว่าเป็นความสุข เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนี้เมื่อเห็นว่าเป็นความทุกข์ เพราะเกิดขึ้นสิ้นไป และบีบคั้น ย่อมถอนความพอใจ ดุจในโอภาส แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.
พระโยคาวจรครั้นพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมพิจารณาเห็นโอภาสว่า นั่นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่กวัดแกว่ง ไม่หวั่นไหว ในโอภาสเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระอานนทเถระเมื่อแสดงความนั้น จึงกล่าวคาถาว่า อิมานิ ทส านานิ ฐานะ ๑๐ ประการเหล่านี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ทส านานิ คือมีโอภาสเป็นต้น. บทว่า ปญฺายสฺส ปริจฺจิตา ภิกษุนั้นกำหนดด้วยปัญญา คือ กำหนด ถูกต้อง อบรมบ่อยๆ ด้วยปัญญา พ้นจากอุปกิเลส. บทว่า ธมฺมุทฺธจฺจกุสโล โหติ เป็นผู้ฉลาด ในความนึกถึงโอภาสเป็นต้น อันเป็นธรรมฟุ้งซ่าน คือ พระโยคาวจรเป็นผู้กำหนดฐานะ ๑๐ อย่างด้วยปัญญา เป็นผู้ฉลาดด้วยการ แทงตลอดตามความเป็นจริงแห่งธรรมุทธัจจะ มีประการดังกล่าวแล้วใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 481
ตอนก่อน. บทว่า น จ สมฺโมหคจฺฉติ ย่อมไม่ถึงความหลงใหล คือ ไม่ถึงความหลงใหลด้วยการถอนตัณหา มานะและทิฏฐิ เพราะเป็นผู้ฉลาดใน ธรรมุทธัจจะ.
บัดนี้ พระอานนทเถระครั้นยังวิธีที่กล่าวไว้แล้วในตอนก่อน ให้แจ่ม แจ้งโดยปริยายอื่นอีก เมื่อจะแสดงจึงกล่าวคาถามีอาทิว่า วิกมฺปติเจว กิลิสฺสติ จิตกวัดแกว่งและเศร้าหมอง. ในบทนั้น พระโยคาวจรมีปัญญาอ่อนย่อมถึงความ ฟุ้งซ่านในโอภาสเป็นต้น และความเกิดแห่งกิเลสที่เหลือ. พระโยคาวจรมีปัญญา ปานกลาง ย่อมถึงความฟุ้งซ่าน ไม่ถึงความเกิดแห่งกิเลสที่เหลือ พระโยคาวจร นั้นย่อมเป็นผู้มีมานะจัด. พระโยคาวจรมีปัญญาคมกล้า แม้ถึงความฟุ้งซ่าน ก็ยังละมานะจัดนั้นแล้วปรารภวิปัสสนา. ส่วนพระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้า ยิ่งนัก จะไม่ถึงความฟุ้งซ่าน และไม่ถึงความเกิดขึ้นแห่งกิเลสที่เหลือ. บทว่า วิกมฺปติ เจว ย่อมกวัดแกว่ง ได้แก่ บรรดาพระโยคาวจรเหล่านั้น พระโยคาวจร ผู้มีปัญญาอ่อนย่อมถึงความฟุ้งซ่าน คือ ธรรมุทธัจจะ. บทว่า กิลิสฺสติ จ ย่อมเศร้าหมอง คือ ย่อมเศร้าหมอง ด้วยกิเลส คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ. ความว่า ย่อมเดือดร้อน ถูกเบียดเบียน. บทว่า จวติ จิตฺตภาวนา จิต เคลื่อนจากจิตภาวนา คือ เคลื่อนจากจิตภาวนา คือ วิปัสสนาของพระโยคาวจร นั้นผู้มีปัญญาอ่อน เพราะไม่กำจัดความเป็นปฏิปักษ์จากฐานะในกิเลสทั้งหลาย นั่นเอง อธิบายว่า ตกไป. บทว่า วิกมฺปติ กิลิสฺสติ จิตย่อมกวัดแกว่ง เศร้าหมอง คือ พระโยคาวจรผู้มีปัญญาปานกลาง ย่อมกวัดแกว่ง ด้วยความ ฟุ้งซ่าน ย่อมไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส. บทว่า ภาวนา ปริหายติ ภาวนา ย่อมเสื่อมไป คือ วิปัสสนาย่อมเสื่อม อธิบายว่า เป็นไปไม่ได้ โดยไม่มีการ เริ่มวิปัสสนา เพราะพระโยคาวจรผู้มีปัญญาปานกลางนั้นมีมานะจัด. บทว่า วิกมฺปติ กิลิสฺสติ แม้พระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้า ก็ย่อมกวัดแกว่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้า 482
ด้วยความฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมองด้วยกิเลส. บทว่า ภาวนา น ปริหายติ ภาวนาย่อมไม่เสื่อม คือ พระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้านั้น เมื่อยังมีความ ฟุ้งซ่าน วิปัสสนาภาวนาย่อมไม่เสื่อม คือ ยังเป็นไปได้ เพราะยังมีการละความ ฟุ้งซ่านแห่งมานะจัดนั้น แล้วเริ่มวิปัสสนา.
บทว่า น จ วิกฺขิปฺปติ จิตฺตํ น กิลิสฺสติ จิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เศร้าหมอง คือ จิตของพระโยคาวจรผู้มีปัญญาคมกล้ายิ่งนัก ย่อมไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยความฟุ้งซ่าน และไม่เศร้าหมองด้วยกิเลสทั้งหลาย. บทว่า น จวติ จิตฺตภาวนา จิตย่อมไม่เคลื่อนจากจิตภาวนา คือ ไม่เคลื่อนจากจิตภาวนาคือ วิปัสสนาของพระโยคาวจรนั้น อธิบายว่า ตั้งอยู่ในที่เดิม เพราะไม่มีกิเลส อันทำให้ฟุ้งซ่าน.
ด้วยฐานะอันเป็นเหตุหรือเป็นการกระทำ ๔ เหล่านี้ ซึ่งท่านกล่าวไว้ ในบัดนี้ ในบทมีอาทิว่า อิเมหิ จตูหิ าเนหิ ด้วยฐานะ ๔ เหล่านี้ พระโยคาวจรที่ ๔ เป็นผู้ฉลาด มีปัญญามาก มีใจอันความหดหู่และความ ฟุ้งซ่านแห่งจิตกั้นไว้ในฐานะ ๑๐ มีโอภาสเป็นต้น เป็นผู้ปราศจากความเกิดขึ้น แห่งกิเลสอันทำให้ฟุ้งซ่าน ย่อมรู้โดยประการต่างๆ ว่า พระโยคาวจร ๓ มี พระโยคาวจรปัญญาอ่อนเป็นต้น ย่อมมีใจเป็นอย่างนี้และอย่างนี้ เพราะเหตุ นั้น พึงทราบการพรรณนาอรรถโดยการสัมพันธ์ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สงฺเขโป ความหดหู่ พึงทราบความที่จิตหดหู่ด้วยสามารถ ความเกิดฟุ้งซ่านและกิเลสทั้งหลาย. บทว่า วิกฺเขโป ความฟุ้งซ่านคือพึง ทราบความที่จิตฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งความฟุ้งซ่านดังกล่าวแล้วในฐานะทั้ง หลาย ๒ ว่า วิกมฺปติ กิลิสฺสติ จิตย่อมกวัดแกว่งเศร้าหมอง ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาธรรมุทธัจจวารนิเทศ
จบอรรถกถายุคนัทธกถา